วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

คำสอนของแม่ .. อยากให้อ่าน

แม่ แม่คงสอนให้ลูกฉลาดไม่ได้ ลูกต้องเรียนรู้และฉลาดด้วยไหวพริบ และกึ๋นของลูกเอง แม่อยากให้ลูกคิดและมองโลกในแง่ดี อย่าคิดว่าใต้ฟ้านี้มีแต่เรื่องทำไม่ได้ เป็นไม่ได้ หัดคิดให้เป็นบวกไว้แหละดี

แม่อยากให้ลูกหัดฝัน เมื่อไรลูกฝันเป็น ไม่ว่าจะเป็นใฝ่ฝัน หรือความฝัน ลูกจะรู้ว่าโลกนี้มันน่าอยู่เพียงไหน แม่อยากให้ลูกพูดแต่เรื่องดี พูดแต่เรื่องสวยงาม จงเป็นคนสุดท้ายที่ให้ร้ายคนอื่น และจงเป็นคนแรก ที่ให้กำลังใจ และชื่นชม

แม่อยากให้ลูกทำเรื่องแปลกๆ ลูกไม่จำเป็นต้องเดินตามชีวิตประจำวันของใคร อย่าเก็บความคิดแปลก เพียงเพราะเห็นว่ามันไม่เหมือนใคร

แม่อยากสอนให้ลูกกล้าแดด กล้าฝน เพราะภายใต้ไออุ่นของดวงอาทิตย์ ลูกจะได้รับวิตามินดี และภายใต้ฟ้าที่มีฝน มันจะทำให้ลูกร้องไห้โดยไม่มีใครเห็นน้ำตา

แม่อยากสอนให้ลูกออกกำลังกาย ทุกวัน อย่างน้อยคนเราก็ต้องเคลื่อนไหวทะมัดทะแมง ลูกได้ออกแรงเสียบ้าง ลูกจะแข็งแกร่งไม่อ่อนแอ แม่อยากให้ลูกยิ้ม และอยู่กับโลกด้วยความรัก ยิ้มอาจจะไม่ชนะทุกสิ่ง ยิ้มมากๆ อาจจะดูเหมือนคนบ้า แต่มันก็ดีกว่าหน้าบึ้งหน้างอเป็นไหนๆ

แม่อยากสอนให้ลูกรู้จักอดทน ลูกต้องเรียนรู้ว่าลูกไม่มีทางได้ทุกๆ อย่างที่ลูกหวังไว้ อดทนและอย่าได้เสียกำลังใจ อย่าท้อและขอให้เริ่มใหม่อย่างมีพลัง แม่อยากสอนให้ลูกเขย่งขาขึ้นให้สูง ไม่มีอะไรที่สูงไปกว่าสองมือเราจะเอื้อมคว้า เพียงแค่ว่าเรายืนยันที่จะไม่ยืนอยู่กับที่

แม่อยากสอนให้เจ้ามีความสุข แต่อย่าลืมทุกข์ด้วยล่ะลูก คนที่ไม่เคยมีความทุกข์ เขาสุขจริงๆ ไม่เป็นหรอกเจ้าเอย ไอคิวมันติดมาแต่บนฟ้าลูกจ๋า ไม่ฉลาดก็มีความสุขได้ไม่ต้องห่วง อย่าน้อยใจถ้าตามใครเขาไม่ทัน อย่าเสียขวัญถ้าเราช้ากว่าใครๆ อีคิวมันต้องหาเองบนโลกนี้ลูกเอ๋ย ไม่ฉลาดก็น่ารักและมีความสุขได้

"อย่ากลัวที่จะเปลี่ยนแปลงปรับปรุง ลูกมีกำลังใจเป็นถุงจากแม่ ไม่ต้องกลัว"

ขอขอบคุณที่มา : dhammajak.net & tamdee.net

13 วิธี ในการเพิ่มความสุขให้กับชีวิต

1. ดื่มน้ำทุกชั่วโมง เวลาทำงานเรามักยุ่งจนลืมดื่มน้ำ ทางแก้คือ วางแก้วน้ำหรือขวดน้ำไว้ใกล้มือแล้วจิบบ่อยๆ พบว่าหากปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำจนน้ำหนักตัวลดลงแม้แค่ 2 เปอร์เซ็นต์ จะมีผลให้ให้ความจำระยะสั้นและทักษะการแก้ปัญหาลดลง เมื่อไรที่รู้สึกกระหายน้ำ นั่นคือสัญญาณเตือนว่าขาดน้ำแล้ว

2. ยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ แต่ต้องเป็นรอยยิ้มที่มาจากใจด้วยนะ เพราะจะช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองส่วนรับรู้ความสุข หากวันไหนรู้สึกเศร้าจนยิ้มไม่ออก โทรศัพท์ไปหาเพื่อนที่มุขเยอะหรืออยู่ใกล้คนอารมณ์ดีเข้าไว้ จะทำให้คุณยิ้มได้ เพราะคนเรามีแนวโน้มเลียนแบบอารมณ์ของคนที่พูดคุยด้วย

3. เช็คท่าทางของตัวเอง ขณะนั่งทำงานเรามักโน้มตัวไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว ทำให้กล้ามเนื้อหลังส่วนบนยืดขึ้นจนอาจบาดเจ็บได้ ทางที่ดี ทุก 2 - 3 ชั่งโมง คุณควรเช็คท่านั่งของตัวเองเพื่อบุคลิกและสุขภาพที่ดี ท่าที่เหมาะสมคือ นั่งให้สะโพกและไหล่อยู่ในแนวตรงกัน ไม่ต้องถึงกับหลังตรงมากเกินไป ต้นขาขนานพื้น โดยให้ข้อเท้าอยู่ล้ำหัวเข่าออกไปเล็กน้อย หากต้องนั่งทำงานเป็นเวลานานควรผ่อนคลายกล้ามเนื้อวันละ 2 - 3 ครั้ง โดยนั่งหลังตรง กางแขนทั้งสองขึ้นด้านข้างระดับไหล่ งอศอกให้มือทั้งสองแตะศีรษะ แล้วบีบสะบักหลังเข้าหากัน ค้างไว้ 3 วินาที ทำซ้ำ 3 ครั้ง

4. คิดจินตนาการเรื่องดีๆ ก่อนนอน ใช้เวลาก่อนแค่ 2 - 3 นาที วาดฝันเรื่องที่ทำให้คุณมีความสุข เช่น ทริปสุดสนุกช่วงพักร้อน ดินเนอร์ใต้แสงเทียนกับหวานใจ หรือคำชมจากเจ้านาย เทคนิคนี้ช่วยให้หลับได้เร็วและสนิทมากขึ้น ทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจและสมาธิ

5. ผูกมิตรเพื่อนใหม่ แม้คุณจะเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ไม่ว่ากับเพื่อนร่วมงาน หัวหน้างานหรือแม้แต่กับแม่บ้าน ก็ไม่ควรละเลยการทำความรู้จักผู้คนใหม่ๆ ด้วย เพราะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจมากขึ้นและเปิดโลกทัศน์ของตนเอง ที่สำคัญคือ เป็นผลดีต่อหัวใจ พบว่าคนที่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นมีความดันโลหิตต่ำกว่าคนไม่เข้าสังคม ซึ่งมักจัดการความเครียดด้วยวิธีที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิตและระดับคอเลสเตอรอลเพิ่มขึ้น

6. ใกล้ชิดธรรมชาติ จะลงมือพรวนดิน ใส่ปุ๋ย รดน้ำต้นไม้ หรือแค่เดินชมนกชมไม้ก็ให้ประโยชน์ทั้งนั้น ผลการศึกษาในอังกฤษพบว่า หากได้สูดกลิ่นไอดินจะทำให้สมองหลั่งสารความสุขชื่อ เซโรโทนิน” (serotonin) ออกมามากขึ้น ถ้าบ้านของคุณมีพื้นที่ไม่มากนักปลูกไม้ประดับหรือสมุนไพรไว้ในบ้านก็ได้ นอกจากสร้างความสดชื่นแล้ว ยังสามารถนำมาปรุงอาหารจานสุขภาพ ซึ่งอุดมไปด้วยสารแอนติออกซิแดนท์อีกต่างหาก

7. ฟังเพลงขณะเดินทาง ฟังดนตรีจังหวะสบายๆ บรรเทาความเครียดได้ เพราะช่วยให้ระบบประสาทผ่อนคลาย ป้องกันไม่ให้ระดับฮอร์โมนความเครียด ความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มสูงจนเกินไป ยิ่งร้องตามไปด้วยยิ่งส่งผลดี พบว่า การร้องเพลงช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันและลดฮอร์โมนความเครียด คอร์ติซอล (cortisol) แถม ยังเป็นการปลดปล่อยอารมณ์ นอกจากนี้ขณะร้องเพลงเราจะสูดหายใจลึกขึ้น จึงเพิ่มปริมาณออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายเพื่อสร้างแอนติบอดีต่อสู้โรคหวัด

8. กินอาโวคาโด จะกินสดๆ หรือกินเมนูที่มีส่วนผสมของอาโวคาโดก็ดีต่อสุขถาพทั้งสิ้น เพราะในอาโวคาโดมีสารซึ่งช่วยฆ่าเซลล์บางชนิดที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย และปกป้องเซลล์ดีไม่ให้กลายเป็นเนื้องอก จึงเป็นปราการป้องกันโรคมะเร็งได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้อาโวคาโดยังเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยเส้นใยอาหาร ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ซึ่งช่วยลดคอเลสเตอรอล รวมถึงมีสารแอนติออกซิแดนท์ที่ดีต่อหัวใจอย่างวิตามินซีและอี เพื่อรสชาติอร่อยแปลกใหม่ ลองใส่อาโวคาโดในสลัดแทนชีสได้รสชาติหอมมันไม่แพ้กัน

9. ตุนอาหารมีประโยชน์ ผู้หญิงที่ทำอาหารกินเองบ่อยๆ มีแนวโน้มกินผักและผลไม้มากขึ้น และรับไขมันเข้าสู่ร่างกายน้อยลง เมื่อเทียบกับคนที่มักกินตามร้านหรือซื้อมากิน นั่นเพราะคุณสามารถเลือกส่วนผสมที่ดีต่อสุขภาพมาใส่ในจานโปรดของคุณได้ ทุกสัปดาห์ ควรซื้อผักผลไม้สดและเนื้อสัตว์ไขมันต่ำ อย่างเนื้อปลามาเก็บไว้ในตู้เย็น และเดือนละครั้ง หาอาหารแห้งมาตุนไว้ สิ่งที่ควรซื้อติดบ้าน ได้แก่ ข้าวซ้อมมือ น้ำมันมะกอก ปลาทูน่ากระป๋อง ซอสมะเขือเทศ เครื่องเทศต่างๆ รวมทั้งของกินเล่น ประเภทผลไม้อบแห้งและถั่วต่างๆ

10. ทำความสะอาดบ้าน บ้านช่องที่สะอาด ปราศจากฝุ่นและเชื้อโรค นอกจากดีต่อสุขภาพกาย เพราะช่วยป้องกันคุณจาดโรคหวัดภูมิแพ้ และหอบหืดแล้ว ยังทำให้จิตใจแจ่มใสและอารมณ์ดีด้วย พบว่า ๙๘ เปอร์เซนต็ของคนทั่วไปรู้สึกว่าชีวิตดีขึ้นเมื่อบ้านสะอาด ดังนั้นเพียงจัดบ้านให้สะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบ ก็ช่วยลดเครียดได้แล้ว

11. พักการดูโทรทัศน์บ้าง จะทำให้คุณรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น ไม่จำเป็นต้องเลิกดูโทรทัศน์ไปเลย เพียงเลือกดูเฉพาะรายการที่อยากดูจริงๆ เท่านั้น พบว่าคนที่ไม่เปิดโทรทัศน์นานสองสัปดาห์มีแนวโน้มเข้านอนเร็วขึ้น ทำให้ตื่นขึ้นมาด้วยความกระปรี้กระเปร่า จัดสรรหนึ่งวันในสัปดาห์ให้เป็น วันปลอด โทรทัศน์แล้วใช้เวลากับตนเอง ครอบครัว หรือเพื่อนฝูงมากขึ้น โดยชวนกันไปออกกำลังกาย กินมื้อเย็น ไปเดินห้าง หรืออาจฉกฉวยช่วงเวลานี้ทำสิ่งที่ชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็นการขลุกอยู่กับหนังสือเล่มโปรด หรือขัดสีฉวีวรรณครั้งใหญ่ นอกจากรู้สึกผ่อนคลาย ผิวยังสวยขึ้นด้วย

12. วัดรอบเอว ไม่ใช่เพื่อรูปร่างที่ดูดีเท่านั้น แต่เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย หากคุณมีรอบเอว ๓๕ นิ้วหรือเกินกว่านั้น แสดงว่าคุณมีไขมันหน้าท้องมากเกินไปแล้ว ทำให้เสี่ยงต่อความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ เบาหวาน และมะเร็ง

เริ่มวัดรอบเอวเดือนละครั้งตั้งแต่วันนี้ หากพบว่ามีขนาดเกินมาตรฐาน ควรหาหนทางลดน้ำหนักอย่างถูกวิธี เช่น ออกกำลังกาย ลดปริมาณอาหาร กินผัก ผลไม้ ข้าวไม่ขัดสี และเนื้อสัตว์ไม่ติดมันเป็นประจำ ฯลฯ

13. อยู่ใกล้ดอกไม้ การเห็นดอกไม้สดใกล้ๆ ตัว ทำให้ผู้หญิงอารมณ์ดีขึ้นและวิตกกังวลน้อยลง การศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดพบว่า เพียงได้ชมดอกไม้ชั่วครู่ในตอนเช้าช่วยให้สดชื่นไปตลอดทั้งวัน นอกจากในบ้านแล้ว ควรหาดอกไม้มาประดับแจกันบนโต๊ะทำงานด้วย หากไม่ชอบดอกไม้ เปลี่ยนเป็นไม้กระถางต้นเล็กๆ ก็ได้ ทำให้คุณหายใจสะดวกขึ้น เพราะช่วยเพิ่มก๊าซออกซิเจนและลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

ขอบคุณเนื้อหาดีๆ จาก
www.ladinaclub.com

Pantech Vega แอนดรอยด์จากแดนโสม

:: Pantech Vega ::

Pantech Vega เป็นสมาร์ทโฟน ที่ได้ประกาศเปิดตัวในประเทศเกาหลีใต้อย่างเป็นทางการ โดยใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 2.1 โดยมีดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ เพราะเป็นรุ่นที่มีความบางและเบาอีกด้วย

12

ดีไซน์ที่เรียบหรู ที่มารพร้อมกับการแสดงผลในรูปแบบ 3D ที่มีสีสันสดใส บนหน้าจอแบบ AMOLED ระบบสัมผัสแบบมัลติทัช จอกว้าง 3.7 นิ้ว ใช้หน่วยประมวลผลแบบ Snapdragon 1GHz ที่ช่วยให้การทำงานรวดเร็ว และยังมีหน่วยความจำภายในสูงถึง 500MB เลยทีเดียว พร้อมสนับสนุนการ์ดหน่วยความจำเพิ่มเติมแบบ Mircro SD ความละเอียดกล้อง 5 ล้านพิเซล พร้อมความสามารถในการบันทึกวีดีโอในระดับ HD (720p) อีกด้วย



ภาพสวยๆ..กับ..ข้อความดีๆ


อยากให้มีร่มเงา
ไว้พักใจเหงาๆ
อยู่ กับแค่ตัวเรา
อยู่แบบไม่มีเขา คงดี



ดื่มหนักให้ลืมโลก
ดื่มทั้งโลกให้ลืมเธอ



รีบโตไวไว
จะได้เป็นที่พักใจของใครสักคน



ดอกไม้ดอกเล็กเล็ก
ใต้นภาอันกว้างใหญ่
เหมือน ความรักที่กว้างไกล
กับ หัวใจที่โรยแรง



ที่พักกลางใจ
เพราะเธอจากไป...ใจมันหมดแรง



ถึงสีจะต่างกัน
แต่ก็เข้ากันได้ลงตัว
เหมือน รักคนละขั้ว
แต่ก็ ลงตัวเมื่อใกล้กัน



แสงแดดอุ่น
ปลอบใจเหงาๆ
เพราะตอนนี้มีแต่ เรา
กับความเหงาที่ เข้าใจ



อยากให้ป้ายนี้แขวนหน้าบ้านเธอ

แต่ถ้าเรา มันเพ้อเจ้อ

ถ้าแขวน กลางใจเธอ....ก็คงดี



น้ำยังสะท้อนเงา
แล้วเมื่อไหร่เธอนั้นจะสะท้อน ใจ



อยากให้รักเรายืนนาน
อยู่เคียงข้าง....ตลอดไป



ถึงมีอะไรมาบดบัง
แต่รักเรานั้นยังเหมือน เดิม......



รักมันเปียกปอน
รักมันกระเด็นกระดอนเพราะ เธอ......



นกบินได้เพราะลม
ฉันมีรักได้เพราะเธอ



อยากโบยบินเป็นคู่
แต่ไม่รู้เธอจะยอมไหม
อยาก จะโผบินไปให้ไกล
ไป ไหนก็ได้ที่ใกล้เธอ

คนที่ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นของเรา

ถ้าแคร์คำพูดแย่ ๆ ก็เท่ากับแพ้ใจตัวเอง




ถ้าแคร์คำพูดแย่ ๆ ก็เท่ากับแพ้ใจตัวเอง

คำพูดบางคำทำร้ายคนฟังได้น่าดู
ถ้า จะให้ไม่แคร์เนี่ย ทำได้ยากแน่นอน

ฉันเคยรู้สึกแย่ กับคำพูดแย่ ๆ ของคนหลายคน
คำพูดของเขาทำให้เราหมดความนับถือตัวเอง
บาง ครั้งมันอาจถึงขนาดทำให้ชีวิตเปลี่ยนไป
บั่นทอนสุขภาพกายและใจ

คำพูดทิ้งยาพิษไว้ในใจเรา แล้วก็หนีลอยนวล

คนที่แย่คือคนฟังสิ...
ฉันเลยเปลี่ยน ความคิดใหม่
พยายามหาเหตุผลเพื่อเข้าใจพวกเขา
คนที่ชอบติข้อบกพร่อง
ตอก ย้ำปมด้อยของคนอื่น เพราะต้องการให้ตัวเองดูดี

คนพวกนี้มีปมด้อยในใจ ชอบสร้างคุณค่าให้ตัวเอง
โดยการติคนอื่น เพื่อลดคุณค่าของคนอื่น
จิต ใจเขาขุ่นมัว มองไม่เห็นความดี ความสวยงาม

และสิ่งดี ๆ ในตัวคนอื่น เพื่อนำมาพูดถึง
บ่อย ครั้งที่เรามักเจอคำพูดแย่ ๆ จากคนรอบข้าง

ถ้าไม่รู้จักดูแลจิตใจ ความรู้สึกของตัวเอง
เรา จะถูกบั่นทอนทีละนิด...


คนข้าง ๆ ฉันคนหนึ่ง ชอบล้อปมด้อยของคนอื่น
ด้วยคำพูดรุนแรง แล้วหัวเราะอย่างมีความสุข
ว่าคนนั้นขาใหญ่ ว่าคนนี้ตัวดำ
ยิ่งถ้าเขา ล้อใคร แล้วคนฟังนั่งปาดน้ำตา
เขายิ่งมีความสุข

ที่สำคัญคนที่เขาติ ก็เป็นเพื่อนที่แสนดีของเขาทั้งนั้น...

ฉันพยายามเข้าใจเขา เพื่อดูแลหัวใจตัวเอง
ไม่ ให้ถูกบั่นทอนไปตามคำพูดของคนประเภทนี้

เข้าใจอย่างเดียวไม่พอ ต้องหาทางตอบโต้
เพื่อสะกิดให้เขารู้ตัวว่าเขากำลังติเราอยู่
เพราะ เขาจะอาย และรู้ตัว
แต่ถ้าเราไปโวยวาย อับอาย
เขาจะยิ่งสนุก และทำบ่อยขึ้น
พอเขาว่าอะไรมา ฉันจะทำเฉย ๆ

เดี๋ยวเขาหมดสนุกก็ เลิกไปเอง
ถ้ายังไม่เลิกต้องหาคำพูดเจ็บ ๆ

ตอบโต้ไปบ้าง


(อย่าว่าฉันร้ายนะ) แค่อยากให้เขารู้ตัว
แล้ว ได้ผลด้วย เขาจะเงียบไปพักใหญ่ ๆ เชียว
ที่สำคัญใจเราต้องหนักแน่น อย่าหวั่นไหว
ที่เขาว่ามา เป็นปมด้อยของเราก็จริง


แต่คนเราเลือกเกิดไม่ได้
ที่เขาติมาเพราะเขามองหาส่วน แย่ ๆ ของเราต่างหาก

ที่ดีๆ ก็มี แต่เขาไม่พูด
ตัว เราย่อมรู้ตัวเองดีที่สุด
เชื่อในคุณค่าของตัวเอง ไว้ใจตัวเอง
ดูแล หัวใจของเราให้ดี
เรียนรู้ที่จะปฏิเสธคำพูดแย่ ๆ จากคนอื่น
รู้แหล่ง ที่มาอย่างมีเหตุผล
แล้วจะไม่มีอะไรมา บั่นทอนหัวใจเราได้เลย...

สิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในคำว่า “รัก”




คำว่า "รัก" มีอะไรมากมายซุกซ่อนอยู่ในนั้น อาจจะหวานชื่น ขมขื่น หรืออะไรอื่นอีกหลากหลาย ที่จะทำให้คนรู้จัก "รัก" ได้สัมผัสและรู้สึกถึง….

ความรักเริ่มจากความคิด
เพราะ ความคิดเป็นจุดเริ่มต้นของความรัก บางที.. ความรักอาจทำให้คนเราเปลี่ยนแปลงความคิดไปจากเดิม อาจทำให้คนเราต้องปรับปรุงในสิ่งที่เคยทำ เพียงเพื่อให้เข้ากับใครอีกคน

ความรักทำให้เกิดความเคารพ ศรัทธา
คุณ จะไม่สามารถรักใครได้ ถ้าไม่รู้สึกเชื่อมั่นเสียก่อน และคนแรกที่คุณต้องศรัทธาเชื่อมั่น ก็คือตัวเอง

ความรักคือการให้ ถ้าคุณต้องการที่จะได้ความรัก
สิ่ง ที่คุณต้องทำก็คือการให้ ยิ่งให้.. คุณก็จะยิ่งได้รับสูตรลับของความสุขและทำให้มิตรภาพยืนยาวที่คุณควรจะจำเอา ไว้เสมอก็คือ อย่าถามว่าคนอื่นให้อะไรคุณบ้าง แต่ให้ถามว่าคุณทำอะไรให้คนอื่นบ้างจะดีกว่า

ในความรักมีมิตรภาพซ่อนอยู่
อยากได้ รักแท้ ก็ต้องหาเพื่อนแท้ให้ได้เสียก่อน การจะรักกันได้ไม่ใช่แค่มองตา แต่อยู่ที่ว่า.. ต่างคนต่างมีอะไรที่ตรงกันหรือเปล่าหากจะรักใครอย่างจริงใจ คุณควรจะรักในสิ่งที่เขาเป็น ไม่ใช่แค่ภาพที่คุณเห็น มิตรภาพก็เหมือนกับปุ๋ยที่ช่วยทำให้ความรักเบ่งบานเติบโตทุก ๆ วันนั่นเอง

การสัมผัส ช่วยสานต่อความรักให้ดีขึ้น
เคย รู้สึกดีใช่มั้ยเวลาที่มีใครโอบไหล่หรือกอดคุณ? การสัมผัส จึงเป็นการแสดงออกอย่างหนึ่งที่มีพลัง และช่วยทลายกำแพงแห่งความชิงชังไม่เข้าใจได้อีกด้วย น่าแปลกที่การสัมผัสสามารถเปลี่ยนแปลงอารมณ์ และท่าทีที่แข็งกร้าวให้เบาบางลงได้

อยาก รักต้องรู้จักปลดปล่อย
ถ้าคุณรักใครจงปล่อยให้เขาเป็น อิสระบ้างเพราะคุณเองคงรู้สึกอึดอัด ถ้ามีใครมาล่ามโซ่คุณ ดังนั้น.. จงเรียนรู้ที่จะให้อภัยและลืมอดีตที่ไม่ดี เรียนรู้ที่จะปลดปล่อยความกลัวภายในใจเรียนรู้ที่จะยุติธรรมและลดทิฐิ รวมถึงเงื่อนไขต่าง ๆ ลงบ้าง

ลองบอกตัวเองว่า.. นับแต่นี้ คุณจะทิ้งความกลัวทั้งหมด แล้วอดีตจะไม่มีผลอะไรต่อตัวคุณได้.. นับจากวันนี้ไป คุณก็จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่เสียที

ชีวิตจะเปลี่ยนไป
เมื่อเราเรียนรู้ที่ จะเปิดใจให้กว้างและซื่อสัตย์ต่อกัน รวมถึง คุยกับคนรักอย่างเปิดเผย และกล้าที่จะพูดถ้อยคำวิเศษว่า "ฉันรักเธอ" โดยไม่ปล่อยให้โอกาสดี ๆ หลุดลอยไป คุณควรจะบอกรักก่อนจากกันทุกครั้งเสมอ เพราะบางที นั่นอาจเป็นครั้งสุดท้ายที่คุณจะพบกัน!

แก่นแท้ของความรัก คือการไว้ใจกัน
ถ้า คุณไม่เชื่อใจกัน ใครคนหนึ่งจะรู้สึกระแวง กังวล และหวาดหวั่น ขณะที่อีกคนรู้สึกอึดอัดใจ ที่สำคัญ.. คุณไม่อาจรักใครจริง ๆ ได้ ถ้าคุณไม่ไว้ใจเขาคนนั้นอย่างแท้จริง


ลูกพรุน...กินแล้วดี


ลูก พรุน เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ (เส้นใย) ธาตุเหล็กสูง นอกจากนี้ยังมีวิตามิน และแร่ธาตุหลายชนิด เช่น วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี โพแทสเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียมและสังกะสี ลูกพรุนมีไขมันต่ำ แคลอรี่น้อย

และ สรรพคุณเป็นยาระบายอ่อนๆ มีคุณสมบัติ สามารถอุ้มน้ำไว้ระหว่างใย จึงทำให้กากอาหารนิ่ม และมีส่วนช่วยกระตุ้นการทำงาน ของลำไส้ ให้มีการเคลื่อนไหวบีบตัว ได้ดีขึ้น จึงทำให้ท้องไม่ผูก องค์ประกอบที่วิเศษ อีกอย่างคือ เป็นเส้นใยที่ละลายน้ำได้ จึงทำหน้าที่ ไปขัดขวาง การดูดซึมของไขมัน และน้ำตาลในเลือด ซึ่งเหมาะกับผู้สูงอายุ ที่เป็นเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ ที่อาจเกิดอันตรายได้หากมีการเบ่งอุจจาระแรง

ในลูกพรุนมีกากใยธรรมชาติ Dietary fiber จำนวนมากหลายชนิด ซึ่งเป็นทั้งชนิดที่ละลายน้ำได้ และละลายน้ำไม่ได้ กากใยอาหารนี้มีส่วนช่วยลดโคเลสเตอรอลได้ และจากการทดลองรับประทานลูกพรุน พบว่าสามารถลดไขมันในเลือด (LDL cholesterol) ในผู้ป่วยที่มีไขมันในเลือดสูงได้ พบว่ากลไกดังกล่าวเกิดจากกากใยอาหารชนิด เซลลูโลสซึ่งละลายน้ำไม่ได้ และเพ็คตินซึ่งละลายน้ำได้

มีสาร ต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงอีกจำนวนมาก นอกจากนี้น้ำลูกพรุนยังเป็นอาหารที่วิตามินซี วิตามินอี แหล่งที่ดีของธาตุเหล็กและไฟเบอร์หรือกากใยอาหาร น้ำลูกพรุนแม้จะมีรสหวานแต่ส่วนมากประกอบไปด้วยน้ำตาลชนิด ฟลุคโตสและซอร์บิทอล ซึ่งไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างรวดเร็ว ที่สำคัญยังช่วยระบายและรักษาอาการท้องผูกได้อย่างปลอดภัยทั้งในผู้ใหญ่ และในเด็กเล็ก แต่ถ้าเป็นเด็กเล็กก็ควรปรึกษาแพทย์ด้วยเสมอ

วิตามิน B2 (Riboflavin)

ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง ช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ช่วยในการมองเห็น ผิวหนัง เล็บ และผม

วิตามิน C (Ascorbic Acid)

สารต้าน อนุมูลอิสระ (Anti-oxidant) เป็นส่วนประกอบพิเศษที่ช่วยป้องกันเซลล์ จากการถูกทำลาย ซึ่งเมื่อเซลล์ถูกทำลายก็จะเพิ่มโอกาสเป็นมะเร็งสูง วิตามิน C มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ดังนั้นการที่ลูกพรุนมี Anti-oxidant ในปริมาณสูงจะช่วยทำให้ร่างกายและสมองแก่ตัวช้าลง และมีอัตราการเกิดเป็นโรคมะเร็งน้อยลง มีส่วนช่วยในกระบวนการสังเคราะห์เม็ดเลือดแดงและทำให้ร่างกายต่อต้าน แบคทีเรียได้ดียิ่งขึ้น

วิตามิน E

เป็น Anti-oxidant ช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาของออกซิเจนที่ไม่สมบูรณ์ภายในร่างกาย ช่วยการไหลเวียนของโลหิต ช่วยยืดอายุของเม็ดเลือดแดง ทำให้ผิวพรรณเนียนนุ่ม ช่วยบำรุงสายตา

แคลเซียม(Calcium)

ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน รักษาระดับการเต้นของหัวใจ ช่วยให้ระบบประสาททำงานได้อย่างเป็นปกติ

เหล็ก(Iron)

เป็น ส่วนประกอบที่ใช้ในการสังเคราะห์ฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง พรุนแห้งหนึ่งขีดมีธาตุเหล็ก 2.78 มิลลิกรัม จึงเป็นแหล่งของธาตุเหล็กได้เป็นอย่างดี

วันพุธที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

กล้องบันทึกวิดีโอ 3 มิติตัวแรกของโลก!!

พานาโซนิค (panasonic) เปิดตัวกล้องถ่ายวิดีโอ 3 มิติ ที่ดูภายนอกก็จะเหมือนกับกล้องถ่ายวิดีโอดิจิตอลทั่วไป แต่ที่น่าสนใจก็คือ กล้องรุ่นนี้จะสามารถบันทึกวิดีโอ 3 มิติได้ เพียงแค่ผู้ใช้ใส่ชุดเลนส์แปลงภาพเป็น 3 มิติเข้าไป โดยจะเป็นโมดูลที่จำหน่ายแยกต่างหากจากตัวกล้อง

ในขณะที่บริษัทผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์กำลังแข่งกันผลิต ทีวี 3 มิติ เพื่อส่งเข้าไปจำหน่ายในร้านค้าต่างๆ ตามติดด้วย Avatar ภาพยนต์ 3 มิติที่กำลังจะออกเวอร์ชัน Blu-ray ปรากฎการณ์เหล่านี้จะช่วยเร่งเทคโนโลยีทีวี 3D ให้ได้รับความสนใจมากขึ้นไปอีก อย่างไรก็ตาม คอนเท็นต์ภาพยนต์ 3D ยังมีน้อยเกินไปทำให้ความแพร่หลายของทีวี 3D ไม่เร็วอย่างที่ควร แต่ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป

เพราะล่าสุด Panasonic HDC-SDT750 กล้อง บันทึกวิดีโอฟูลไฮเดฟฯ กับชุดเลนส์พิเศษที่มีราคาเริ่มต้น 170,000 เยน หรือประมาณ 62,500 บาท คุณก็สามารถบันทึกวิดิโอ 3D เพื่อเล่นบนเครื่องเล่นทีวี 3 มิติได้แล้ว ซึ่งตัวกล้องบันทึกวิดีโอก็จะเหมือนกับทั่วๆ ไป แต่เมื่อคุณต้องการบันทึกวิดีโอ 3 มิติก็เพียงแค่ต่อชุดเลนส์ขนาดใหญ่ เพื่อแปลงภาพเป็น 3D โดยชุดเลนส์จะขายแยกต่างหาก นอกจากจะบันทึกวิดีโอ 3D ได้แล้ว มันยังสามารถถ่ายภาพนิ่ง 3 มิติได้ด้วย โดยคอนเท็นต์ 3D จะถูกบันทึกบนการ์ดหน่วยความจำ SD หรือต่อตรงกับ TV 3D ผ่าน ทางสาย HDMI สำหรับระบบเสียงบันทึกแบบ 5.1 ด้วยไมค์ 5 ตัว และจอ LCD 3 นิ้วบนกล้อง

Panasonic คาดว่า กล้องถ่ายวิดีโอ 3D จะเริ่มจำหน่ายในญี่ป่นวันที่ 20 สิงหาคม ก่อนที่จะวางตลาดทั่วโลกในช่วงปลายปีนี้ ทั้งนี้ Shiro Nishiguchi ซีอีโอของพานาโซนิคกล่าว่า ปีนี้เป็นปีเริ่มต้นของยุค 3 มิติ โดยนอกจากจะมีกล้องบันทึกวิดีโอ 3D แล้ว ทางบริษัทยังมีทีวี 3D อีก 8 รุ่น เครื่องเล่นและบันทึกคอนเท็นต์ 3D อีก 3 รุ่น และแว่นตา 3D อีก 4 สไตล์ "คอนเท็นต์ 3D ที่คุณสร้างขึ้นมาเอง ย่อมจะเป็นคอนเท็นต์ที่คุณอยากดู และมันจะเป็นคอนเท็นต์ที่ทำให้ทีวีสามมิติเกิดในตลาดอย่างรวดเร็ว" Nishiguchi กล่าว



ถ้าวันหนึ่ง ลิฟท์ตก..จะทำยังไง ?





ขึ้นลิฟท์กันอยู่บ่อยๆ ลิฟท์ค้างไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่ถ้าวันหนึ่ง..ลิฟท์ตกเนี่ยสิ จะทำยังไง

ใครที่ อาศัยอยู่ในคอนโดหรืออพาร์ทเมนท์แล้วต้องใช้ลิฟท์ขึ้นๆลงๆอยู่บ่อยๆ คงต้องเคยเจอประสบการณ์ลิฟท์ค้างมาไม่มากก็น้อย ลิฟท์ค้างไม่ค่อยเท่าไหร่...แต่ลิฟท์ตกเนี้ยซิ จะทำยังไงดี วันนี้ เรามีคำตอบมาฝากกัน

1. ให้กดปุ่มให้ลิฟต์จอดทุกชั้นอย่างเร็วที่สุด เพื่อเมื่อไฟฟ้าสำรองทำงาน มันจะหยุดลิฟต์จากการร่วงลงมา

2. จับที่จับให้แน่น หากว่ามี มันจะช่วยรองรับตำแหน่งและป้องกันจากการหล่นและการบาดเจ็บถ้าเราเสียสมดุลย์

3. พิงหลังและศีรษะเข้ากับผนังให้เป็นเส้นตรง การพิงผนังจะทำให้มันช่วยป้องกันหลังและกระดูก

4. งอเข่า เพราะเมื่อลิฟต์ตก เราจะไม่รู้เลยว่าเมื่อไรที่ลิฟท์จะกระแทกพื้น และอาจจะส่งผลให้กระดูกทั่วร่างแตกละเอียดได้ เส้นเอ็นเป็นจุดเชื่อมต่อที่ยืดหยุ่น มันสามารถยืดกระดูกเข้าด้วยกันเป็นกิจกรรมต่างๆ แต่จะจำกัดบางสิ่งเพื่อป้องกันการบาดเจ็บ ดังนั้น ผลกระทบจากกระดูกแตกจะลดลงจากการกระแทกของการร่วงหล่น

“หวัด” โรคใกล้ตัว น่ากลัวกว่าที่คิด





ข้อควรรู้เรื่องหวัด หวัด
แพทย์หญิง วราลักษณ์ ตังคณะกุล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยา สำนักโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข อธิบายถึงความแตกต่างของโรคไข้หวัดกับโรคภูมิแพ้และโรคหัด ว่า "วิธีสังเกตความต่างก็คือโรคหัดจะมีอาการไข้ หลังจากนั้นจะมีผื่นขึ้นตามตัว ส่วนโรคภูมิแพ้จะมีอาการเหมือนไข้หวัด 4 อย่างคือ น้ำมูกไหล ไอ จาม แต่ไม่มีไข้"


จัดอันดับไข้หวัดยอดฮิต
นายแพทย์ภาสกร อัครเสวี ผู้อำนวยการสำนักระบาดวิทยาอธิบายว่า ไข้หวัดแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆคือ ไข้หวัดธรรมดา (Cold) และไข้หวัดใหญ่ (Influenza)ซึ่งทั้งสองชนิดมีเชื้อไวรัสตัวการก่อโรคแตกต่างกันไป

ทาง ด้านคุณหมอวราลักษณ์เสริมว่าในโรคไข้หวัดใหญ่ยังมีการจำแนกสายพันธุ์ต้นตอ ที่ต่างกันอีกด้วย และมีชื่อเรียกเฉพาะ เช่น ไข้หวัดนก ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009

จากการพูดคุยกับคุณหมอทั้งสองสามารถ แบ่งประเภทไข้หวัดตาม ที่มา อาการและความอันตรายของโรคหวัดเป็น 4 ชนิดดังนี้ค่ะ

1. ไข้หวัดธรรมดา (Cold) เกิดจากเชื้อ Rhinovirus และแบคทีเรียบางประเภทที่อาศัยอยู่ในร่างกายคนและมีคนเป็นพาหะ ติดต่อโดยการได้รับเชื้อที่แพร่กระจายจากการหายใจ การไอ หรือสัมผัสเสมหะหรือสารคัดหลั่งต่างๆของผู้ป่วย

อาการ มีไข้ ไอ น้ำมูกไหล อาการป่วยจะหายเองภายใน 3-7 วัน

ความ รุนแรง ปกติอาการจะไม่รุนแรงเพราะร่างกายจะสร้างภูมิต้านทานขึ้นมาปกป้อง ยกเว้นมีการติดเชื้อแบคทีเรียซึ่งส่วนใหญ่เชื้อจะอยู่ที่คอ ทำให้มีอาการเจ็บคอ คอแดง ต่อมทอนซิลโต และแบคทีเรียบางชนิดอาจทำให้เยื่อหุ้มสมองอักเสบได้

เมื่อไรต้องพบแพทย์ หากกินยาลดไข้และพักผ่อน 2-3 วันแล้ว อาการยังไม่ดีขึ้น หรือมีอาการรุนแรงขึ้นเช่น ไออย่างรุนแรง เจ็บหน้าอก ซึม เพลีย ให้รีบไปพบคุณหมอเพื่อตรวจหาอาการแทรกซ้อน

2. ไข้หวัดใหญ่ (Influenza) เกิดจากเชื้อไวรัส Influenza กลุ่ม A และ B ซึ่งมีความรุนแรงกว่าเชื้อไข้หวัดธรรมดาเพราะเชื้อจะเข้าสู่ระบบกล้ามเนื้อ และอาจลามเข้าไปทำให้เป็นโรคปอดบวม มีการติดต่อเช่นเดียวกันกับไข้หวัดธรรมดา

อาการ มีอาการคล้ายไข้หวัดธรรมดาแต่จะรุนแรงกว่าและมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดแขนขา ปวดตามข้อ อ่อนเพลียฉับพลัน และปวดศีรษะอย่างรุนแรง

ความรุนแรง ผู้ที่มีอาการรุนแรงส่วนใหญ่จะเป็นบุคคลในกลุ่มเสี่ยงคือ เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว และอาจเกิดอาการแทรกซ้อนได้หลายชนิดเช่น อาการอักเสบของเยื่อหุ้มหัวใจ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ และปอดบวม

เมื่อไรต้องพบแพทย์ หากมีไข้สูง หายใจหอบ ผิวมีสีม่วง เจ็บหรือแน่นหน้าอก หรือมีอาการของไข้หวัดใหญ่มานานกว่า 7 วัน ให้สงสัยว่าอาจมีการติดเชื้อแทรกซ้อน ควรรีบไปพบคุณหมอทันที

3. ไข้หวัดนก (avian influenza) เกิดจาก เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ สายพันธุ์ H5N1 ซึ่งมีอยู่ในลำไส้และระบบทางเดินหายใจของสัตว์ปีก เชื้อไวรัสจะแพร่กระจายออกมากับอุจจาระ น้ำมูก สิ่งคัดหลั่งอื่นๆของสัตว์ และติดต่อสู่คนจากการได้รับเชื้อโดยการสัมผัสสัตว์ปีกที่ป่วยหรือตาย และสิ่งแวดล้อมที่มีการปนเปื้อนของอุจจาระ น้ำมูก และสิ่งคัดหลั่งอื่นๆของสัตว์ปีกเช่นกัน

อาการ มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่แต่จะรุนแรงกว่า เช่น มีไข้สูง ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลียมาก ไอ เหนื่อย ปวดท้องและถ่ายเหลว

ความรุนแรง มีความรุนแรงมากหากได้รับการรักษาช้า เชื้อจะเข้าไปทำลายอวัยวะสำคัญต่างๆเช่นหัวใจ ไต ตับ ไขกระดูก ระบบหายใจและต่อมน้ำเหลือง นอกจากนี้ยังพบว่าเชื้อไวรัสสามารถขยายพันธุ์ในปอดและลำไส้ของคนได้ด้วย

เมื่อไรต้องพบแพทย์ หากมีอาการข้างต้นหลังจากสัมผัสสัตว์ปีกหรือเข้าไปในพื้นที่ที่สงสัยว่ามี การระบาดหรือสงสัยว่ากินเนื้อไก่และไข่ไก่ที่ปรุงไม่สุก

4. ไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 (swine influenza) เกิด จากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ สายพันธุ์ H1N1 ซึ่งเป็นเชื้อที่ติดต่อจากคนสู่คนเท่านั้น เชื้อชนิดนี้ถือเป็นเชื้อสายพันธุ์ใหม่ล่าสุด ที่มีการผสมสายพันธุ์ระหว่างไวรัสที่อาศัยอยู่ในคน นก และหมู ทำให้มีการเพร่เชื้ออย่างรวดเร็ว เพราะคนยังไม่มีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อชนิดนี้และไม่มีวัคซีนป้องกัน

อาการ อาการใกล้เคียงกับอาการโรคไข้หวัดใหญ่ที่พบตามปกติ เช่น มีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ไอ เจ็บคอ แต่จะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน และท้องเสียร่วมด้วย

ความรุนแรง ผู้ป่วยส่วนใหญ่ร้อยละ 90-95 มีอาการไม่รุนแรงจะหายป่วยได้เอง โดยไม่ต้องนอนโรงพยาบาล แต่ผู้มีความเสี่ยงได้แก่ ผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น โรคระบบทางเดินหายใจ หอบหืด โรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน ผู้สูงอายุ เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ผู้ที่ภูมิต้านทานต่ำ ผู้ที่มีภาวะอ้วน และหญิงมีครรภ์

เมื่อไรต้องพบแพทย์ ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง เช่น มีไข้สูง หายใจลำบาก หอบเหนื่อย อาเจียน ท้องเสีย มีอาการซึม หรือ ไข้ยังไม่ลดหลังจากรับประทานยาลดไข้แล้ว 48 ชั่วโมงผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง หากป่วยเป็นไข้ ไม่ว่าจะมีอาการน้อยหรือมากต้องรีบพบแพทย์


จับตากระแส "หวัดระบาด"
ไม่ ว่าจะเป็นไข้หวัดธรรมดา และไข้หวัดใหญ่ ล้วนเป็นไข้หวัดที่ยังคงมีแนวโน้มการระบาดเกิดขึ้นในประเทศไทยอยู่อย่างต่อ เนื่อง ดังที่นายแพทย์ภาสกรกล่าวไว้ว่า

"สำหรับไข้หวัดธรรมดา ย่อมมีการระบาดเรื่อยๆตามฤดูกาลอยู่แล้ว โดยกลุ่มเสี่ยง คือกลุ่มเด็กเล็ก ซึ่งอาจระบาดได้ในสถานเลี้ยงเด็ก หรือโรงเรียน แต่สำหรับวัยผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่ทุกคนจะมีภูมิต้านทานเชื้อไวรัสตัวนี้อยู่แล้ว จึงไม่น่าเป็นห่วง"

"ส่วน ไข้หวัดใหญ่ทั่วไป ที่มีเชื้อ Influenza virus เป็นตัวก่อโรคก็เช่นกัน ยังคงมีการระบาดตามฤดูกาล และจากสถิติพบว่า คนทั่วไปประมาณ 40-50 เปอร์เซ็นต์ จะมีภูมิต้านทานเชื้อไวรัสตัวนี้แล้ว แต่สิ่งที่ต้องระวังคือ อาการทั่วไปของไข้หวัดใหญ่มักเป็นอาการที่กว้าง และป่วยเป็นเวลานาน จนบางคนอาจเกิดโรคแทรกซ้อนที่ทำให้ให้อาการหนักลงได้"

"ขณะเดียวกัน ก็ไม่ควรประมาทไข้หวัดสายพันธุ์อื่นๆที่อาจกลับมาระบาดใหม่อีกครั้งพร้อม ทั้งเตรียมรับมือโรคอุบัติใหม่ที่เกี่ยวกับโรคทางเดินหายใจ ที่มีแนวโน้มว่าจะทวีความรุนแรงมากขึ้นและติดต่อกันง่ายขึ้น เนื่องจากในอนาคตผู้คนจะมาอยู่รวมตัวกันในเมืองใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ จึงเลี่ยงการแพร่เชื้อในที่ชุมนุมชนได้ยาก"


สร้างภูมิชีวิต พิชิตไข้หวัด
สำหรับ ผู้ที่ดูแลตัวเองตามแนวทางชีวจิตซึ่งแทบจะไม่ป่วยเป็นหวัดเลย เพราะมีภูมิชีวิตดี อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง กูรูชีวจิต อธิบายว่า

"อาการ ของไข้หวัดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ปวดเมื่อยเนื้อตัว น้ำมูกไหล หรือไอ จะมากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับ Immune System หรือภูมิชีวิตของแต่ละคน ถ้าภูมิชีวิตของคนไข้ตกมาเป็นระยะเวลานาน จนถึงจุดที่ว่าไม่ว่าเชื้อโรคโรคอะไรก็ตามที่ทำให้คนไข้มีอาการติดเชื้อได้ อาการทุกอย่างก็จะโจมตีมาพร้อมๆกัน จนกระทั่งดูเหมือนคนไข้อาการหนัก (Trauma) กำลังถึงแก่ชีวิตได้"

"แต่ถ้าภูมิชีวิตของเขาดีอยู่ การติดเชื้อก็จะมีแค่อาการครั่นเนื้อครั่นตัว และอ่อนเพลียเล็กน้อย ถ้าได้พักสัก 2-3 วัน อาการเจ็บป่วยเขาก็จะหายไป ดังนั้น ถ้าภูมิชีวิตของคุณสมบูรณ์แข็งแรงดี ไม่เพียงแต่ไข้หวัดที่จะหลีกไกลคุณเท่านั้น ภูมิชีวิตนี้ยังป้องกันการติดต่อของโรคติดต่ออื่นๆได้ด้วย"


อาจารย์ สาทิสแนะนำวิธีแก้อาการโรคหวัดแบบชีวจิตว่าให้เพิ่มภูมิชีวิตตามสูตร 5 เล็กอย่างเคร่งครัด คือ กินให้ถูก นอนให้ถูก ทำงานให้ถูก พักผ่อนให้ถูก และออกกำลังกายให้ถูก ทั้งยังบอกวิธีแก้อาการโรคหวัดเบื้องต้นตามตำรับยาพื้นบ้านด้วย
  • กินยอดสดฟ้าทะลายโจรครั้งละหนึ่งยอดก่อนอาหาร 3 มื้อ หรืออย่างเม็ด 3 เม็ดก่อนอาหาร 3 มื้อ
  • กิน วิตามินซี 1,000 มิลลิกรัมครั้งละ 1 เม็ดหลังอาหาร 3 มื้อ วิตามินเอ 10,000 I.U ครั้งละ 1 เม็ดหลังอาหาร 3 มื้อ และวิตามินบี คอมเพล็กซ์ 100 มิลลิกรัมครั้งละ 1 เม็ดก่อนอาหาร 3 มื้อ
  • กิน แคลเซียม 100 มิลลิกรัม ครั้งละ 1 เม็ด เช้า-เย็นหลังอาหาร วิตามินดี 10,000 I.U ครั้งละ 1 เม็ดหลังอาหารเช้า-เย็น
  • ทำดีท็อกซ์ทุกวัน 2 อาทิตย์
  • ผสม น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะกับน้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์ 2 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากันจิบตลอดวันแก้ไอ

ข้าวโพด...เมล็ดจิ๋ว ประโยชน์แจ๋ว


นอกเหนือจากข้าวอัน เป็นอาหารหลักที่เรารับประทานกันอยู่ทุกวันแล้ว ทุกคนคงเคยลิ้มลองรสชาติอันหวานมันของข้าวโพดซึ่งเป็นพืชที่นำประโยชน์มาใช้ ได้แทบทุกส่วน ซึ่งเฉพาะเมล็ดนั้นวิธีการรับประทานก็สารพันจะสรรหากันแล้ว ไม่ว่าจะนำมาต้ม ปิ้ง คลุกเนย ทอด หรือการใช้ประโยชน์จากการนำมาแปรรูป เช่น แป้งข้าวโพด นม เหล้า เบียร์ วิสกี้ น้ำตาลผง สบู่ น้ำยาทำความสะอาด เครื่องสำอางค์ น้ำเชื่อม น้ำหวาน น้ำสลัด เนยเทียมและมายองเนส เป็นต้น

สิ่งหนึ่งที่ทำให้ข้าว โพดเป็นธัญพืชที่นิยมนำมาแปรรูปเป็นอาหารนานาชนิดก็เนื่องจากเป็นพืชที่ให้ พลังงานสูง เพราะมีคาร์โบไฮเดรตเป็นส่วนประกอบหลัก แถมยังมีโปรตีน ไขมัน เกลือแร่ และวิตามินที่มีประโยชน์อีกมากมาย เช่นวิตามินซี เอในรูปเบต้าแคโรทีน อีซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความเสื่อมของเซลล์ ลูเทียน และซีแซนทิน ซึ่งเป็นสารคาโรตีนอย ช่วยป้องกันตาเสื่อมสภาพ

ส่วนประโยชน์ด้านอื่นๆ คงหนีไม่พ้นสรรพคุณทางยา ที่คนโบราณค้นพบและนำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย เช่นเมล็ด ของมันใช้ทานเพื่อบำรุงร่างกาย หัวใจ ปอดขับปัสสาวะ และนำมาบดพอกรักษาแผล นอกเหนือจากนี้ยังใช้ซังข้าวโพดต้มนำน้ำมาดื่มแก้บิด ท้องร่วง ขับปัสสาวะ ต้น ราก และไหมข้าวโพด รสจืดหวาน ต้มเอาน้ำดื่ม ขับปัสสาวะได้ด้วย





สารอาหารในเมล็ดข้าว โพด 100 กรัมนั้น ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรต 8.2 กรัม โปรตีน 11.1 กรัม เกลือแร่ 1.7 กรัม ไขมัน 4.9 กรัม และเส้นไยหยาบอีก 2.1 กรัม แนะซักนิด สำหรับผู้ที่ชอบการรับประทานข้าวโพดเป็นชีวิตจิตใจว่า หากจะรับประทานข้าวโพดเมื่อใดก็ควรล้างน้ำเปล่าให้สะอาดเสียก่อน หากซื้อจากร้านค้าก็ควรเลือกชนิดที่ไม่ฟอกหรือขัดมากจนเกินไป เพราะจะเสียคุณค่าทางอาหารและอาจมีสารขัดสีตกค้างเป็นของแถม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์แปรรูปต่างๆ ที่ควรเลือกแต่สินค้าที่ได้มาตรฐานและได้รับการรับรองแล้วเท่านั้น

เห็นกันแล้วว่าการรับประทานข้าวโพดเพียงชนิดเดียวก็ได้รับ ประโยชน์อันมหาศาล ดังนั้นถ้าบ้านใครมีพื้นที่ว่างพอที่จะปลูกได้ล่ะก็อย่ารีรอกันอยู่เลย เพราะวิธีการปลูกนั้นง่ายนิดเดียว เพียงหยอดเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดลงในหลุมดินร่วนที่ขุดไว้ 3-5 เมล็ด เมื่อต้นกล้างอกให้ถอนออกเหลือหลุมละ 1 ต้น เท่านี้ก็จะได้ข้าวโพดที่เป็นได้ทั้งอาหารและยาไว้รับประทานกันในบ้านโดยไม่ ต้องกังวลกับเรื่องสารพิษตกค้างอีกด้วย

วันหยุดและวันทำงาน





วันหยุด ใครๆก็ชอบวันหยุด ได้พักไม่ต้องทำงาน
แต่ในปีหนึ่งๆ เรามีวันหยุดสักกี่วัน?
วันส่วนใหญ่เป็นวันทำงาน

หากเปรียบกับ"ชีวิต" วันหยุด คือ ความสุข
วันทำงาน เหมือน ความทุกข์ ความลำบาก อุปสรรค และปัญหา
แน่นอนในชีวิต ความทุกข์ มีมากกว่าความสุข
เหมือนวันหยุด ทีมีน้อยกว่าวันทำงานเสมอ



แต่เรา ได้เงินเลี้ยงชีวิต และ ครอบครัว
สร้างเนื้อสร้างตัว ก็ไม่ใช่จากวันทำงานรึ?

ความทุกข์ อุปสรรค ปัญหา ล้วนแล้วแต่ทำให้เราได้เรียนรู้ ทำให้เข็มแข็ง และเก่งขึ้น
ความสุข ทำให้เราได้เรียนรู้น้อย ยิ่งมีความสุขมาก เรายิ่งอ่อนแอ และเปราะบาง!!


ดังนั้นถ้าเราต้องกลับมาเจอกับวันทำงาน เจอ ความทุกข์ในชีวิต
ก็ไม่ต้องกลุ้มใจ หรือ ท้อใจ
เพราะนี้จะเป็นโอกาส ดีที่เราจะได้เรียนรู้ เราจะเก่ง แข็มแข็ง
และอดทน มากขึ้น!!



แล้วถ้าเราคิดว่าเราทำผิดพลาดไป ก็ไม่ต้องคิดมาก
มนุษย์เกิดมาคู่กับการทำผิดพลาด อยู่แล้ว มันเป็นธรรมดาของคน
เราทำผิดพลาด ก็เพื่อเราจะได้แก้ไขและเรียนรู้การทำให้"ถูก!!"


ไม่มีคำว่า" ตัดสินใจผิด"การตัดสินใจ ก็เป็นแค่"การเลือกทางเดินชีวิต"
ว่าเราจะเดินไปอย่างไร จากจุดที่เราเลือก การตัดสินใจที่ไม่เหมือนกัน
ก็แค่ การเลือกทางเดินทางไปที่เป้าหมาย ด้วยวิธีที่ต่างกัน ก็แค่นั้นเอง... "


การเลือกเส้นทางเดินของชีวิต ไม่มีใครบอกได้ว่า เส้นทางไหนมันจะดีกว่ากัน
เราบอกไม่ได้ว่าถ้าได้แต่งงานกับคนนี้จะต้อง ดีกว่าคนโน้น!!
เราเลือกอาชีพโน้นคงต้องดีกว่าอาชีพนี้!!
ทุกอย่าง มันไม่แน่เสมอไป ขอแค่เราทำปัจจุบันให้ดีที่สุด!!


การที่เรา คิดว่าแบบนี้ดีกว่าแบบนั้น คนนี้ดีกว่าคนนั้น
ถ้าเราได้เป็นเขา เราคงมีความสุข มากกว่านี้

ไม่จริงเลย ทุกคนมีปัญหาทั้งนั้น
ความ ทุกข์ ก็แค่เปลี่ยนรูปแบบ และหน้าตามาเท่านั้นเอง!!

คนจนก็มีความ ทุกข์ แบบคนจน แต่พอรวยก็ ทุกข์แบบคนรวย
เด็กก็ทุกข์ แบบเด็ก ผู้ใหญ่ก็ทุกข์แบบผู้ใหญ่
ไม่มีใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบ


สิ่ง ที่เราทำได้ก็คือ เรายอมรับในสิ่งที่เราเลือก!! เราเป็น!!
เรียนรู้มัน ที่จะอยู่กับมัน!!

มาดูซิ!!ว่าเราจะทำอะไรได้จาก สิ่งที่เรามีอยู่
และ ถ้าเกิดความผิดพลาด
1 ยอมรับมัน
2 ให้อภัย
3เรียนรู้แก้ไข และ ก้าวไปข้างหน้า


ชีวิต ก็เท่านี้....

วิธีออกกำลังกายง่ายๆ ที่ใครๆ ไม่ค่อยจะทำ...

วิธีออกกำลังกายง่ายๆ ที่ใครๆ ไม่ค่อยจะทำ...

1. เดิน
- เดินสะสมระยะทางให้ได้ 15 กม. ต่อสัปดาห์ หรือเฉลี่ยวันละ 3-5 กม.
- เดินสะสมในระยะเวลา 6-7 เดือน หรือจะ...เดินสะสมระยะเวลาให้ได้ 150 นาทีต่อสัปดาห์ หรือเฉลี่ยวันละ 30 นาทีหรือแบ่งเป็น 2 รอบ รอบละ 15 นาที

2. วิ่ง
- วิ่ง 100-200 เมตร หรือ ขึ้น- ลง บันได 2 เที่ยวแล้วพัก ยังไม่มีผลต่อหัวใจมากนัก ไม่ช่วยลดพุง
- วิ่ง 1.5 กม. ใน 8 นาที เริ่มมีผลต่อหัวใจแต่ยังไม่ลดพุง
- วิ่งต่อเนื่องไม่หยุด 12 นาที มีผลต่อหัวใจและลดพุง
- วิ่งต่อเนื่องไม่หยุด 30 นาทีขึ้นไป มีผลต่อหัวใจ ลดพุงชัดเจน

3. ยกน้ำหนักเบาๆ บ่อยๆ
- ทำให้กล้ามเนื้อกระชับ ไม่ลีบ
- ระดับฮอร์โมนต่างๆ ทำงานได้คงที่ เช่น อินซูลิน
- ระดับความดันเลือดคงที่

4. แอโรบิคเบาๆ บ่อยๆ
- ลดความเครียด เกร็ง ของกล้ามเนื้อ
- ชะลอขบวนการเสื่อมจากวัยของระบบกล้ามเนื้อ หัวใจ ปอด และกระดูก
- ต้องทำนาน 20 นาทีเป็นอย่างน้อย อาจเป็นการวิ่ง ออกกำลังอยู่กับที่ ขี่จักรยานอยู่กับที่ หรือ เต้นแอโรบิค


Exercise แบบไหนไม่ดี...
ในคนอ้วน
>NO> เต้นแอโรบิค วิ่งเร็วๆ กระโดดเชือก หรือการออกกำลังกายที่มีการกระแทก

ความดันในเลือดสูง
>NO> ยกน้ำหนัก ดำน้ำลึก สควอช
>YES> ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ เต้นรำ เทนนิส จ๊อกกิ้ง


Exercise บ่อยแค่ไหนดี...
ช่วงเริ่มฝึก 1-2 สัปดาห์แรก

- อายุไม่มาก ควรออก 2-3 วันต่อสัปดาห์
- อายุมากกว่า 40 ปี ควรออก 1-2 วันต่อสัปดาห์

ฝึกมาสักระยะ ให้มีความก้าวหน้า
- คงไว้ที่ 3 วันต่อสัปดาห์
- เต็มที่ 5 วันต่อสัปดาห์
- ไม่ควรเป็น 7 วันต่อสัปดาห์ เพราะร่างกายต้องการพักบ้าง

Exercise นานแค่ไหนดี...
- ครั้งละ 30 นาที ในช่วงเริ่มต้น น้ำหนักอาจยังไม่ลด
- เพิ่มเป็นครั้งละ 60 นาที น้ำหนักลดแน่นอน
- รวมแล้วให้ได้ 150-200 นาทีต่อสัปดาห์ รวม 16 สัปดาห์


ถ้าทำตามดังข้างบน รับรองน้ำหนักลดแน่นอน

สีเสื้อผ้าช่วยเสริมเสน่ห์คนใส่?


สาวผิวดำ ถ้าอยากดูดีมีเสน่ห์ขึ้นมา ควรเลือกใส่เสื้อผ้าสีกลางๆ ออกสีครีมๆ เรียบๆ เพื่อให้ดูสง่าภูมิฐาน หรือเลือกเสื้อผ้าที่มีสีค่อนข้างอ่อน อย่างสีขาว สีกากี สีฟ้าอ่อน สีเทา สีชมพู เนื่องจากสีเหล่านี้สามารถเพิ่มความอ่อนโยน และเสริมบุคลิกภาพ ให้ดูดีมีเสน่ห์ยิ่งขึ้นได้

สาวผิวสองสี สาวคนไหนมีผิวสองสี นับว่าโชคดีมาก เพราะสามารถเลืิอกเสื้อผ้าสีใดใส่ก็ได้ แต่ก็ยังมีข้อควรระวังในการเลือกสีเสื้อผ้าเช่นเดียวกัน สีเสื้อผ้าที่เหมาะคือ สีม่วงเข้ม สีกรมท่า สีดำ สีน้ำตาลอ่อน(สีเบจ) สีชมพู(ควรมีลวดลาย) สาวผิวสองสีใส่เสื้อผ้าสีเหล่านี้จะแสดงความเป็นตัวตนที่ง่ายๆ แต่หากอยากแสดงความหลากหลายในตัวตน ก็สามารถหยิบจับสีต่างๆเหล่านี้มาผสมผสานกัน

สาวผิวขาว (ซีด) ไม่ต้องกังวลเพราะเหมาะมากกับเสื้อผ้าที่มีสีพาสเทล สีเหล่านี้สามารถดึงให้เป็นคนที่น่าสนใจ สดใส ซึ่งจะทำให้ลืมความซีดของผิวไปได้ สีเสื้อผ้าที่เหมาะกับผิวขาวซีดคือ สีฟ้าอ่อน สีฟ้าเข้ม สีน้ำตาลอ่อน(สีเบจ) สีน้ำตาล สีขาวแต่ควรมีลวดลายสีสันต่างๆ เสื้อผ้าสีเหล่านี้ จะดึงให้คนผิวขาวซีดมีชีวิตชีวา สามารถทำให้เป็นคนที่น่าสนใจได้ไม่ยาก

เรื่องน่ารู้ ของสีกับเสื้อผ้า

- สีขาว เสื้อผ้าสีขาวทำให้คุณดูขี้อ้อนนิดๆ น่าเอ็นดูหน่อยๆ เหมาะจะใส่ไปอ้อนแฟนสุดๆ

- สีน้ำเงิน เวลาไปสัมภาษณ์งาน นี่คือสีที่ขอแนะนำเพราะมันจะทำให้คุณดูเป็นคนเอาการเอางาน ไว้ใจได้ เรียกว่าน่าจ้างไว้เป็นพนักงานนั่นเอง

- สีชมพู คนๆ นี้อาจกำลังอินเลิฟ

-สีเงิน เสื้อผ้าสีเงินทำให้คนใส่ดูไฮเทคทันสมัย เป็นตัวของตัวเอง มีความคิดสร้างสรรค์เป็นยอด

-สีทอง ว่ากันว่าถ้าใส่เครื่องประดับสีทอง เงินทองจะไหลมาเทมา

-สีเหลือง ใส่เสื้อสีนี้เวลาเซ็งๆ แล้วอารมณ์จะเปลี่ยนเพราะสีนี้ทำให้รู้สึกสดใสกระฉับกระเฉง จะได้เลิดซังกะตายเสียที

-สีม่วง อย่าไปยุ่งเชียวเขากำลังต้องการโลกส่วนตัว

รู้หรือยัง “น้ำ“ ก็ช่วยลดน้ำหนักได้


"น้ำเปล่า"...ที่เราดื่มกินกันอยู่ทุกวัน มีประโยชน์มากกว่าช่วยดับกระหาย เพราะจากผลการวิจัย พบว่า เมื่อเพื่อน ๆ ดื่ม น้ำเย็นในปริมาณ 500 มิลลิลิตร หลังอาหารทุกครั้ง จะช่วยให้ร่างกายมีอัตราการเผาผลาญแคลอรี่สำหรับย่อยอาหารเพิ่มขึ้นถึง 30%

และยังมีงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งที่ระบุว่าการดื่มน้ำ 2 ลิตรต่อวัน จะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรีเพิ่มขึ้นถึง 150 แคลอรีต่อวัน...ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อระบบเผาผลาญในร่างกายดี ย่อมส่งผลให้หน้าท้องของเพื่อน ๆ แบนราบเรียบ ไม่มีอาการบวมน้ำ อันเป็นสาเหตุของหน้าท้องโตมากวนใจอีกด้วย

นอกจากนี้ ร่างกายกว่า 80% ของเพื่อน ๆ ยังเต็มไปด้วยน้ำ...แต่อนิจจาน้ำในร่างกายของเราย่อมมีวันเสื่อมสลายไป ถ้าใช้เป็นอย่างเดียว แต่ไม่ยอมเติมเข้าไป หรือเติมเข้าไปน้อย ก็จะทำให้ผิวหนังของเราเกิดอาการฝ่อ หรือที่ภาษาชาวบ้าน เรียกว่า เหี่ยว นั่นเอง ดังนั้น เพื่อน ๆ จึงต้องหมั่นเติมน้ำเข้าไปในร่างกายอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อสร้างความชุ่มชื่นให้กับผิวหนัง...ผิวพรรณของเพื่อน ๆ จะได้สวยใสอยู่ตลอดเวลา


เคล็ดลับเติมพลังสมอง





หาก ไม่อยากป่วยด้วยโรคทางสมอง ลองปฏิบัติตามเคล็ดลับเติมพลังสมองด้วยวิธีง่าย ๆ แค่อย่าละเลยการรับ ประทานอาหารมื้อเช้า เพราะมีผลต่อความจำที่ดี ทั้งยังป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ

สำหรับอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อ สมองด้านความจำคืออาหารที่มีโอเมก้า 3 วิตามินบี1 บี6 และบี12 รวมทั้งวิตามินซีเพื่อความกระปรี้กระเปร่า น้ำมันพริมโรสเติมความชุ่มชื่นให้เซลล์ และดื่มน้ำมาก ๆ แต่ก็ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัด

อีกทั้งขณะหลับร่างกายจะหลั่งสาร เมลาโทนิน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสมอง ดังนั้นในแต่ละวันควรหลับพักผ่อนไม่ต่ำกว่า 6-7 ชั่วโมง ที่สำคัญต้องไม่นอนดึก

ในเรื่องความคิดควรคิดในเชิงบวก นับตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้า หากมีจิตใจที่แจ่มใส ตลอดทั้งวันอารมณ์ความรู้สึกก็จะเบิกบาน ทั้งยังต้องหมั่นหัวเราะเพื่อผ่อนคลายกังวล

ถึงแม้จะเป็นเรื่องน่า เบื่อสำหรับบางคน แต่คุณรู้หรือไม่ว่า การ นั่งสมาธิเพียงวันละ 10 นาที ให้สมองเข้าสมาธิแบบลึก จัดเป็นการผ่อนคลายสมองที่ดี เสริมสร้างจินตนาการ ไม่ทำให้หลงลืมอะไรง่าย ๆ

ส่วนเรื่องใกล้ตัวอยู่แค่ปลายจมูก อย่าง การหายใจก็ช่วย เพิ่มพลังให้สมองได้ แค่สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และผ่อนออกช้า ๆ เพียง 15 นาทีต่อวัน จะทำให้สมองได้ถ่ายเทออกซิเจนได้เต็มที่สมองต้องการ 20-25%

สิ่งที่ไม่ควรมองข้าม คือ การเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อย่างสม่ำเสมอ เช่น ฝึกเขียนหนังสือด้วยมือข้างที่ไม่ถนัด เพื่อ การบริหารสมองทั้งซีกซ้ายและขวา หรือฝึกคิดคำนวณ แก่ปริศนาบ่อย ๆ นอกจากนี้ยังต้องออกกำลังกายเป็นประจำ และควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานด้วย.

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เด ลินิวส์

วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ASUS Eee Pad EP101TC เปลี่ยนใจใช้หุ่นกระป๋อง (น้อง Android)

เป็นข่าวดีที่หลายๆ คนคงดีใจ เมื่อทาง ASUS ตกลงจะให้ EP101TC ควงคู่มากับหุ่นกระป๋อง Android แทนจะเป็นปู่แก่อย่าง Windows CE ASUS และผู้ผลิต Tablet ทั้งหลายจะหันเข้าหาระบบปฏิบัติการของ Google ในตอนนี้

 ASUS Eee Pad EP101TC  เปลี่ยนใจใช้หุ่นกระป๋อง (น้อง Android)

เพระายังไม่มีข้อมูลของ Android 3.0 หรือ Gingerbread แต่คาดว่าน่าจะมีความชัดเจนในช่วงฤดูใบไม้ร่วงของฝรั่ง ทาง ASUS เองวางแผนที่จะรอ 3.0 ตั้งตัวก่อนและค่อยปล่อยออกมาในไตรมาสแรกของปีหน้า ถ้าเกิดรอปีหน้าไม่ไหว ก็รอไปทดสอบของใหม่ก่อนช่วงปลายปีกันได้

ที่มา : netbooknews.com

เมนูห้ามรับประทานขณะท้องว่าง !!



ก่อนที่จะรับประทาน ควรเลือกชนิดของอาหารเสียก่อนนะคะ เพราะบางทีอาหารที่เราทานลงไปทั้งๆ ที่มีประโยชน์แต่ไม่ถูกเวลา ก็อาจส่งผลเสียบางอย่างที่เราคาดไม่ถึงก็ได้ค่ะ ไปดูกันว่าอาหารที่ไม่ควรรับประทานขณะท้องว่างมีชนิดใดบ้าง

นม และนมถั่วเหลือง
แม้ว่านมถั่วเหลืองจะอุดมไปด้วยโปรตีน แต่จะเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่อกระเพาะอาหารมีสาร
ประเภทแป้งอยู่

เหล้า
หาก ดื่มเหล้าในขณะท้องว่าง จะไปกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร ทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ
และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้

น้ำตาล หรืออาหารหวาน
ไม่ควรรับประทานอาหารหวานหรือน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม ลูกอม ช็อกโกแลต เพราะหากรับประทานขณะ
ท้องว่างจะทำให้โปรตีน รวมตัวกับน้ำตาลส่งผลต่อการดูดซึมโปรตีนทุกชนิดและลดสมรรถภาพการทำงานของ ระบบหมุนเวียนเลือดและไต

ชาที่แก่เกินไป
ชาทำ ให้กรดเกลือในน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง ส่งผลให้การทำงานของระบบย่อยอาหารลดลง
และเกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะมือเท้าไม่มีแรง จิตใจไม่สงบ

ลูกพลับ
ไม่ ควรรับประทานลูกพลับในขณะที่ท้องว่าง เพราะกระเพาะอาหารจะหลั่งกรดเกลือออกมามาก หากไป
รวมตัวกับยาง และสารแขวนลอยในลูกพลับแล้ว จะทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร

กล้วย
เพราะ กล้วยอุดมไปด้วยธาตุแมกนีเซียม การรับประทานกล้วยขณะท้องว่าง จะทำให้ปริมาณธาตุ
แมกนีเซียมในเลือดสูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียมไปเป็นการยับยั้งการทำงานของ หลอดเลือด
หัวใจเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างยิ่ง

กระเทียม
เพราะ จะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารได้รับการกระตุ้น เกิดโรคกระเพาะอาหารอักเสบอย่างรุนแรง

ผัก
การ รับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้กระเพาะอาหารเกิดอาการผิดปกติ

นอก จากนั้นยังไม่ควรอาบน้ำและออกกำลังกายด้วยเช่นกัน เพราะการอาบน้ำและการออกกำลังกายใน
ขณะที่ท้องว่าง จะทำให้เกิดอาการช็อกเนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำได้ง่าย อย่าลืมสิ่งใดที่มีคุณอนันต์ก็
อาจมีโทษมหันต์เช่นกัน ถ้าคุณปฏิบัติอย่างผิดวิธี

ห่างออกมาหนึ่งก้าว รักเราเท่าเดิม

ในความเป็นไปของชีวิต
คนหลายคนยอมที่จะอยู่เป็นโสด
เพียงเพื่อจะ ได้ใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงในกรอบของตัวเองอย่างที่ไม่มีใครมาทัดทานได้
เขา เหล่านั้นมักคิดว่า เมื่อความรักเริ่มต้น ชีวิตผจญภัยก็พังทลาย
เมื่อรับ ใครอีกคนเข้ามาในชีวิต โลกส่วนตัวของพวกเขาก็จะล่มสลาย
ความรักกลืนกิน โลกใบเดิมของเราไปจริงหรือเปล่า?
ความใกล้ชิดจะทำให้เราสูญเสียจุดยืนที่ แท้จริงอย่างนั้นใช่ไหม?

แต่ฉันไม่คิดอย่างนั้น... คนเราทุกคนมีโลกกลมๆ คนละใบ
กว้างบ้าง เล็กบ้างตามความพอใจ
ในโลกกลมๆ ใบนั้นเราต่างบรรจุวิถีชีวิต ความรัก ความคิด
ความเป็นตัวเองไว้อย่างเต็มเปี่ยม และเมื่อความรักปรากฏตัว
โลก กลมๆ ของคนอีกคนก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า
แต่ใช่ว่าเราจะต้องกระโดดออกจากโลก ของเราไปอยู่ในโลกของเขาเสียเมื่อไหร่
แล้วไม่มีความจำเป็นใดที่เขาจะ ต้องกระโดดออกจากโลกของเขามาอยู่ในโลกของเราด้วย

วิธีง่ายๆ ที่จะทำให้คนสองคนมีโลกใบเดียวกัน
โดยไม่ละทิ้งโลกส่วนตัว ใบเดิมก็คือ "การยูเนี่ยน" (UNION) โลกสองใบเข้าไว้ด้วยกัน
มันเป็นวิธี ง่ายๆ ตามหลักคณิตศาสตร์ที่เราเคยเรียนรู้กัน เมื่อวงกลมสองวงคล้องเกี่ยวกันไว้
ส่วนที่อยู่ในเนื้อที่ของกันและกัน นั้น เราเรียกว่า"อินเตอร์เซ็คชั่น" (INTERSECTION)
ซึ่งข้อดีของมันก็ คือ ช่วยให้วงกลมสองวงที่ไม่คุ้นเคยกันมาก่อน ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ได้ แชร์ชีวิตร่วมกัน และมีโลกใบเดียวกัน ในขณะที่ส่วนอื่นๆ
ที่ไม่ได้ถูก อินเตอร์เซคชั่นนั้น ก็ยังมีชีวิตของมันต่อไป
และมันก็ยังเป็นโลกใบเดิม ที่บรรจุความเป็นตัวของตัวเองไว้อย่างครบถ้วน

เหมือนความรัก.... โลกที่คนสองคนเกี่ยวคล้องกันไว้นั่นแหละ
คือโลกที่ ความรักสร้างขึ้น คือโลกที่คนสองคนจะโอบกอดกันได้ทุกเวลา
และแชร์ ทุกอย่างร่วมกัน ตั้งแต่กินข้าวด้วยกัน ดูหนังด้วยกัน
ฟังเพลงด้วยกัน ห่มผ้าผืนเดียวกัน.. มันเป็นโลกที่แสนอบอุ่นสำหรับคนเหงา
แต่ถ้ารู้สึก ว่าอยากกลับไปเยี่ยมเยือนโลกใบเดิมของตัวเองสักหน่อย
ก็แค่กระโดดออกจาก ส่วนที่อินเตอร์เซคชั่นไว้
ห่างออกมาสักหนึ่งก้าว...วิถีชีวิตอิสระของ นักผจญภัยก็จะเดินหน้า
ในขณะที่โลกสองใบก็ไม่ได้แยกจากกันไปไหน
เพราะ มันเกี่ยวคล้องกันไว้อย่างแน่นหนา

เพราะฉะนั้นฉันจึงเชื่อว่าความรักกลืนกินโลกของใครไม่ได้หรอก
นอกเสีย จากว่าคนสองคนเต็มใจที่จะเคลื่อนวงกลมเข้าใกล้กันเองจนซ้อนกันมากขึ้นๆ
และ กลายเป็นวงกลมเดียวกันในที่สุดที่ใช้ชีวิตในวงกลมเดียวกันอย่างที่ไม่เคย รู้สึกว่าความรัก
จะลดน้อยลงไปได้เลย........

เลือกเข็มขัดให้เหมาะกับชุดเก่ง


The Right Belt for The Right Dress

ไม่ใช่เข็มขัดเส้นเดียวจะแมตช์ได้กับเสื้อผ้าทุกชุดจริงๆ แล้วการเลือกเข็มขัดให้เหมาะกับชุด ก็สามารถช่วยสร้างลุคที่ดูมีสเน่ห์ให้คุณได้ แถมยังเน้นช่วงสรีระของคุณให้ดูสะโอดสะองยิ่งขึ้นด้วย

1. เข็มขัด 3 เส้น เหมาะกับเดรสสไตล์แกลดิเอเตอร์อาจจะ เป็นไหล่เดี่ยว หรือแขนกุดก็ได้ที่สำคัญต้องเลือกเป็นมินิเดรสจะทำให้คุณดูน่ารักสดใสกว่า เคย

2. เข็มขัดเส้นหนา เลือกเป็นชุดเดรสยุค 50s ที่เสริมโครงตรงช่วงอกคล้ายๆคลอเซ็ตสำหรับผู้หญิงอาจเป็นลายจุด หรือลายเรขาคณิตดูวินเทจเล็กๆ

3. เข็มขัดสานเส้นเล็ก สำหรับเดรสสายเดี่ยวแต่งระบายที่ชุดและที่สายเสื้อเน้นโทนสีสดใสอย่างสี เหลือง หรือทองเพื่อให้เหมาะกับเข็มขัดเส้นเล็กสีธรรมชาติ และไม่ทำให้จีบหรือระบายดูหนาเกินไป

9 วิธีพิชิตตำแหน่ง เพื่อนซี้

เพื่อน




1...อย่าลืมวันเกิดเพื่อนซี้เด็ดขาด (ถ้าไม่ซี้ลืมได้)

ทำ อย่างไรก็ได้เพื่อกันลืม เช่น วงกลมวันเกิดเพื่อนในปฏิทินเขียนติดไว้หน้ากระจก หรือใช้วิธีไฮเทคด้วยการบันทึกไว้ในมือถือ เมื่อถึงวันเกิดเพื่อน เจ้ามือถือก็จะส่งเสียงเตือนให้คุณรู้เอง

2...ซื่อสัตย์ต่อมิตรภาพ

อย่าทิ้ง เพื่อนสุดซี้ของคุณให้เดียวดาย แม้ว่าคุณอยากมีเพื่อนใหม่ที่เลิศเลอแค่ไหน เพราะคุณจะรู้ได้อย่างไรว่า เพื่อนใหม่จะนิสัยดีเหมือนเพื่อนซี้หน้าเดิม

หากอยาก มีเพื่อนใหม่หรืออยากเข้ากลุ่มใหม่ ก็ดึงเพื่อนของคุณไปด้วยสิ

3...อย่านินทาเพื่อนทั้งต่อ หน้าและลับหลัง

เพราะการกระทำแบบนี้ไม่เจ๋งสักนิด และคุณเองนั่นแหละที่อาจโดนขับออกจากกลุ่ม

4...หากเพื่อนกำลังเศร้าพยายามทำให้เธอยิ้มได้

เช่น ปลอบใจ หรือจะกอดก็ไม่ว่าเพราะการสัมผัสทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้นได้ ถ้ายังไม่ได้ผล คิดดูซิว่ากิจกรรมที่เพื่อนคุณชอบคืออะไร แล้วชวนไปทำด้วยกัน

5...คงไม่มีใครชอบทะเลาะกับเพื่อน

แต่ ถ้าเลี่ยงไม่ได้ คุณเองควรเป็นฝ่ายยุติเรื่องราว ให้เหตุผลที่ดีกับเพื่อนว่า คุณต้องการอะไรและถามด้วยว่าเพื่อน ไม่เข้าใจคุณตรงจุดไหนจะได้หาวิธีประนีประนอม

6...คุณต้องพร้อมให้การแนะนำอย่างตรงไปตรงมา

แต่ ใช้คำพูดที่ไม่หักหาญน้ำใจ หากเพื่อนคุณใส่เสื้อเขียวตัวพอง กางเกนขาบานสีแดง ซึ่งดูเหมือนเพิ่งหลุดออกมาจากเล้าไก่

คุณคงไม่ บอกเธอไปตรงๆแบบนั้น อาจบอกเธอว่าเธอใส่เสื้อยืด กางเกนขายีนดูดีกว่าเยอะเลย

7...เชื่อ ใจเพื่อนซี้แสนดีของคุณเถอะ

ถ้าคุณไว้ใจถึงขั้นบอกความ ลับของคุณกับเพื่อนแล้ว แน่ใจได้ว่าเขาหรือเธอจะเชื่อใจและพูดกับคุณได้ทุกเรื่องเช่นกัน

8... ถ้าเพื่อนคิดว่ากำลังเล่าเรื่องตลกอยู่

ถึงแม้มันจะแป้กที่ สุดเท่าที่คุณเคยได้ยินมา แต่คุณก็ควรจะขำเพื่อรักษาน้ำใจ เถอะน่า! เพราะอย่างน้อยเพื่อนคุณก็ได้พยายามแล้วนะ

9...เรื่องบางเรื่องที่เพื่อนเล่าให้ฟัง แล้วเป็นความลับ

ถ้าไม่ลองก้าวขา...ก็ไม่รู้ว่าตัวเอง วิ่งได้




บาง ครั้ง?.
คนเราก็ต้องการที่สงบๆ เพื่อคุยกับตัวเอง
และบางครั้ง?เราก็ ต้องลองอยู่กับตัวเองนิ่งๆ
เพื่อการเรียนรู้ที่จะค้นพบตัวตนบางอย่างของ เรา


แต่ในบางเวลา?
การเคลื่อนไหว?ก็ไม่ได้หมายถึงว่า?ใจไม่ นิ่ง
ตราบใดที่ใจยังอยู่กับตัว และเรายังสามารถควบคุมตัวเองได้
การ ก้าวเท้าออกไปนอกบ้าน?
ก็อาจจะเปิดมุมมองใหม่เข้ามาในใจ
และขุดตัวตน บางอย่างที่ฝังอยู่ลึกๆ ในตัวเราออกมาให้เห็น


ถ้าไม่ออกไปเห็นโลกบ้าง
ถ้าไม่ลองมองดูใครบ้าง
ก็ ไม่มีวันรู้ความคิดของตัวเอง?


การได้ พบเจอผู้คนตามสถานที่ต่างๆ
จึงมิใช่แค่การเรียนรู้ความเป็นไปของสังคม เท่านั้น
แต่กลับเป็นการเรียนรู้ตัวเอง?
จากการนำตัวเองไปปะทะกับโลก ภายนอก
เราจะปกป้องตัวเองอย่างไร?
เราจะปฏิบัติกับโลกภายนอกอย่างไร
เรา จะเอาตัวรอดได้ไหม


ถ้าไม่ลองก้าวขา?ก็ไม่รู้ว่า ตัวเองวิ่งได้
นั่นคงเป็นสัญญาณที่บอกให้ เรารู้ว่า...
นอกจากเราจะสามารถค้นหาตัวเองจากความสงบแล้ว
เรายัง สามารถค้นพบตัวเองจากความวุ่นวายได้ด้วย...



ขอบคุณที่มา : Life On The Road

4 เทรนด์อุตสาหกรรมโทรคมนาคมในทศวรรษหน้า





ภายใต้อิทธิพล ของคำว่า "นวัตกรรม" ประตูบานใหม่ๆ ทางสังคมและเศรษฐกิจกำลังเปิด ด้วยกระแสความเฟื่องฟูของสังคมออนไลน์และความล้ำหน้าด้านเทคโนโลยี

กระแส ความเฟื่องฟูของเครือข่ายสังคมออนไลน์ และความล้ำหน้าด้านเทคโนโลยี ที่เข้ามามีบทบาทในการ "ผนึก" โลกเสมือนและโลกจริงเข้าด้วยกัน เมื่อมาผนวกกับการกระจายตัวของการใช้งานคอมพิวเตอร์ และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (บรอดแบนด์) ที่ลดช่องว่างในการเข้าถึงลงไปได้เรื่อยๆ กำลังเปิดประตูบานใหม่ๆ ทางสังคมและเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ๆ ที่ก่อกำเนิดภายใต้อิทธิพลของคำว่า "นวัตกรรม"

ล่าสุด นิตยสาร "หัวเว่ย คอมมูนิเคท" ได้คาดการณ์ถึงเทรนด์ที่จะเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมทศวรรษหน้าไว้ ครอบคลุม 4 ด้านหลัก

1. เชื่อมต่อทุกสิ่งผ่านเน็ต
หนึ่งในแนวโน้มที่ยักษ์สื่อสารระดับโลกคาดว่าจะเกิดขึ้นแน่นอน ก็คือ Internet of Things ซึ่งจะเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ และขยายฐานผู้ใช้บริการ
เนื่องจากการพัฒนาของเทคโนโลยีการสื่อสารเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว ซึ่งรวมถึงอินเทอร์เน็ตบนโทรศัพท์มือถือ (โมบาย บรอดแบนด์) ทำให้เกิด "global village" ขึ้น ซึ่งเปรียบเสมือนการย่อส่วนโลก ให้เหลือเป็นเพียงหมู่บ้านหนึ่งหมู่บ้าน ที่สามารถเชื่อมต่อกันได้ทุกส่วนในเวลาเดียวกัน อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็ยังไม่สามารถลบล้างปัญหาต่างๆ ในด้านพลังงาน สิ่งแวดล้อม สุขภาพ และด้านอื่นๆ อีกมากมาย
ปัญหาต่างๆ ดังกล่าว ได้นำไปสู่จุดกำเนิดของแนวความคิดที่เรียกว่า "Internet of Things" หรือการเชื่อมต่อทุกสิ่งเข้ากับอินเทอร์เน็ต และนำเทคโนโลยีด้านการสื่อสารมาประยุกต์ใช้กับอุตสาหกรรมอื่นๆ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานต่างๆ ลดการใช้พลังงาน ปกป้องธรรมชาติ และลดต้นทุน กล่าวได้ว่า Internet of Things สามารถนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่สังคม เป็นการยกระดับจากสังคมออนไลน์ หรือที่เรียกกันว่า E-society ให้กลายเป็นสังคมที่สามารถเชื่อมต่อถึงกันได้ทุกหนทุกแห่งอย่างแท้จริง หรือ U Society (Ubiquitous society)
ทั้งนี้ มีการคาดการณ์กันไว้ว่า จะมีการติดต่อสื่อสารระหว่างระบบคอมพิวเตอร์มากกว่าการสื่อสารระหว่างมนุษย์ ด้วยกันถึง 30 เท่า ภายในปี 2563 ดังนั้น ผู้ให้บริการจึงสามารถเปลี่ยนแนวความคิดในการทำตลาด และขยายฐานลูกค้าของตัวเองจาก 6 พันล้านคน ให้ครอบคลุมคอมพิวเตอร์นับล้านล้านเครื่องได้ ดังนั้น Internet of Things จึงเปิดโอกาสใหม่ให้กับผู้ให้บริการ และช่วยขยายฐานผู้ใช้บริการ ทำให้เกิดกลุ่มผู้ใช้บริการใหม่ๆ ขึ้นอย่างมากมาย


2. โมบาย บรอดแบนด์

ขณะที่ในส่วนของโมบาย บรอดแบนด์ ก็ถูกจับตามองว่า จะมีบทบาทสร้างพลังขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมแบบก้าวกระโดด เพราะถึงแม้การพัฒนาเทคโนโลยีโมบาย บรอดแบนด์ จะเริ่มเข้าสู่ยุคทองแล้ว แต่ที่ผ่านมา ยังไม่สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เนื่องจากข้อจำกัดในทุกภาคส่วนของอุตสาหกรรม นับตั้งแต่อุปกรณ์ปลายทาง และเครือข่ายไปจนถึงการบริการ
"ถึงแม้เทคโนโลยีการสื่อสารใหม่ๆ อาทิเช่น HSPA หรือ LTE จะสามารถช่วยลดต้นทุนในการพัฒนาโมบาย บรอดแบนด์ได้ แต่ยังมีอุปสรรคที่ผู้ให้บริการจะต้องเผชิญในอนาคตอีกมาก โดยเฉพาะความต้องการการใช้งานที่จะเพิ่มสูงขึ้นหลายเท่าตัว"
ดังนั้น ถ้าผู้ให้บริการต้องการที่จะเติบโตอย่างมั่นคงและต่อเนื่อง จึงจำเป็นต้องมุ่งพัฒนาบริการโมบาย บรอดแบนด์ มากกว่าจะพัฒนาบริการด้านเสียงเพียงอย่างเดียว


3. การสร้างรูปแบบธุรกิจใหม่ๆ
นอกจากนี้ กระแสความนิยมของบรอดแบนด์ยังเป็นพื้นฐานของเทคโนโลยี ทำให้รูปแบบธุรกิจเปลี่ยนไปจาก "การขายผลิตภัณฑ์" เป็น "การขายบริการ" แทน
การเปลี่ยนแปลงนี้เองส่งผลกระทบต่อบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างๆ ที่ขายซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ ในขณะที่ผู้ให้บริการเองจะสามารถเปลี่ยนเครือข่ายที่ปลอดภัยและมั่นคงให้ กลายเป็นข้อได้เปรียบในการแข่งขันได้ และนำไปสู่การสร้างรูปแบบการให้บริการใหม่ๆ ขึ้น จนเกิดเป็นฐานรายได้ใหม่ในที่สุด



4. โฮมเน็ตเวิร์คปฏิวัติประสบการณ์

แนวโน้มสุดท้ายที่มีการคาดการณ์ไว้ ก็คือ "โฮม เน็ตเวิร์ค" ในแง่ที่จะเข้ามาปฏิวัติประสบการณ์การใช้งานพร้อมช่วยเปิดตลาดใหม่
ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของอัตราการใช้บรอดแบนด์ จะนำไปสู่การปฏิวัติประสบการณ์การใช้งานของผู้บริโภคในรูปของเครือข่ายโฮม เน็ตเวิร์ค หรือเครือข่ายภายในบ้าน โดยหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดจะเกิดขึ้นกับธุรกิจโทรทัศน์ ผู้บริโภคจะสามารถเลือกชมรายการได้เองตามที่ตัวเองต้องการ ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานีโทรทัศน์และตลาดโฮมวีดิโออย่างแน่นอน
"สตีฟ บอลเมอร์" ซีอีโอ บริษัท ไมโครซอฟท์ กล่าวไว้ว่า ในอดีตได้เห็นการคอนเวอร์เจนซ์ของโทรคมนาคมและอินเทอร์เน็ตมาแล้ว แต่ในทศวรรษหน้าจะเห็นการหลอมรวมของบรอดคาสต์ ทีวี และอินเทอร์เน็ต
แนวโน้มเด่นๆ ข้างต้นจะทำให้ผู้ให้บริการสามารถก้าวข้ามผ่านกำแพงธุรกิจต่างๆ และยกระดับอุตสาหกรรมโทรคมนาคม ขณะเดียวกัน การใช้งานเครือข่ายเคลื่อนที่จะเพิ่มสูงขึ้นนับพันเท่า และนำมาซึ่งความท้าทายในด้านแบนด์วิธและต้นทุน ดังนั้น ผู้ให้บริการจึงจำเป็นต้องรู้ถึงแนวโน้มเหล่านี้ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือและคว้าโอกาสต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น เพื่อให้สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในทศวรรษหน้า




ข้อมูล จาก สถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.)
ที่มา วิชาการ.คอม

จัดสังฆทานอย่างไรให้ได้ประโยชน์





สังฆทานคืออะไร

พจนานุกรมเพื่อการศึกษา พุทธศาสน์ ชุดคำวัด โดย พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ. 9 ราชบัณฑิต) วัดราชโอรสาราม กรุงเทพฯ ให้ความหมาย “สังฆทาน” ไว้ดังนี้

“สังฆทาน” คือ ทานที่ตั้งใจถวายแก่สงฆ์หรือผู้แทนของสงฆ์ ไม่จำเพาะเจาะจงรูปใดรูปหนึ่ง หากถวายโดยเจาะจง เรียกว่า ‘บุคลิกทาน’ ดังนั้น สังฆทานมีอานิสงส์มากกว่าบุคลิกทาน เพราะผู้ถวายมีจิตใจที่กว้างขวาง ไม่เจาะจงว่าจะเป็นภิกษุรูปใด เป็นการแสดงถึงความตั้งใจจะถวายด้วยศรัทธาอันเป็นสาธารณะ

ดังนั้น การทำบุญเลี้ยงพระในงานต่างๆ การไปทำบุญตักบาตรที่วัด การใส่บาตรพระที่เดินบิณฑบาต หากไม่จำเพาะเจาะจงพระรูปใดรูปหนึ่ง นับเป็นสังฆทานทั้งสิ้น

มีทานอีกรูปแบบหนึ่งที่คล้ายๆ สังฆทาน เป็นทานที่มีอาณาเขตกว้างขวางกว่าคือ ทานที่ให้แก่หมู่พวกที่ไม่เฉพาะกลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่งเรียก สาธารณทาน เป็นทานที่ไม่จำกัดเฉพาะในรั้ววัด เป็นการให้ที่ไม่มีขอบเขต สังฆทานเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณทานเช่นนั้น



จัดสังฆทานให้ได้ประโยชน์

เดี๋ยวนี้ เวลาพูดถึง “สังฆทาน” พวกเราจะนึกถึงถังสีเหลืองๆ ภายในบรรจุข้าวของเครื่องใช้เยอะแยะมากมาย จนล้นออกมาปากถัง แล้วมีพลาสติกใสหุ้มทับอีกที

แท้จริงแล้วของที่จะถวายหมู่พระสงฆ์ โดยไม่เจาะจงที่เรียกว่า สังฆทาน นั้น คืออะไรก็ได้ที่เหมาะกับชีวิตสมณะ ไม่จำเป็นต้องเป็นถังเหลืองๆ ที่วางขายตามหน้าร้านสังฆภัณฑ์เสมอไป

ข้าว ของเครื่องใช้ที่บรรจุมักเป็นของที่พระภิกษุเก็บไว้ใช้ในช่วงวันเข้าพรรษา (ประมาณ 3 เดือน) ส่วนมากก็จะเป็นของที่ใช้ดำรงชีวิตทั่วไปเหมือนเราๆ ท่านๆ นี่แหละ เช่น ผงซักฟอก, ยาสีฟัน, แปรงสีฟัน, สบู่, ยาสระผม เป็นต้น จะมีเพิ่มมาหน่อยก็จะเป็นผ้าอาบน้ำฝน สบงจีวรเครื่องนุ่งห่ม ที่พระภิกษุจะต้องมีไว้ใช้

ถ้าเราไม่รู้ว่าจะซื้ออะไรไปถวายพระสงฆ์ ดี เพราะฉะนั้นจึงต้องอาศัยเครื่องสังฆทานที่มีจำหน่ายตามร้านบรรจุให้สำเร็จ รูป อีกทั้งการบรรจุกระป๋องก็ทำมาให้เรียบร้อยสวยงาม ซื้อปุ๊บก็ถือไปถวายปั๊บ เข้ากับยุคสมัยพอดี ไม่ต้องเสียเวลาไปซื้อหามาประกอบให้ลำบาก

ถึง เวลาที่ต้องมาทบทวนการทำสังฆทานกันเสียที สังฆทานที่ดีไม่จำเป็นต้องมีของถวายมากมาย ขอเพียงเป็นของที่จำเป็นและมีคุณภาพดีเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว และการเลือกซื้อของมาประกอบเป็นสังฆทานเอง จะได้ของดีมีคุณภาพกว่าการไปซื้อ “ถังเหลืองๆ” ตามร้านสังฆภัณฑ์ทั่วไป หากผ้าอาบน้ำฝนราคาผืนละ 60-80 บาท ราคาถังสังฆทานก็จะประมาณ 200-600 บาท แล้วแต่ของข้างในและขนาดถัง

“ถังเหลืองๆ” ที่มีวางขายตามร้านสังฆภัณฑ์นั้น บางร้านจะยัดหนังสือพิมพ์หรือกระดาษแข็งเข้าไว้เต็มกระป๋อง ส่วนที่เป็นสังฆทานหรือข้าวของเครื่องใช้จริงๆ จะถูกบรรจุไว้แถวขอบปากถัง เพื่อให้ดูว่ามีของใช้มากมายจนล้นปากถัง แล้วเอาพลาสติกใสหุ้มอีกทีเพื่อไม่ให้ของล้นจนหก แท้จริงแล้วมีของใช้ไม่กี่อย่างเท่านั้นเอง





ข้าวของเครื่อง ใช้ที่ซื้อหามาจัดเป็นสังฆทานได้

- สบู่ จัดเป็นเครื่องประทินผิว แต่พระก็ใช้ได้เพื่อทำความสะอาดและระงับกลิ่นกาย

- ยาสีฟัน ชนิดผงหรือแบบหลอดก็ได้ ยาสีฟันสมุนไพรก็น่าสนใจ

- แปรงสีฟัน เลือกที่เป็นชนิดขนแปรงอ่อนๆ จะได้สบายเหงือก

- ยาสระผม เอาไว้ใช้เวลาโกนศีรษะจะได้โกนได้ง่ายขึ้น

- ใบมีดโกน เป็นของจำเป็นมาก เพื่อใช้โกนศีรษะ

- ผงซักฟอก ใช้ซักจีวรเพื่อความสะอาด

- เครื่องดื่มสมุนไพรพร้อมชง จำพวกขิงผง ชารางจืด มะตูม, นม UHT, น้ำผัก-น้ำผลไม้ 100 % , เครื่องดื่มผสมธัญพืช หรือจะเป็นเครื่องดื่มรสช็อกโกแลต ไมโลหรือโอวัลตินพร้อมดื่มก็ได้ ที่สำคัญอย่าลืมดูวันหมดอายุก่อนซื้อด้วย

- ผ้าอาบน้ำฝน เลือกที่เนื้อหนาๆ หรืออาจเลือกซื้อเป็นสบง (ผ้านุ่ง) หรือจะเป็นอังสะก็ได้ เพราะพระท่านมักจะมีผ้าอาบน้ำฝนอยู่มากแล้ว จะขาดแคลนก็คือสบงและอังสะ ถ้าถวายให้สามเณรก็จัดเหมือนพระเช่นกัน

- ถวายสังฆทานแม่ชี ก็เปลี่ยนจากผ้าเหลืองเป็นชุดแม่ชี ซึ่งหาซื้อได้จากวัดบวรนิเวศวิหาร, สถาบันแม่ชีไทย หรือร้านสังฆภัณฑ์ทั่วไป หากหาซื้อไม่ได้ก็เปลี่ยนเป็นผ้าขาวเนื้อดีตามร้านขนาด 2-4 เมตรแทน จากนั้นแม่ชีท่านจะนำไปตัดเย็บเป็นเสื้อ ผ้าถุง ผ้าครอง ตามสมควร

- ซีดีธรรมะ หนังสือธรรมะ หนังสือเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม หนังสือเกี่ยวกับสุขภาพ หรือหนังสือความรู้ต่างๆ ที่คิดว่าพระสงฆ์ควรรับรู้เพื่อนำไปบอกกล่าวแก่ญาติโยมได้

- ยาสมุนไพรต่างๆ รวมทั้งยาแผนปัจจุบัน เช่น พาราเซตามอล ยาแก้ปวดท้อง ท้องเสีย ยาลดกรด ในกระเพาะอาหาร แอลกอฮอล์ล้างแผล เบตาดีนสำหรับใส่แผลสด ยาบรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และยาทาเมื่อถูกแมลงสัตว์กัดต่อย ฯลฯ

- เครื่องเขียน สมุด ปากกา ดินสอ รวมทั้ง ซองจดหมาย แสตมป์

- ไฟฉาย ถ่านไฟฉาย ซึ่งวัดตามชนบทและวัดป่าสิ่งนี้ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นมาก

- จาน ชาม ช้อน ส้อม อาจสอบถามดูว่าวัดนั้นๆ ต้องการจำนวนมากหรือไม่ จะได้จัดเป็นชุดใหญ่ถวายเป็นของสงฆ์ เพื่อให้ชาวบ้านหยิบยืมได้ด้วยในงานบุญประเพณีต่างๆ รวมทั้งเครื่องมืองานช่าง เช่น ค้อน ตะปู ไขควง หรืองานเกษตร เช่น จอบ เสียม พลั่ว และอุปกรณ์งานทำความสะอาด เช่น ไม้กวาดอ่อน ไม้กวาดแข็ง ถังขยะ ที่ตักผง ฯลฯ

- ร่ม สำหรับให้พระท่านได้ใช้ในช่วงฤดูฝน ควรหาซื้อสีที่เหมาะสม เช่น สีดำหรือสีน้ำตาล

- บาตร ควรหาซื้อบาตรที่มีความหนาพอสมควร เวลาที่ญาติโยมใส่ข้าวสุกร้อนๆ ลงไป มือท่านจะได้ไม่พอง ที่สำคัญไม่ควรมีน้ำหนักมาก เพราะท่านต้องใช้เดินบิณฑบาตเป็นระยะทางไกล

- ของอื่นๆ ที่มักนิยมใส่ก็มี กระดาษชำระ ข้าวสาร หัวหอม กระเทียม น้ำมันพืช น้ำตาล เกลือ น้ำปลา ฯลฯ ที่จัดว่าเป็นของแห้งเก็บไว้ได้นาน ของเหล่านี้ถ้าพระท่านใช้ไม่ทัน ท่านก็มักจะเก็บรวบรวมนำไปบริจาคต่างจังหวัดอีกที นับเป็นวงจรบุญไม่มีที่สิ้นสุด

จัดเรียงข้าวของที่ซื้อมาลงในภาชนะ ซักผ้าที่ซื้อมาต่างหาก อาจจะเป็นถังหรือกะละมังก็ได้ แล้วนำไปถวายได้ทันที





ข้าวของบางอย่าง ที่ไม่ควรถวาย

- บุหรี่ กาแฟ สิ่งเสพติด เครื่องดื่มชูกำลังทุกประเภท

- ผลิตภัณฑ์อาหารที่บรรจุด้วยโฟม เพื่อหลีกเลี่ยงมลพิษทางสิ่งแวดล้อม

- อาหารกระป๋อง ผลไม้กระป๋อง เพราะเป็นอาหารที่มีสารกันบูด สารเคมี ไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพ ใส่เป็นผลไม้สดจะดีกว่า ถ้าในวัดมีครัวอาจซื้อผักสดเข้าครัวก็ได้

- ใบชาคุณภาพต่ำ พระไม่ค่อยได้ชงฉัน ควรเปลี่ยนเป็นเครื่องดื่มสมุนไพร ให้ประโยชน์กับสุขภาพมากกว่า

- กล่องสบู่ ปกติพระท่านมีอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องซื้อถวายอีก

- บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารบิณฑบาตในตอนเช้าเป็นอาหารสด และมีคุณค่ากว่า ไม่ควรส่งเสริมให้ท่านฉันอาหารที่มีคุณค่าน้อย

- น้ำอัดลมหรือน้ำที่ผ่านการปรุงแต่งกลิ่นและสี เช่น น้ำส้ม น้ำองุ่นที่แต่งกลิ่นและสี






แสงสว่างไสวถึง ชาติหน้า

เทียนและหลอดไฟ เป็นอีกอย่างหนึ่งที่เป็นของ นิยมในการถวาย เพราะในสมัยก่อนพระสงฆ์ที่อยู่จำพรรษาในวัดต่างจังหวัดต้องใช้เทียนเพื่อ เป็นแสงสว่างในวัด แต่ในปัจจุบันวัดในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดส่วนใหญ่ก็เปลี่ยนมาใช้ไฟฟ้ากันแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าหากเราจะเปลี่ยนมาถวายหลอดไฟนีออนกันบ้าง ราคาเทียนที่ถวายกันก็จะประมาณ 150-1,600 บาท แล้วแต่ว่ามีสลักลายหรือไม่มี ถ้าขนาดเดียวกันก็จะต่างกันประมาณ 100 บาท

ถ้าดูจากความหมายแล้วก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่นัก เพราะนัยว่าจะทำให้ชีวิตของผู้ถวายรุ่งโรจน์สว่างไสวไปถึงภพหน้าชาติหน้า ยิ่งถ้าใครหนทางชีวิตมืดมิด ถือโอกาสดีช่วงเทศกาลเข้าพรรษานี้ถวายเทียนหรือหลอดไฟนีออนกันแก้เคล็ดสัก หน่อย สาธุ !!!

+++ Hamster +++

+++ Playlist +++


MusicPlaylistRingtones
Create a playlist at MixPod.com

+++ coming soon +++