วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553

วิธีทำผม ออกงาน สไตล์คุณหนูดูสดใส

วิธีทำผม ออกงาน สไตล์คุณหนูดูสดใส

.

ทรงผม

ขั้นตอนที่ 1

แบ่งผมเป็น 3 ช่อ จับผมขึ้นมานิดหน่อยให้เริ่มถักเยื้องไปด้านซ้ายนิดหน่อย

.

.

ทรงผม

ขั้นตอนที่ 2

เมื่อถักจนถึงปลายผมแล้ว ให้ใช้ยางรัดผมไว้ก่อน แล้วจึงไปถักอรกข้างนึงต่อ

.

.

ทรงผม

ขั้นตอนที่ 3

เมื่อถักเสร็จทั้ง 2 ข้างแล้ว ผมด้านหลังที่เหลือให้แบ่งผมเป็นอีกช่อนึง จัดตำแหน่งให้อยู่ช่วงหลังใบหู

.


ทรงผม

.

ขั้นตอนที่ 4

แล้วจึงรวบเปียทั้ง 2 ข้างมามัดไว้ด้วยกัน

.

.


ทรงผม

ขั้นตอนที่ 5

หางเปียที่เหลือให้พันรอบผมไว้ เพื่อปิดบางรัดผม จะได้สวยงาม

.


.

ทรงผม

.

.

ทรงผม

ขั้นตอนที่ 6

คราวนี้จะเริ่มดัดปลายผมที่เหลือ เพื่อกันไม่ให้ผมเสีย ควรฉีดเปรย์ไว้ก่อน


ทรงผม

.

.

ขั้นตอนที่ 7

ใช้ที่ม้วนผม ค่อยๆม้วนเข้าให้เป็นลอนด้วยการม้วนไปด้านหน้า

.

ทรงผม

.

ขั้นตอนที่ 8

ใช้นิ้วจัดช่อผม ยีให้เกิดวอลลุ่ม ผมจะได้พองมากขึ้น เท่านี้ก็ได้ทรงผมสวยน่ารักสดใสแล้ว

.

ทรงผม

ทำงานแบบไหนจึงไม่ป่วย





ในบรรดาโรคสมัยใหม่ ที่เข้าข่ายโรคที่ไม่ใช่โรค ที่นับวันจะทวีจำนวนสูงขึ้น และคุกคามชีวิตของ "คนทำงาน" มากขึ้นทุกวัน "โรคที่เกิดจากการทำงาน" เป็น หนึ่งในบรรดาดาวเด่นเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นโรคที่เกิดจากสภาพแวดล้อมในที่ทำงาน อุปกรณ์สำนักงาน หรือแม้แต่สารพิษต่างๆ ที่เกิดได้จากงานเฉพาะด้าน


น.พ.หทัย ชิตานนท์ ประธาน สถาบันส่งเสริมสุขภาพไทย มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ ให้ข้อมุลกรณีของผู้สูบบุหรี่ในอาคาร นอกจากจะล่องลอยอยู่ในอากาศแล้ว ยังเกาะติดกับผนัง ม่าน พรม และเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ซึ่งจะค่อยๆ ระเหยออกมาในอากาศ

"ควันบุหรี่ในอาคารสำนักงาน ไม่ได้ให้ผลร้ายในทันที หากเมื่อวานนี้ในห้องนี้มีคนมานั่งสูบบุหรี่ และวันนี้คุณเดินเข้ามาในห้อง ก็ยังได้รับอันตรายจากพิษของบุหรี่เข้าไปด้วย เพราะสารพิษของบุหรี่ยังอยู่ได้นานถึง 48 ชั่วโมง ในกรณีที่เป็นห้องปรับอากาศ ที่ไม่มีการระบายอากาศที่ดีด้วยนะ"

นอกจากสารพิษ อย่างเช่นควันบุหรี่ในสภาพแวดล้อมแล้ว เรื่องของ อุปกรณ์สำนักงาน ก็เป็นแหล่งที่มาแห่งโรคอีกประเภทหนึ่ง โดยเฉพาะอุปกรณ์สำนักงานที่มีประจำทุกแห่งในทุกสำนักงาน อย่าง"คอมพิวเตอร์" จากผลการศึกษาของนักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยสตอกโฮล์มในสวีเดน ระบุว่าตัวการที่เกิดอาการภูมิแพ้ คือสารประกอบทางเคมีที่มีชื่อว่า "triphenyl phophate" ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลาย ทั้งในจอโทรทัศน์และคอมพิวเตอร์ ในขณะเดียวกัน สารตัวนี้ก็ทำให้เกิดปฏิกริยาของโรคภูมิแพ้ อาทิ คัน คัดจมูกและปวดศรีษะ

คอมพิวเตอร์ จึงอาจเป็นต้นเหตุสำคัญที่แพร่กระจายสารเคมีที่ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ โดยเฉพาะสถานที่ทำงานที่มีเนื้อที่จำกัด ดังนั้นการระบายอากาศที่ดีจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ผลการวิจัยพบว่า มีเครื่องคอมพิวเตอร์ถึง 10 ยี่ห้อ ใน 18 ยี่ห้อ ที่ทำการทดสอบ มีระดับของสารเคมีที่ว่านี้ สูงมาก

ต้นตอของโรคจากที่ทำงานที่สำคัญ ที่ปัจจัยหนึ่ง มากจาก "ตึก" หรืออาคารสำนักงานนั่นเอง องค์การอนามัยโลกรายงานว่า ร้อยละ 30 อาการหรือตึกที่สร้างขึ้นใหม่ จะมีปัญหาคุณภาพของอากาศภายในอาคาร อันเป็นที่มาของอาการตึกเป็นพิษ

โรคแพ้ตึกหรือตึกเป็นพิษ มีสาเหตุใหญ่ๆ อยู่ 3 ประการด้วยกัน คือ การระบายอากาศในตึกหรืออาคารไม่ดี ประเด็นต่อมาคือ ตึกหรืออาคารมีการใช้วัสดุก่อสร้างและตกแต่งจากวัสดุสังเคราะห์ ซึ่งเป็นบ่อเกิดของสารพิษต่างๆ สุดท้าย เกิดจากก๊าซพิษที่ปล่อยออกจากตัวมนุษย์กว่า 100 ชนิด เช่น คาร์บอนมอนนอกไซด์ ไฮโดรเจน ฯลฯ

ปัจจุบันการออกแบบตึก พยายามที่จะลดการนำอากาศจากภายนอกเข้ามาในตัวอาคาร เพื่อประหยัดพลังงานในการทำความเย็น เมื่อระบบระบายอากาศไม่ดี มลพิษต่างๆ ในอากาศจะหมุนเวียนอยู่ภายใน นำพิษภัยมาสุ่สุขภาพของผุ้ที่อยู่ภายในอาคารสำนักงาน นอกจากนี้ การตกแต่งอาคารสำนักงานและบ้านเรือน ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากไม้อัดและกระดานไฟเบอร์เข้าแทนที่ไม้ธรรมชาติ การใช้พรมสังเคราะห์ปุพื้น ซึ่งมีส่วนผสมของกาวหรือเรซิน เพื่อการยึดเกาะที่คงทนถาวร ก็ล้วนปล่อยสารพิษออกสู่อากาศ โดยที่พนักงานที่พนักงานที่ทำงานกันอยู่ในอาคาร ไม่มีโอกาสรู้ตัวเลย

โรคที่น่าสนใจอย่างมากโรคหนึ่ง ที่จัดอยู่ในกลุ่มโรคจากการทำงาน คือโรค ลิเจียนแนร์ (Legionnaires' disease) เป็นโรคติดเชื้อทางระบบทางเดินหายใจ มีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรีย "ลิจิโอเนลลา นิวโมฟิลา" จะอาศัยอยู่บริเวณที่มีน้ำขังนิ่ง อุณหภูมิระหว่าง 20-40 องศาเซลเซียส ค่าความเป็นกรด-ด่าง ระหว่าง 5.0-8.5 มีคลอรีนตกค้าง ต่ำกว่า 1 มิลลิกรัมต่อลิตร แหล่งน้ำที่เป็นแหล่งเพาะเชื้อได้เป็นอย่างดี คือ หอหล่อเย็น ถังพักน้ำ อ่างน้ำพุ-น้ำวน หัวก๊อกฝักบัว เครื่องทำน้ำร้อน เครื่องพ่นความชื้นหรือแอร์น้ำ แอร์ ถาดรองน้ำแอร์ ฯลฯ

อาการของผุ้ ที่ได้รับเชื้อ หากร่างกายอ่อนแออยู่แล้วก็จะเจ็บป่วย โดยจะมีความรุนแรงอยู่ 2 ลักษณะ คืออาการจะคล้ายเป็นไข้หวัดใหญ่ มีไข้ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ลักษณะนี้จะไม่รุนแรงนัก อีกลักษณะหนึ่งคือป่วยเป็นโรคลิเจียนแนร์ ซึ่งรุนแรงและอันตราย อาการจะคล้ายกับปอดบวมหรือปอดอักเสบ มีไข้สูง ไอ มีเสมหะ หายใจลำบาก หนาวสั่น ปวดศรีษะ ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย เจ็บหน้าอ ติดเชื้อในปอด หากอาการรุนแรง อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้

กลุ่มคนที่เสี่ยงต่อการติด เชื้อจนป่วยเป็นโรคลิเจียนแนร์ ได้แก่ ผุ้สูงอายุวัย 50 ปีขึ้นไป ผู้ที่สูบบุหรี่จัด ผุ้ที่ดื่มเหล้าจัด ผุ้ที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ เช่น ไต หัวใจ ผุ้ที่ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแออันเนื่องมาจากเป็นมะเร็ง หรือติดเชื้อเอชไอวี ผุ้ที่อยู่ระหว่างรักษาโรคบางชนิด เช่น โรคระบบทางเดินหายใจ เบาหวาน มะเร็ง และการล้างไต

การปรับวิถีชีวิตใหม่ เป็นทางออกหนึ่งที่น่าจะช่วยผ่อนเบาปัญหาของโรคที่เกิดจากการทำงานลงได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สะอาด รวมทั้งปรับกายใจให้มีระบบภูมิต้านทานที่ดีขึ้น เป็นเกราะกั้นภัยด่านแรก ไม่ให้เชื้อโรคต่างๆ ทะลวงเข้าไปถึงตัวได้

อย่างที่ดร.สาทิส อินทรกำแหง ได้กล่าวไว้ชัดเจนว่า "เรา ต้องหาทางแก้ไขด้วยตัวเราเอง หลีกเลี่ยงอากาศไม่ดี หาเวลาว่างในการพักผ่อนให้กับตัวเอง อย่าเครียดมาก เท่านี้เราก็จะเป็นบุคคลหนึ่งซึ่งมีสุขภาพดี"





ที่มา นิตยสารชีวจิต

ประดิษฐ์กล้องช่วยคนตาบอดสำเร็จแล้ว




ก่อนหน้านี้มีข่าวว่า มีการคิดค้นประดิษฐ์กล้องจิ๋ว เพื่อช่วยให้คนพิการทางสายตากลับมาเห็นได้อีก บัดดนี้สำเร็จแล้ว



ซึ่งคาดว่าผู้ที่สายตาพิการ อาจจะมีโอกาสมองเห็นได้อีกครั้งหนึ่ง โดยการใช้กล้องที่กำลังมีผู้คิดประดิษฐ์ขึ้น ....


นักวิจัยเอลิสะเบธ โกลด์ริง ของสถาบันเทคโนโลยี แมสซาชูเสตต์ร่วมกับร็อบ เวบบ์ แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แห่งอเมริกา ได้ประดิษฐ์ "
เครื่องช่วยการมอง" มีขนาดเท่ากับกระเป๋าหิ้ว ประกอบด้วยจอแอลซีดีและกล้องถ่ายภาพดิจิตอล ช่วยให้คนตาบอดมองเห็นได้

มันทำงานโดยป้อนภาพที่เห็นไปยังจอแอลซีดี อันเป็นจอที่ใช้ไดโอดเปล่งแสงสร้างความสว่างให้เกิดภาพ จอจะรวบรวมข้อมูลที่ได้รับทั้งหมดให้กลายเป็นจุดเดียว แล้วป้อนไปให้ที่ดวงตา ช่วยให้ผู้ตาบอดมองเห็นสิ่งนั้น


นักพัฒนาทั้งคู่กล่าวแจ้งว่า ในการทดลอง กล้องทำให้ผู้พิการทางสายตามองเห็นหน้าเพื่อนของตน และถึงกับถ่ายภาพได้



ตัวกล้องมีรูปร่างสี่เหลี่ยมโตประมาณ 5
นิ้ว ตั้งอยู่บนขาตั้ง เจ้าของแจ้งว่า ยังมีราคาถูกมากกว่าเครื่องส่องตรวจส่วนในของตาด้วยเลเซอร์ ซึ่งมีราคาอยู่ระหว่าง 140,000 ถึง 3,500,00 บาท


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

10 ข้อเท็จจริงที่หายไปในประวัติศาสตร์

10.โทมัส อัลวา เอดิสัน ไม่ใช่คนประดิษฐ์หลอดไฟคนแรกของโลก

ในความเป็นจริงแล้ว โทมัส อัลวา เอดิสัน (Thomas Alva Edison) ไม่ได้เป็นผู้ริเริ่มประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าตามที่คนทั่วไปเข้าใจแต่อย่างใด หลักการของหลอดไฟฟ้าถูกพัฒนามาก่อนหน้านี้โดยนักประดิษฐ์หลายท่าน เช่น จูเซ็ปป์ สวอน (Juseph Swan) หรือ ไฮน์ริช เกอเบิล (Heinrich Goebel) อย่างไรก็ตามเอดิสันได้คำนึงถึงการนำหลอดไฟฟ้าไปใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน อย่างจริงจัง โดยเอดิสันได้ทำให้อายุการใช้งานของหลอดไฟฟ้ายาวนานพอที่จะนำไปใช้ได้อย่าง สะดวกสบายในบ้านเรือนหรือร้านค้า นอกจากนั้นเอดิสันยังได้สร้างระบบผลิตและแจกจ่ายไฟฟ้าอีกด้วย

นอกจาก นี้ยังมีเรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับเอดิสันอีกว่า สิ่งประดิษฐ์ภายใต้ชื่อของเขาและจดสิทธิบัตรเป็นจำนวนถึง 1,093 ชิ้น ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เขาคิดค้นขึ้นมาเอง แต่เป็นการพัฒนาจากสิ่งประดิษฐ์ดั้งเดิมที่คิดค้นขึ้นโดยลูกจ้างของเขา เพราะเหตุนี้ทำให้เขาถูกวิพากษ์วิจารณ์อยู่เสมอ ในเรื่องการอ้างผลงานเป็นของตัวแต่ผู้เดียว โดยไม่แบ่งปันให้กับผู้คิดค้นดั้งเดิม

9.เธอคือโป๊บ??

เมื่อวันก่อนผมได้ดูภาพยนตร์เรื่อง เธอคือโป๊บ (Pope Joan) ที่สร้างจากเค้าโครงในตำนาน(โดยเนื้อเรื่องเอามาจากนิยายอีกที) เป็นเรื่องราวในตำนานของหญิงสาวที่แต่งตัวเป็นพระชายและไปกรุงโรมเพื่อศึกษา ในที่สุดเธอก็ได้เป็นพระสันตะปาปา แต่เธอคลอดบุตรในขณะกำลังขึ้นม้า

ภาพยนตร์ เรื่องนี้โดนแบนหลายประเทศมาก(ยกเว้นไทย) เพราะว่าเนื้อหาค่องข้างหมิ่นศาสนามา หนังพยายามบอกว่าเรื่องพระสันตะปาปาเป็นเรื่องจริง หากแต่ปัจจุบันเรื่องราวของพระสันตะปาปาหญิงโจน (Pope Joan หรือ Popess Joan) ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่า มีตัวตนจริงๆหรือไม่ โดยตำนานกล่าวว่าพระสันตะปาปาหญิงโจนมี ชื่อเดิมคือโจฮานนา แองลิกัส (Johanna Anglicus) โดยใช้ชื่อผู้ชายว่าจอห์น (John) เกิดที่ไมนส์ (Mainz) เป็นผู้เชียวชาญศิลปวิทยาหลากหลายแขนง จนไม่มีผู้ทัดเทียม และภายหลังเธอเดินทางไปโรม ก็เปิดสอนวิชาศิลปศาสตร์จนที่เคารพรักแก่บรรดาศิษย์ จากนั้นก็เล่นการเมืองและถูกเลือกโดยพระสันตะปาปา ในขณะที่เธอเป็นพระสันตะปาปา เธอตั้งครรภ์โดยคนรักของเธอ โดยไม่รู้ว่า เมื่อไรจะถึงกำหนดคลอด เธอให้กำเนิดทารกเพศชาย และโดนการตัดสินของกระบวนการยุติธรรมของกรุงโรม เธอต้องโดนลงโทษ โดยการผูกติดกับขาม้าแล้วก็ถูกลากไป และโดนโยนก้อนหินโดยประชาชนครึ่งหนึ่ง แต่ไม่มีหลักฐานว่าที่ที่ฝังเธอเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ อาจจะเนื่องมากจากเหตุผลที่ว่า เธอเป็นผู้หญิง หรือมาจากความโง่ของหลักฐานก็ตาม และเรื่องราวของเธอถูกเขียนโดย(Martin of Opava) ใน Chronicon Pontificum et Imperatum แต่กระนั้นนักประวัติศาสตร์ และผู้เคร่งศาสนา ต่างไม่เชื่อว่า มีพระสันตะปาปาหญิงโจนมีตัวตนจริงๆ เป็นเพียงเรื่องโกหกและเป็นตำนานลอย ๆ เท่านั้น สาเหตุเพราะเรื่องนี้ไม่ได้ถูกพบในเอกสารที่เชื่อถือได้

8.รูปร่างที่แท้จริงของเทวรูปโคโลสซูสเป็นอย่างไรกันแน่?

นี้คือสิ่งมหัศจรรย์ที่ขาดหายไปในประวัติศาสตร์ยุคโบราณ เทวรูปโคโลสซูสเป็นที่เกาะโรดส์ ประเทศกรีก หล่อด้วยทองบรอนซ์ ในท่ายืน สูง 100 ฟุตโดยเฉพาะฐานที่รองรับรูปหล่อนั้นสูงกว่าตึก 5 ชั้น พระหัตถ์ขวาถือดวงประทีป ตั้งอยู่หน้าเมืองโรดส์ประเทศกรีก สร้างโดยกษัตริย์แชรัสแห่งลินดัส เชื่อกันว่าเป็นรูปปั้นที่คอยกั้นอ่าวของเกาะแห่งนี้ของกรีกในทะเลเอเจียน สร้างเสร็จหลังจากใช้เวลา 12 ปี แล้วเสร็จเมื่อประมาณ 280 ปีก่อนคริสตกาล และต้องพังทลายลง เพราะแผ่นดินไหว ถูกทอดทิ้งเป็นเวลา 900 ปี จนถูกขายเป็นเศษเหล็ก ให้แก่ชาวเมืองซาราเซน เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการสงคราม จนเราไม่ได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์นี้เลยแม้แต่ซาก ส่วนภาพที่เห็นเป็นเพียงจินตนการของคนวาดเท่านั้น แต่ที่น่าเหลือเชื่อคือเอกสารหลายชิ้นพรรณารูปปั้นนี้ไม่เหมือนกันเลย บ้างก็บอกว่ารูปปั้นอ้าขาจนเรือรอดได้ บ้างก็บอกว่ารูปปั้นไม่ได้อ้าขา

7. แรงงานสร้างพีระมิดไม่ใช้ทาส?

จากที่เราอ่านประวัติศาสตร์เรามักเห็นฉากแรงงานสร้างพีระมิด โดยหนังสือบอกว่าพวกเขาเป็นทาสและมีคนโบยแส้ที่ด้านหลังใช่เปล่าครับ หากแต่ปัจจุบันความคิดนี้ต้องเปลี่ยนไปเมื่อนักโบราณคดีค้นพบสุสานในอียิปต์ ซึ่งช่วยพิสูจน์ว่าแรงงานที่ช่วยกันสร้างพีระมิดนั้นไม่ใช่ทาสอย่างที่เคย เข้าใจ แต่เป็นคนที่ได้รับการเอาใจใส่เป็นอย่างดี มีการจ่ายค่าแรงรวมถึงมีการจัดอาหารให้รับประทาน 3 มื้อต่อวันเป็นอย่างดี อีกทั้งการสร้างสุสานใกล้กับที่ฝังศพของกษัตริย์ แสงให้เห็นว่าแรงงานเหล่านี้ไม่ใช่ทาสแต่อย่างใด โดยคาดว่าแรงงานเหล่านั้นน่าจะเป็นชาวนา ชาวไร่ผู้มีความเชื่อว่าสิ่งที่ตนกำลังทำนั้น มีส่วนช่วยให้องค์ฟาโรห์ได้ไปจุติบนสวรรค์ และเมื่อถึงเวลาที่ตนจะจากโลกนี้ไปบ้าง เทพฟาโรห์ก็จะได้พิทักษ์ปกป้องตนต่อไป

6.ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับไวกิ้ง

ไวกิ้งที่เราได้เห็นภาพยนตร์หลายเรื่องนั้น ส่วนใหญ่มักตัวใหญ่น่ากลัวสวมหมวกขนสัตว์ โหดร้ายป่าเถื่อนชอบปล้นทรัพย์ฆ่าและข่มขื่นหญิงชาวบ้าน อีกทั้งตัวสกปรก ไร้สมอง เรียกได้ว่าเป็นฝันร้ายของยุโรปอย่างแท้จริง

นี้คือความรู้ที่ผิด จากการศึกษาประวัติศาสตร์พบว่าไวกิ้งไม่โหดร้ายอย่างที่คุณคิด ไวกิ้งไม่ใช่นักรบอย่างเดียว หากแต่เป็นพ่อค้าและนักตั้งถิ่นฐานที่มีส่วนสำคัญในการพัฒนายุโรปกลาง พวกเขาอาบน้ำสัปดาห์ละครั้ง ในวันเสาร์เท่านั้น(อย่าลืมว่าอากาศยุโรปมันหนาว) ที่น่าสนใจคือส่วนใหญ่พวกเขาสูงแค่ 170 ซม. ซึ่งไม่สูงอย่างที่เราเข้าใจกัน ผมและหนวดสีทองที่เราเห็นในภาพยนตร์เป็นเพียงอุดมคติความเชื่อในวัฒนธรรม ไวกิ้งที่ใช้สบู่พิเศษในการแต่งไม่ใช้เป็นมาตั้งแต่เกิด อีกทั้งพวกเขาไม่ได้อาศัยเฉพาะสแกนดิเนเวีย พวกเขาอพยพไปหลายพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็น รัสเซีย, แอฟริกา หรือแม้แต่อเมริกาเหนือ ส่วนพฤติกรรมที่ฆ่าและข่มขืนปล้มทรัพย์นั้นเป็นส่วนน้อยเท่านั้น แต่สิ่งที่เชื่อถือได้คือพวกนักบวชในยุโรปไม่ชอบพวกนี้เท่าไหร่ เนื่องจากครั้งหนึ่งพวกไวกิ้งเคยทำลายวัดและฆ่าพวกพระบาทหลวงหลายคน(ภายหลัง ไวกิ้งก็เข้ารีตเป็นคริสต์ศาสนิกชน)

5.ครีโอพัตราไม่ใช่คนอียิปต์

คลีโอพัตรา ที่ 7 ฟิโลปา หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ คลีโอพัตรา) เป็นราชินีแห่งอียิปต์โบราณ และเป็นสมาชิกคนสุดท้ายของราชวงศ์ปโตเลมีแห่งมาเซโดเนีย แต่จนบัดนี้ยังมีหลายคนเข้าใจว่าเธอเป็นคนอียิปต์(อย่างน้อยก็การ์ตูน ญี่ปุ่นล่ะ) เพราะว่าเธอเป็นชาวกรีกแท้ๆ บิดาของพระนางคือปโตเลมีที่ 12 โอเลเตส และคาดว่าพระมารดาเป็นเชษฐภคินีของโอเลเตส ทรงพระนามว่า คลีโอพัตราที่ 5 ทรีฟาเอ พระนางทรงมีความเฉลียวฉลาดมาก ทรงแตกฉานถึง 14 ภาษา เช่น ภาษาฮิบรู ภาษาละติน ภาษามาซิโดเนีย ภาษาเอธิโอเปียน ภาษาซีเรีย ภาษาเปอร์เซีย ภาษาอียิปต์ ซึ่งแม้แต่ในราชวงศ์ก็น้อยคนนักที่จะแตกฉานในภาษานี้ และเธอเป็นผู้ปกครองอียิปต์คนสุดท้ายที่มีเชื้อสายกรีก

4.คิงอาเธอร์มีตัวตนในประวัติศาสตร์จริงเหรอ?

กษัตริย์อาเธอร์ (King Arthur) เป็นกษัตริย์อังกฤษผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในตำนานเล่าขานในฐานะวีรบุรุษในยุค กลาง ซึ่งได้ปกป้องเกาะบริเตนจากการรุกรานของชาวแซ็กซอนในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 6 รายละเอียดส่วนใหญ่เกี่ยวกับกษัตริย์อาเธอร์ปรากฏอยู่ในเรื่องเล่าขาน ตำนานพื้นบ้าน และวรรณกรรมที่แต่งขึ้นโดยส่วนมากมักเกินจริงไปหน่อย เช่น มีพ่อมดเมอร์ลินเป็นผู้ช่วยทำสงคราม, อาเธอร์สามารถต่อสู้ตามลำพังด้วยมือเปล่า และสังหารศัตรูไปถึง 960 คน และแน่นอนเรื่องราวภูมิหลังที่แท้จริงทางประวัติศาสตร์ของตำนานกษัตริย์อา เธอร์เป็นที่ถกเถียงในหมู่นักวิชาการมาเป็นเวลานานแล้ว หลายคนเชื่อว่าอาเธอร์เป็นบุคคลที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งระหว่างปลายคริสต์ศตวรรษที่ 5 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 6 แต่กระนั้นก็ยังขาดหลักฐานสนับสนุนที่หนักแน่นเพียงพอ(ปละหลักฐานส่วนใหญ่ เป็นของปลอม) นักประวัติศาสตร์ในยุคหลังโดยมากจึงไม่นับว่าอาเธอร์เป็นหนึ่งในกษัตริย์ที่ มีตัวตนจริง นักประวัติศาสตร์ จนมีนักประวัติศาสตร์ออกมาบอกว่า "ไม่มีบุคคลใดในกรอบประวัติศาสตร์และตำนานที่จะทำให้นักประวัติศาสตร์เสีย เวลามากเท่านี้”

3.เลดี้โกไดวา มีตัวตนอยู่จริงเหรอ??

Godiva 800Px Lady - By John เรือลำเลียงถ่านหิน

http://www.sarakadee.com/web/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=930

เล ดี้โกไดวา (Lady Godiva) เป็นสตรีสูงศักดิ์ผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งเมืองโคเวนทรี (ประเทศอังกฤษมีชีวิตอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 997-1067 เธอเป็นภรรยาของลีโอฟริก เอิร์ลแห่งเมอร์เซียและลอร์ดแห่งเมืองโคเวนทรี ผู้มีอำนาจสูงสุดในแผ่นดินอังกฤษ เป็นคนละโมบและกดขี่ชอบเก็บภาษีประชาชนอย่างบ้าเลือด แม้เลดี้โกไดวาเฝ้าขอร้องสามีให้ลดภาษี แต่เขาไม่เคยยอม

จนกระทั้ง วันหนึ่งลีโอฟริกได้คิดสนุกเลยบอกเลี้โกไดวาว่าถ้าเธอกล้าเปลือยกายขี่ม้า รอบเมือง เขาจะยอมลดภาษีให้ตามที่ขอ ซึ่งการการกระทำดังกล่าวสำหรับผู้หญิงอังกฤษสมัยกลางย่อมถือเป็นเรื่องต่ำ ช้าอย่างยิ่ง แต่เลดี้โกไดวาก็ตัดสินที่จะยอมทำตามดังกล่าว โดยเธอได้กระจายข่าวบอกชาวเมืองให้พวกเขาร่วมมือด้วยการปิด ประตูหน้าต่างหลบอยู่ในที่พักอาศัยขณะเธอขี่ม้าผ่านเปลือยกาย ซึ่งชาวบ้านก็ร่วมมือเป็นอย่างดี(ความจริงมีชายคนหนึ่งแอบดูนาง หากแต่เขาถูกสวรรค์ลงโทษด้วยการทำให้ตาบอดในเวลาต่อมา และชายคนนั้นชื่อทอม จนเกิดสำนวนว่า “ทอมนักถ้ำมอง” Peeping Tom ในเวลาต่อมา) จนนางสามารถทำสิ่งที่สามีบอกได้สำเร็จ และส่งผลให้สามีของเธอยกเลิกภาษาตามสัญญาที่ว่าไว้ อีกทั้งเธอก็ไม่ถูกประณามซ้ำยังชกลายเป็นวีรสตรีของชาวเมืองไปในทันที ทุกวันนี้ที่จัตุรัสกลางเมืองโคเวนทรีมีอนุสาวรีย์เลดี้โกไดวาตั้งอยู่อย่าง โดดเด่นเป็นสัญลักษณ์ที่ชาวเมืองภาคภูมิใจ ในวันที่ 31 พฤษภาคม ค.ศ. 1678 สภาเมืองโคเวนทรีได้เริ่มจัดให้มีขบวนแห่ "เลดี้โกไดวา" บันทึกไว้เป็นครั้งแรก โดยจัดหาผู้หญิงมาสวมผ้าสีเนื้อรัดกายให้ดูคล้ายเปลือยเปล่า นั่งบนหลังม้าแห่ไปรอบเมืองเพื่อรำลึกการกระทำอันงดงามของโกไดวา

ใน ขณะเดียวกัน นักประวัติศาสตร์ร่วมสมัยหลายคนไม่คิดว่าเรื่องของโกไดวาได้เกิดขึ้นจริง เนื่องจากหลักฐานระบุไว้เพียงว่าเธอเป็นภรรยาของเอิร์ลลีโอฟริก และข้อมูลยังบ่งชี้ว่าทั้งคู่ต่างก็มีน้ำใจงามและเคร่งศาสนา เช่นในปี 1043 ท่านเอิร์ลและเลดี้ได้บริจาคเงินพร้อมที่ดินเพื่อสร้างวัดในนิกายเบเนดิกที นที่โคเวนทรี ซึ่งตั้งอยู่บริเวณเดียวกับโบสถ์โคเวนทรีที่ถูกระเบิดทำลายไปบางส่วนใน สงครามโลกครั้งที่ 2 วัดแห่งนี้ประดับด้วยพลอยล้ำค่างดงามอย่างที่ไม่มีวัดใดในอังกฤษยุคนั้น เทียบได้ และในช่วงทศวรรษ1050 ทั้งสองยังบริจาคที่ดินและเงินมหาศาลเพื่อสร้างวัดและโบสถ์อีกหลายแห่ง เช่นที่ลินคอล์นเชียร์ ลีโอมินสเตอร์ และอีฟแชม นักประวัติศาสตร์หลายคนจึงไม่คิดว่าท่านเอิร์ลจะโหดหินจนโกไดวาต้องเปลือย ร่างขี่ม้าขอความเป็นธรรมให้ประชาชน

ส่วนผู้ที่เชื่อว่าตำนานนี้เป็น เรื่องจริงก็จะอิงบันทึกเกร็ดประวัติศาสตร์อังกฤษฉบับภาษาละตินที่ชื่อ Flores Historiarum (Flowers of History) ของโรเจอร์แห่งเวนโดเวอร์ (Roger of Wendover) ในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ที่ระบุเรื่องราวของเลดี้โกไดวาไว้ตามที่ระบุข้างต้น ซึ่งนักประวัติศาสตร์บางคนแย้งว่าเวนโดเวอร์เป็นเพียงผู้บันทึกตำนานและ เกร็ดประวัติศาสตร์ แต่ไม่ใช่นักประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาเขียนบันทึกนี้ขึ้นเมื่อ 2 ศตวรรษหลังการตายของโกไดวา ข้อความดังกล่าวจึงไม่มีน้ำหนักพอให้เชื่อถือ แม้จะมีบันทึกระบุว่าครั้งหนึ่งลีโอฟริกได้ยกเลิกภาษีให้ประชาชนจริง และประทับตราด้วยตราประจำตัวของเขาเองเลยก็ตาม ส่วนคนอื่นก็เสริมว่าบางทีเลดี้โกไดวาอาจไม่ได้ปลดเปลื้องเสื้อผ้า หากแต่ปลดเชิงสัญลักษณ์ คือปลดทั้งเครื่องประดับกายและผม เพราะเมื่อสตรีสูงศักดิ์ปราศจากเครื่องประดับก็เท่ากับลดเกียรติของตนลง เทียบเท่าสตรีสามัญ

อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของโกไดวาจะเป็นเพียงตำนานหรือความจริงย่อมยากที่จะพิสูจน์ไม่ต่าง จากทุกตำนานในโลก หากเหนือข้อเท็จจริงย่อมเป็นคุณค่าของตำนานที่ถูกส่งผ่านมากับกาลเวลา เฉกเช่นเรื่องของเลดี้โกไดวาที่เนื้อหาแท้จริงได้แทรกตัวอยู่ทั้งในบทกวี รูปปั้น ภาพเขียนของจิตรกรหลายยุคสมัย หรือกระทั่งในกระดาษห่อช็อกโกแลตยี่ห้อโกไดวา

2.สวนอีเดนอยู่ที่ไหนกันแน่?

สวนอีเด็น หรือ สวนเอเดน (Garden of Eden) เป็นสถานที่บรรยายไว้ในพระธรรมปฐมกาลว่าเป็นสถานที่มนุษย์สองคนแรกที่พระ เจ้าสร้างอาดัม และ อีฟ โดยสวนนั้นบรรยายไว้ว่าสวยงามราวกับสวรรค์ มีพืชพรรณอาหารอุดมสมบูรณ์เต็มไปด้วยสัตว์ป่า แม่น้ำใสสะอาด แต่ปัญหาคือถ้าสถานที่นี้มีจริง มันจะอยู่จุดไหนของโลกกันแน่ โดยหลายคนเชื่อว่าสวนอีเดนนี้อยู่ในโมโสโปเตเนีย ทางภาคกลาง เนื่องจากบันทึกการสร้างโลกในพระธรรมปฐมกาลได้กล่าวถึงที่ตั้งของสวนอีเด็น ว่าอยู่ในบริเวณแม่น้ำสำคัญสี่สาย: แม่น้ำพิชอน แม่น้ำกิฮอน แม่น้ำไทกริส และแม่น้ำยูเฟรติสซึ่งอยู่ในบริเวณอาร์เมเนีย, ยอดเขาอาระรัต, เยเรวาน หรือที่ราบสูงอาร์เมเนีย) (พระธรรมปฐมกาล บทที่ 2 ข้อที่ 10-14) ซึ่งอยู่ในบริเวณประเทศอิรักในปัจจุบัน ซึ่งน่าจะเป็นบริเวณคอเคซัสโบราณโดยเฉพาะบริเวณใกล้กับอาร์เมเนีย แต่ที่ตั้งของแม่น้ำทั้งสี่ยังเป็นที่ถกเถียงกันและยังไม่มีหลักฐานเป็นที่ แน่นอนที่สนับสนุนที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของแม่น้ำนอกจากที่กล่าวในพระธรรมปฐม กาลเอง และ วรรณกรรมยิว-คริสเตียนเช่น “จูบิลี” สมมุติฐานอื่นก็ว่าตั้งอยู่ที่เมโสโปเตเมีย ทวีปแอฟริกา หรือ อ่าวเปอร์เซีย สมมุติฐานหลังมาจากหลักฐานของลุ่มแม่น้ำสี่สายที่มาพบกันที่เป็นที่ผลิต ทองคำ และยางไม้หอม ซึ่งตรงกับการพรรณนาการสร้างโลกดังกล่าว

1 Prester John

เพรสเตอร์ จอห์น เป็นชื่อของกษัตริย์ในตำนานยุคกลางของยุโรปครับ โดยเชื่อว่ากษัตริย์องค์นี้อยู่ในดินแดนหนึ่งในเอเชีย หรืออาจเป็นแอฟริกา โดยดินแดนแห่งนั้นเป็นเดินแดนแห่งความเพียบพร้อม ไม่มีคนจน ไม่มีโจร ไม่มีคนพูดโกหกหรือมุ่งร้ายต่อกัน นอกจากจะเป็นกษัตริย์แล้วเพรสเตอร์ จอห์นยังเป็นประมุขศาสนาอีกด้วย ทำให้ดินแดนแห่งนี้มีคนนับถือศาสนาคริสต์อย่างเคร่งครัด กล่าวกันว่าเขาสืบเชื้อสายจากมากี 3 ท่านที่เดินไปให้พรแก่พระเยซูเมื่อครั้งประสูติบนโลกอีกด้วย เรื่องราวของเพรสเตอร์ จอห์นและอาณาจักรอันสมบูรณ์นั้นได้ถูกกล่าวถึงในบันทึกของบาทหลวงชาวเยอรมัน ท่านหนึ่ง ในสมัยเกิดสงครามครูเสดหลังชาวคริสต์ยึดดินแดนศักดิ์สิทธิจากชาวมุสลิม พวกเขาพยายามค้นหาอาณาจักรแห่งนี้ หากแต่ไม่พบ แต่เชื่อกันว่าดินแดนแห่งที่ว่าน่าจะเป็น อินเดีย หรือไม่ก็เอธิโอเปีย หรือจะอยู่ในอบิสซิเนีย

ผู้แต่ง : Cammy

รับมือปัญหาผม ในหน้าฝน

รับมือปัญหาผม ในหน้าฝน

หวี

ปัญหาอันดับหนึ่งช่วงนี้คงหนีไม่พ้นเรื่องหนังศีรษะเปียกชื้น เนื่องมาจากความชื้นในอากาศที่มีอยู่ตลอดทั้งวัน

ถ้าเป็นไปได้ควรรีบสระผมให้เร็วที่สุด เพราะน้ำฝนที่ตกลงมาจะชะล้างสิ่งสกปรกและเชื้อโรคในอากาศลงมาด้วย นอกจากทำให้ไม่สบายได้ง่าย เส้นผมและหนังศีรษะยังเกิดความชื้นสะสมด้วย


ถ้าไม่สะดวกที่จะสระผมทันที ควรนำทิชชูหรือผ้าขนหนูซับบริเวณหนังศีรษะ และเส้นผมเบาๆหรือถ้าใครรู้ตัวว่าจะต้องเผชิญฝนเป็นประจำ จะหาไดร์เป่าผมเครื่องเล็กๆ มาไว้ที่ออฟฟิศก็ไม่ว่ากัน

หลังจากเป่าผมจนหมาดแล้ว ควรใช้หวีซี่ห่างๆหวีเบาๆ เพื่อไม่ให้ผมพันกันและไม่เกิดอาการชี้ฟูหลังจากผมแห้ง


ควรหลีกเลี่ยงการสระผมก่อนนอน ถึงแม้จะเป่าผมให้แห้งแล้วก็ยังคงมีความชื้นสะสมภายในซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดรังแคได้ง่าย


ควรซับผมให้แห้งหมาดๆ หลังสระ แล้วใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผมชนิดไม่ต้องล้างออกชโลมเส้นผม โดยเว้นบริเวณโคนไว้เพื่อป้องกันความมันบนหนังศีรษะ


การใช้ไดร์เป่าผมควรเน้นบริเวณโคนผมให้แห้งสนิท เพื่อป้องกันความชื้นและควรเป่าจากบนลงล่างเพื่อให้เกล็ดผมไม่เปิดและเรียงตัวสวย

ควรหมักผมสัปดาห์ละ 1 - 2 ครั้ง เพื่อ บำรุงเส้นผมอย่างล้ำลึก ที่สำคัญควรใช้ปลายนิ้วนวดหนังศีรษะเป็นวงกลมให้ทั่วเพื่อกระตุ้นการไหล เวียนโลหิตและช่วยให้การผลิตน้ำมันจากรากผมเป็นไปอย่างปกติ


ผมแห้งฟูฟ่องหลังจากโดนฝน วิธีแก้แบบด่วนๆ ก็คือการนำครีมทาหน้าหรือออยล์ลูบผมบางๆ หรือจะลองเปลี่ยนทรงเป็นการมวยผมหรือมัดผมหางม้า ก็เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เก๋ไม่ใช่เล่น



ที่มาจาก
kbeautifullife.com

และ http://women.mthai.com

ชวนกันมาเลือกนอน ให้ถูกท่าทาง

แมว นอน นอนหงาย

นอนหงาย

โดย ปกติแล้วคนทั่วไปนิยมนอนหงาย ถือได้ว่าเป็นท่านอนมาตรฐาน เวลานอนหงายโดยไม่หนุนหมอนหรือใช้หมอนต่ำ ต้นคอจะอยู่ในแนวเดียวกันกับลำตัว ไม่ปวดคอ แต่ถ้าหนุนหมอนสักสองสามใบ คอจะก้มโน้มมาข้างหน้า ทำให้เกิดอาการปวดคอได้

ผู้มีอาการดังต่อไปนี้ควรหลีกเลี่ยงการนอนในท่านอนหงายหรือแก้ไขตามคำแนะนำ ดังนี้
ผู้ป่วยโรคปอด ไม่เหมาะที่จะนอนท่านอนหงาย เพราะทำให้กล้ามเนื้อกระบังลมที่คั่นระหว่างช่องอกและช่องท้องกดทับเนื้อปอดเป็นเหตุให้หายใจลำบาก แต่สามารถแก้ไขได้ โดยการยกส่วนบนของร่างกายให้สูงขึ้นในลักษณะครึ่งนอนครึ่งนั่ง อาจจะใช้หมอน 2 - 3 ใบวางหนุนรองหลังไว้หรือยกพื้นเตียงส่วนบนให้สูงขึ้นพอประมาณ

ผู้ป่วยโรคหัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะหัวใจล้มเหลวหรือหัวใจวายจะมีอาการนอนราบไม่ได้ ทั้งนี้เนื่องจากไม่สามารถสูบฉีดโลหิตออกจากห้องหัวใจได้ก่อให้เกิดอาการหอบและหายใจติดขัด ผู้ป่วยโรคหัวใจจึงมักต้องลุกขึ้นนั่งหรือยืนตอนกลางคืนเพื่อที่จะหายใจได้สะดวกมากยิ่งขึ้น


ผู้ที่มีอาการปวดหลัง การนอนหงายในท่าราบจะทำให้อาการปวดรุนแรงขึ้น เวลานอนควรใช้หมอนหนุนรองใต้โคนขาหรือวางพาดขาทั้งสองไว้บนเตียงนอน รวมทั้งควรออกกำลังกายเป็นประจำวันละ 10 - 15 นาที เพื่อช่วยบริหารกล้ามเนื้อหลังลดการเกร็งตัวและบรรเทาอาการปวดหลังได้เป็นอย่างดี

นอนตะแคง

แมว นอน หลับ ท่านอนตะแคงซ้าย เป็นท่านอนที่ช่วยลดอาการปวดหลังได้พอสมควร แต่ควรกอดหมอนข้างและพาดขาไว้ ข้อเสียคือทำให้หัวใจซึ่งอยู่ด้านซ้ายทำงานลำบากขึ้น และอาหารในกระเพาะที่ยังย่อยไม่หมดตั้งแต่ก่อนเข้านอนจะคั่งค้างอยู่ใน กระเพาะอาหาร ทำให้เกิดลมจุกเสียดที่บริเวณลิ้นปี่ และอาจรู้สึกชาที่ขาซ้ายหากนอนทับเป็นเวลานาน หรือถ้าหนุนหมอนต่ำเกินไปจะทำให้ปวดต้นคอได้ แก้ไขโดยใช้หมอนสี่เหลี่ยมที่มีความสูงเท่าความกว้างของบ่าซ้ายหนุนนอน

ท่านอนตะแคงขวา เป็นท่านอนที่ดีที่สุด ถ้าเทียบกับการนอนหลับในท่าอื่นๆ เพราะหัวใจเต้นสะดวกและอาหารจากกระเพาะถูกบีบลงลำไส้เล็กได้ดี ทำให้ไม่คั่งค้างอยู่ในกระเพาะอาหารนานเกินไป และเป็นท่านอนที่ช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ท่านอนตะแคงทั้งตะแคงซ้ายและขวาช่วยลดเสียงกรนได้ ในผู้ที่กรนจากการอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบน เช่น ลิ้นไก่ยาว โคนลิ้นหนา ต่อมทอนซิลโตมาก หรือโพรงจมูกอุดตัน

นอนคว่ำ

ท่านอนคว่ำทำให้หายใจติดขัดไม่สะดวก โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีเต้านมใหญ่หรือสำหรับผู้ชาย การนอนคว่ำก็อาจทำให้อวัยวะเพศถูกทับอยู่ตลอดเวลา จนเกิดอาการชาของอวัยวะเพศได้

การนอนคว่ำยังทำให้ปวดต้นคอ เนื่องจากต้องเงยมาข้างหลัง หรือบิดหมุนไปข้างซ้ายหรือขวานานเกินไป ดังนั้น ถ้าจำเป็นต้องนอนคว่ำ ควรหาหมอนรองใต้ทรวงอก โดยเฉพาะถ้าต้องการอ่านหนังสือในท่านอนคว่ำ ทั้งนี้เพื่อช่วยไม่ให้เมื่อยกล้ามเนื้อคอ และไม่มีอาการปวดคอ

นอก จากนี้ ความเชื่อแต่โบราณที่เคยเข้าใจว่า ทารกควรให้นอนคว่ำรูปหัวจะทุยสวย ไม่แบน แต่ปัจจุบันพบว่าจริงๆ แล้วอาจเกิดผลเสียได้ ทารกมีโอกาสเสียชีวิตเนื่องจากหายใจไม่ออกจากการที่จมูกหรือปากถูกทับไว้

นอก จากคุณจะเลือกนอนให้ถูกท่าเพื่อสุขภาพแล้ว ต้องรู้จักการนอนหลับลึกหลับสนิท ซึ่งช่วยให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่และถือเป็นวิธีส่งเสริม "ภูมิชีวิต" อีกทางหนึ่ง

ขอบคุณที่มาจาก ชีวจิต

แปรงสีฟัน ที่ไม่ต้องใช้ ยาสีฟัน?

แปรงสีฟัน ที่ไม่ต้องใช้ ยาสีฟัน?



Soladey-J3X แปรงสีฟันที่ไม่ง้อยาสีฟันที่ว่านี้ ได้รับการออกแบบโดย ดร.คุนิโอะ โคมิยาม่า และดร.เจอรี่ อุสวัค โดยที่ปลายด้ามของแปรงสีฟันจะติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ (solar panel) ซึ่งทำหน้าที่ส่งอิเล็กตรอนไปยังส่วนบนสุดของแปรงผ่านสายตัวนำ

ทั้งนี้เว็บไซต์ physorg ได้อธิบายว่า อิเล็กตรอนจะทำปฏิกิริยากับกรดที่อยู่ในปาก ทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมีที่ทำให้ คราบแบคทีเรียบนผิวฟัน (plaque) แตกร่อนออกไป และฆ่าแบคทีเรียได้



นัก วิจัยได้ทดลองใช้แปรงสีฟันนี้แล้วกับแบคทีเรียตัวร้ายที่เป็นสาเหตุให้เกิด อาการเลือดออกตามไรฟัน (รำมะนาด) ปรากฎว่า แปรงสีฟันพลังงานแสงอาทิตย์สามารถทำลายเซลล์แบคทีเรียได้อย่างราบคาบ ได้ยินอย่างนี้แล้ว คงอยากทราบว่า แปรงสีฟัน Soladey-J3X ใช้พลังงานไฟฟ้าสักเท่าไร คำตอบคือ น้อยมาก โดยดร.โคมิยาม่าบอกว่า มันใช้พลังงานเพียงเศษเสี้ยวของเครื่องเล่นพลังงานแสงอาทิตย์เสียด้วยซ้ำ

ปรากฏการณ์ธรรมชาติ "หินเดินได้"

ปรากฏการณ์ธรรมชาติ "หินเดินได้"





"สูงขึ้นไปบนเทือกเขาเชียรา มีสถานที่แห่งหนึ่ง เป็นที่มาของปริศนาหินเดินได้ในตอนกลางคืน ในอดีตนั้นคงจะมีผู้บุกเบิก มาพานพบกับทะเลสาบแห้งกรังหรือ "พลาย่า" ซึ่งสูง จากระดับน้ำทะเล เกือบ 1200 เมตร ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้ เป็นวนอุทยานหุบผามรณะแห่งชาติ "เรสแทรค พลาย่า" คือที่ซึ่งมีรอย คดเคี้ยวของทางเดินของหิน ที่เป็นสิ่งดึงดูดใจนักท่องเที่ยวมากที่สุด"

ตามความเชื่อดั้งเดิมเชื่อว่า หินเหล่านี้เคลื่อนไปได้ เพราะน้ำแข็งจะจับหินเป็นแผ่นขนาดใหญ่ เมื่อมีลมพัด หินทั้งกลุ่มก็จะถูกดันให้เคลื่อนไป สมมติฐานใหม่เชื่อว่า น้ำและลมเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้หินเดิน จากผลการศึกษาของ ดร.โรเบิร์ต พี. ชาร์ป แสดงให้เห็นว่า หินเหล่านี้ จะเคลื่อนที่ในช่วงพื้นดินอ่อนยุ่ยแทนที่จะเป็น ช่วงที่พื้นดินแห้งแข็งด้วยเกล็ดน้ำแข็ง ทะเลสาบตื้นๆ เช่นนี้ มีฝั่งด้านหนึ่งซึ่งสูงกว่า หรือเป็นหน้าผากั้นเอาไว้ ในฤดูหนาวเมื่อน้ำในทะเลสาบแข็งตัว จะยึดบรรดาก้อนหินขนาดต่างๆ กันไว้ ในขณะที่น้ำแข็งตัวจะเกิดการขยายตัวดันเอาก้อนหินให้เคลื่อนที่ เมื่อถึงเวลาที่น้ำแข็งละลายก็จะทิ้งก้อนหินในระยะต่างๆ กัน






แผนที่ อุทยานแห่งชาติเดท วัลลี่ย์ (Death Valley National Park)





Sailing Stones เป็นหนึ่งใน ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่ยังคงเป็น "ปริศนา" ที่เกิดขึ้นที่ อุทยานแห่งชาติเดท วัลลี่ย์ (Death Valley National Park) ในรัฐแคลิฟอร์เนีย (California) ประเทศสหรัฐอเมริกา ส่ง ที่พบก็คือ จะพบร่องรอยการเคลื่อนที่ของก้อนหิน ที่ทิ้งไว้บนดินเหนียวที่แห้งเป็นทางยาว โดยปรากฏการณ์ธรรมชาติ นี้จะเกิดขึ้นทุก 2-3 ปี ครั้ง และหินบางก้อนก็ใช้เวลากว่า 3-4 ปีในการเคลื่อนที่


ข้อมูลเกี่ยวกับเรซแทรค พลาย่า (Racetrack Playa)

เรซ แทรค พลาย่า เป็นแอ่งทะเลสาบที่ค่อนข้างราบและแห้งแล้ง มีความยาวในแนวเหนือ - ใต้ประมาณ 4 กิโลเมตร และกว้างในแนวตะวันออก-ตะวันตกประมาณ 2 กิโลเมตร มีลักษณะพื้นผิวเป็นระแหงโคลน (mud cracks) ส่วนมากประกอบด้วยตะกอนขนาดทรายแป้ง (silt) และดินเหนียว (clay)
สภาพ ภูมิอากาศค่อนข้างแห้งแล้ง มีปริมาณน้ำฝนเพียงสองนิ้วต่อปี แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ฝนตก น้ำปริมาณมากจะไหลจากภูเขาสูงชันที่อยู่ล้อมรอบเรซแทรค พลาย่าลงมาปกคลุมพื้นที่แอ่งจนกลายเป็นทะเลสาบตื้น ครอบคลุมเป็นบริเวณกว้าง ซึ่งขณะนั้นบริเวณพื้นแอ่งจะเต็มไปด้วยดินเหนียวที่เหลวและอ่อนนุ่ม



ปรากฏการณ์ ดินเดินได้ เกิดจากมนุษย์ หรือ สัตว์ ใช่หรือไม่ ?


จากลักษณะรูปร่างของร่องรอยการไถลของหินนั้นบ่งบอกได้ว่าหินก้อนนั้นต้อง เคลื่อนที่ในช่วงที่พื้นของเรซแทรค พลาย่านั้นถูกปกคลุมด้วยดินเหนียวอ่อนนุ่ม ถ้าเป็นฝีมือของคนหรือสัตว์จะต้องมีร่องรอยของการเหยียบย่ำรบกวนชั้นดิน เหนียวด้วย แต่ในบริเวณดังกล่าวไม่ปรากฏหลักฐานร่องรอยจากคนหรือสัตว์ที่จะช่วยให้หิน เคลื่อนที่เลย มีเพียงร่องรอยการไถลของหินเท่านั้น




จะเห็นว่า หินทุกก้อนไม่มีร่องรอยของการเข้าไปรบกวน หรือทำการเคลื่อนย้ายโดยคนหรือสัตว์
เพราะไม่มีรอยเท้าและพื้นที่ก็กว้างเกินกว่าจะใช้ไม้หรือวัตถุเขี่ยถึง




สมมุติฐานของการเกิดปรากฏการณ์ธรรมชาติ หินเดินได้

ทางสมมุติฐานอ้างว่า เกิดจากลม ตัวการที่นิยมนำมาใช้อธิบายปรากฏการณ์นี้ก็คือ ลม โดยส่วนมากลมที่พัดผ่านบริเวณนี้จะมีทิศทางพัดจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ไปยัง ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และร่องรอยการไถลของหินก็มีทิศทางขนาดกับทิศทางของลมนี้ด้วย แต่ก็มีนักวิทยาศาสตร์บางคน ได้แย้งว่ากระแสลมใน เรซแทรค พลาย่า สามารถทำให้เดินน้อยกว่า 5 เซนติเมตร และถ้าต้องการให้ดินเดินได้เป็นระยะตามที่ปรากฏจะต้องมีกระแสลมแรงกว่า 145 กิโลเมตร/ชั่วโมง

บางสมมุติฐาน อ้างว่า เกิดจากน้ำแข็ง คนกลุ่มหนึ่งให้ข้อมูลว่า เคยเห็นเรซแทรค พลาย่าถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งชั้นบางๆ แนวคิดหนึ่งอธิบายว่า เมื่อน้ำรอบก้อนหินแข็งตัวและแต่ต่อมามีลมพัดผ่านผิว ด้านบนของน้ำแข็ง ทำให้แผ่นน้ำแข็งได้ลากก้อนหินนั้นไปด้วย จึงเกิดรอยครูดไถลบนพื้นผิวแอ่ง นักวิจัยบางคนพบร่องรอยไถลของหินหลายก้อนที่สอดคล้องกับแนวคิดนี้ด้วย แต่อย่างไรก็ตามการเคลื่อนย้ายแผ่นน้ำแข็งขนาดใหญ่นั้นคาดว่าจะต้องมีการ ทิ้งร่องรอยบนพื้นผิวแอ่งในทิศทางอื่นๆ ด้วย แต่ก็ยังไม่พบร่องรอยนั้น และนั้นจึงทำให้มันยังคงเป็นปริศนาที่ต้องมีการศึกษาและหาคำตอบกันอีกต่อไป.



ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก :
https://www.myfirstbrain.com

10 วิธีต้านเหงา-เศร้า-เซ็ง-เครียด

นิตยสาร ‘Health (= สุขภาพ)’ ฉบับออนไลน์ ตีพิมพ์เรื่อง ‘10 No-cost strategies to fight depression’ = “10 ยุทธศาสตร์ที่ไม่ต้องใช้สตางค์เพื่อต้าน (อาการ) ซึมเศร้า”

คนส่วนใหญ่คง จะมีช่วงใดช่วงหนึ่งในชีวิตที่รู้สึก “เหงา-เศร้า-เซ็ง-เครียด” ซึ่งนอกจากการไปปรึกษาหมอใกล้บ้านแล้ว วิธีต่อไปนี้จะช่วยให้ผ่านพ้นช่วงเวลาดังกล่าวได้ดีขึ้น…

(1). Don’t blame yourself = อย่าติเตียนตนเอง
คน ส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดมาสมบูรณ์แบบ หรือเกิดมาเพื่อสิ่งที่ดีเลิศ (born for the best), คนส่วนใหญ่เกิดมาเพื่อ “สิ่งที่ดีรองลงไป (born for the second best)”

…เพราะฉะนั้น… ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ขั้นแรก คือ ทำใจให้ได้ และหาทางแก้ไขต่อไปเท่าที่แรงและกำลังของเรามี โดยไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับใคร

อาจารย์จิตแพทย์ท่านหนึ่งเล่า ไว้นานแล้วว่า มีคนรวยที่คิดฆ่าตัวตายเพราะมีสตางค์ 20 ล้าน สู้เพื่อนๆ ไม่ได้ (เพื่อนมี 200 ล้าน) ซึ่งคนไข้ท่านนั้นก็ไม่ได้ผิดอะไร เพียงแต่ถ้ายอมรับ “สิ่งที่ดีรองลงไป” สักหน่อยก็จะมีชีวิตที่เหลือดีกว่าเดิมได้อย่างมากมาย

(2). Talk about it = พูดออกมา
ถ้า มีญาติสนิทมิตรสหายที่ไว้ใจได้ และรับฟัง… การพูดออกมาว่า เรารู้สึกอย่างไรมักจะช่วยให้อะไรๆ ดีขึ้น หรืออย่างน้อยก็อาจทำให้อะไรๆ เบาลงไปได้

ถ้าไม่มีคนรับฟัง… การเขียนไดอารี พูดกับสัตว์เลี้ยง เช่น น้องหมา ฯลฯ ก็อาจจะดีกว่าเก็บไว้จนถึงวันระเบิดออกมาสักวัน

จุดสำคัญ คือ อย่าพูดเพื่อเปลี่ยนแปลงโลก แต่ขอให้พูดเพื่อเปลี่ยนแปลงที่ตัวเราก่อนคนอื่น,…

หนังสือเล่มหนึ่งเตือนคนที่ไป อินเดีย (อินเดียเป็นประเทศที่มีอะไรๆ ‘Extreme’ หรือสุดโต่งมากมาย เช่น มีคนรวยที่สุด-จนที่สุด ฯลฯ มากกว่าประเทศอื่นๆ) ไว้ดี คือ ‘You can not change India. But India will change you.’ = “คุณเปลี่ยนอินเดียไม่ได้. แต่อินเดียจะทำให้คุณเปลี่ยนไป”

เรื่องชีวิตก็เช่นกัน… การเริ่มต้นเปลี่ยนที่ตัวเรามักจะง่ายกว่าการเปลี่ยนแปลงโลกหรือคนอื่น…

กล่าวกันว่า คนที่มองโลกในแง่ดีและมีความสุขมักจะเน้นเปลี่ยนแปลงที่ตัวเอง…

คนที่มองโลกในแง่ร้ายหรือไม่ ค่อยมีความสุขมักจะเน้นการเปลี่ยนแปลงที่โลกและ คนอื่น ซึ่งถ้าเริ่มเปลี่ยนแปลงที่ตัวเราก่อนมักจะทำได้ง่าย ถ้าคิดจะเริ่มเปลี่ยนแปลงโลกหรือคนอื่นจะทำได้ยากกว่ากันมาก…

(3). Get regular exercise = ออกแรง-ออกกำลังเป็นประจำ
การ ออกแรง-ออกกำลังเป็นประจำมีส่วนช่วยลดอาการ “เหงา-เศร้า-เซ็ง-เครียด” ได้ โดยเฉพาะการเดินเร็วๆ 10 นาทีทันทีที่รู้สึกเหงาๆ มีส่วนช่วยลดการหมกมุ่นครุ่นคิดกับเรื่องเดิมๆ ทำให้มีมุมมองใหม่ๆ ที่ดีขึ้นได้อย่างมากมาย…

(4). Postpone major decisions = เลื่อนการตัดสินใจครั้งใหญ่ออกไปก่อน
คน เราไม่ควรตัดสินใจเรื่องใหญ่ๆ ในชีวิตโดยใช้เวลาสั้นกว่า 7 วัน และไม่ควรตัดสินใจโดยไม่ปรึกษาหารือคนรอบข้าง เพื่อป้องกันการตัดสินใจประเภท “วู่วาม” หรือขาดการมีส่วนร่วม (เช่น จากคนในครอบครัวหรือญาติสนิทมิตรสหาย ฯลฯ)

ถ้าเราไม่สบาย ไม่ว่าจะเป็นทางกายหรือทางใจ… ความสามารถในการตัดสินใจของเรามักจะตกลง อย่างน้อยก็ชั่วคราว ซึ่งถ้ารอให้เวลาผ่านไป

(5). Take care of your health = ใส่ใจสุขภาพ (กาย) ของคุณด้วย
กาย ที่ดีเป็นพื้นฐานสำคัญอย่างหนึ่งของใจที่ดี… เมื่อเราป่วยทางใจก็ขอให้ป่วยเฉพาะทางใจ อย่าปล่อยให้ร่างกายโทรม เพราะจะได้โรคใหม่ๆ อีกเพียบ

(6). Maintain a daily routine = ทำกิจวัตรประจำวันที่ดีต่อไป
ถึง แม้ชีวิตคนเราจะมีช่วงสูงขึ้นหรือต่ำลงไปบ้าง, ทว่า… อะไรที่ดีกับตัวเราแล้ว เช่น การทำความสะอาดร่างกาย (อาบน้ำ สระผม ซักผ้า รีดผ้า ฯลฯ) แล้ว ขอให้ทำต่อไป อย่าปล่อยให้เราดูโทรม เพราะกายที่โทรมมักจะนำไปสู่จิตใจที่โทรม (ยิ่งขึ้น)

(7). Eat a healthy diet = กินอาหารสุขภาพ
อาหาร สุขภาพมีส่วนทำให้เรารู้สึกดีๆ กับชีวิต คือ อย่างน้อยก็มีตัวเราที่ยังรักและเอาใจใส่ตัวเราอยู่ อย่าปล่อยให้เซลล์ในร่างกายของเราชุ่มไปด้วยอาหารขยะ เพราะจะทำให้ใจของเราแย่ลงไปอีก

ทางที่ดี คือ ทำกายให้ดีด้วยอาหารดีๆ พอประมาณ (มากไปเดี๋ยวอ้วนอีก) เพื่อบอกเซลล์ในร่างกายว่า อย่างน้อยก็มีตัวเราที่พร้อมอยู่เคียงข้าง ขอมอบสิ่งดีๆ ให้กับเซลล์ทั่วร่างกาย ไม่ปล่อยให้เซลล์ในร่างกายเป็นถังขยะรองรับอาหารขยะอีกต่อไป

(8). Avoid drugs and alcohol = หลีกเลี่ยงยาเสพติดและแอลกอฮอล์
ถ้าหมอใกล้บ้านแนะนำให้ใช้ยา หรือปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต… นั่นน่าจะเป็นทางออกที่ดี แต่อย่าไปหาทางออกกับยาเสพติดหรือแอลกอฮอล์

เพราะการมีชีวิตที่ตกต่ำไปบ้าง เป็นบางครั้งจะยังไม่ตกต่ำลงไปมากตราบเท่าที่ เรายังหันเข้าหายาเสพติด เนื่องจากมีความดีที่เหลืออยู่คุ้มครอง ปกป้องเราไว้ได้

(9). Try to sleep well = นอนให้ดี (นอนไม่ดึกและนอนให้พอ)
การ ศึกษาที่ผ่านมาพบว่า การนอนไม่พอมีส่วนเพิ่มเสี่ยงอาการ “เหงา-เศร้า-เซ็ง-เครียด”… ทางที่ดี คือ นอนให้พอเพื่อมีแรงกาย-แรงใจไว้ต่อสู้วันใหม่ได้ต่อไป


(10). Don’t overschedule = อย่ารับงานมากเกิน
การเป็นคุณ ‘Yes’ หรือใครสั่งงานอะไรมาก็รับ ใครบอกว่าต้องทำโน่นทำนี่ก็รับ มีส่วนเพิ่มความเครียดและอาการซึมเศร้าได้

โลกเรามีพวก “นักคิด-นัดพูด-นักพ่น” ที่ชอบคิดโครงการหรืออุดมการณ์โน่นนี่มากมาย คนพวกนี้ไม่ค่อยทำอะไร แต่ชอบพูดๆๆๆ ให้คนอื่นทำ

การตกเป็นเครื่องมือของพวก “นักคิด-นักพูด-นักพ่น” เหล่านี้จะทำให้ชีวิตของเราตกต่ำ, ทางที่ดี คือ หัดเป็นคุณ ‘no’ หรือปฏิเสธงานที่มากเกินไปเสียบ้าง และที่สำคัญ คือ อย่าปล่อยให้พวก “นักคิด-นักพูด-นักพ่น” มาครอบงำ หรือบงการชีวิตเรา

ที่มา Thank Health Magazine

+++ Hamster +++

+++ Playlist +++


MusicPlaylistRingtones
Create a playlist at MixPod.com

+++ coming soon +++