วันพุธที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

กล้องบันทึกวิดีโอ 3 มิติตัวแรกของโลก!!

พานาโซนิค (panasonic) เปิดตัวกล้องถ่ายวิดีโอ 3 มิติ ที่ดูภายนอกก็จะเหมือนกับกล้องถ่ายวิดีโอดิจิตอลทั่วไป แต่ที่น่าสนใจก็คือ กล้องรุ่นนี้จะสามารถบันทึกวิดีโอ 3 มิติได้ เพียงแค่ผู้ใช้ใส่ชุดเลนส์แปลงภาพเป็น 3 มิติเข้าไป โดยจะเป็นโมดูลที่จำหน่ายแยกต่างหากจากตัวกล้อง

ในขณะที่บริษัทผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์กำลังแข่งกันผลิต ทีวี 3 มิติ เพื่อส่งเข้าไปจำหน่ายในร้านค้าต่างๆ ตามติดด้วย Avatar ภาพยนต์ 3 มิติที่กำลังจะออกเวอร์ชัน Blu-ray ปรากฎการณ์เหล่านี้จะช่วยเร่งเทคโนโลยีทีวี 3D ให้ได้รับความสนใจมากขึ้นไปอีก อย่างไรก็ตาม คอนเท็นต์ภาพยนต์ 3D ยังมีน้อยเกินไปทำให้ความแพร่หลายของทีวี 3D ไม่เร็วอย่างที่ควร แต่ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป

เพราะล่าสุด Panasonic HDC-SDT750 กล้อง บันทึกวิดีโอฟูลไฮเดฟฯ กับชุดเลนส์พิเศษที่มีราคาเริ่มต้น 170,000 เยน หรือประมาณ 62,500 บาท คุณก็สามารถบันทึกวิดิโอ 3D เพื่อเล่นบนเครื่องเล่นทีวี 3 มิติได้แล้ว ซึ่งตัวกล้องบันทึกวิดีโอก็จะเหมือนกับทั่วๆ ไป แต่เมื่อคุณต้องการบันทึกวิดีโอ 3 มิติก็เพียงแค่ต่อชุดเลนส์ขนาดใหญ่ เพื่อแปลงภาพเป็น 3D โดยชุดเลนส์จะขายแยกต่างหาก นอกจากจะบันทึกวิดีโอ 3D ได้แล้ว มันยังสามารถถ่ายภาพนิ่ง 3 มิติได้ด้วย โดยคอนเท็นต์ 3D จะถูกบันทึกบนการ์ดหน่วยความจำ SD หรือต่อตรงกับ TV 3D ผ่าน ทางสาย HDMI สำหรับระบบเสียงบันทึกแบบ 5.1 ด้วยไมค์ 5 ตัว และจอ LCD 3 นิ้วบนกล้อง

Panasonic คาดว่า กล้องถ่ายวิดีโอ 3D จะเริ่มจำหน่ายในญี่ป่นวันที่ 20 สิงหาคม ก่อนที่จะวางตลาดทั่วโลกในช่วงปลายปีนี้ ทั้งนี้ Shiro Nishiguchi ซีอีโอของพานาโซนิคกล่าว่า ปีนี้เป็นปีเริ่มต้นของยุค 3 มิติ โดยนอกจากจะมีกล้องบันทึกวิดีโอ 3D แล้ว ทางบริษัทยังมีทีวี 3D อีก 8 รุ่น เครื่องเล่นและบันทึกคอนเท็นต์ 3D อีก 3 รุ่น และแว่นตา 3D อีก 4 สไตล์ "คอนเท็นต์ 3D ที่คุณสร้างขึ้นมาเอง ย่อมจะเป็นคอนเท็นต์ที่คุณอยากดู และมันจะเป็นคอนเท็นต์ที่ทำให้ทีวีสามมิติเกิดในตลาดอย่างรวดเร็ว" Nishiguchi กล่าว



ถ้าวันหนึ่ง ลิฟท์ตก..จะทำยังไง ?





ขึ้นลิฟท์กันอยู่บ่อยๆ ลิฟท์ค้างไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่ถ้าวันหนึ่ง..ลิฟท์ตกเนี่ยสิ จะทำยังไง

ใครที่ อาศัยอยู่ในคอนโดหรืออพาร์ทเมนท์แล้วต้องใช้ลิฟท์ขึ้นๆลงๆอยู่บ่อยๆ คงต้องเคยเจอประสบการณ์ลิฟท์ค้างมาไม่มากก็น้อย ลิฟท์ค้างไม่ค่อยเท่าไหร่...แต่ลิฟท์ตกเนี้ยซิ จะทำยังไงดี วันนี้ เรามีคำตอบมาฝากกัน

1. ให้กดปุ่มให้ลิฟต์จอดทุกชั้นอย่างเร็วที่สุด เพื่อเมื่อไฟฟ้าสำรองทำงาน มันจะหยุดลิฟต์จากการร่วงลงมา

2. จับที่จับให้แน่น หากว่ามี มันจะช่วยรองรับตำแหน่งและป้องกันจากการหล่นและการบาดเจ็บถ้าเราเสียสมดุลย์

3. พิงหลังและศีรษะเข้ากับผนังให้เป็นเส้นตรง การพิงผนังจะทำให้มันช่วยป้องกันหลังและกระดูก

4. งอเข่า เพราะเมื่อลิฟต์ตก เราจะไม่รู้เลยว่าเมื่อไรที่ลิฟท์จะกระแทกพื้น และอาจจะส่งผลให้กระดูกทั่วร่างแตกละเอียดได้ เส้นเอ็นเป็นจุดเชื่อมต่อที่ยืดหยุ่น มันสามารถยืดกระดูกเข้าด้วยกันเป็นกิจกรรมต่างๆ แต่จะจำกัดบางสิ่งเพื่อป้องกันการบาดเจ็บ ดังนั้น ผลกระทบจากกระดูกแตกจะลดลงจากการกระแทกของการร่วงหล่น

“หวัด” โรคใกล้ตัว น่ากลัวกว่าที่คิด





ข้อควรรู้เรื่องหวัด หวัด
แพทย์หญิง วราลักษณ์ ตังคณะกุล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยา สำนักโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข อธิบายถึงความแตกต่างของโรคไข้หวัดกับโรคภูมิแพ้และโรคหัด ว่า "วิธีสังเกตความต่างก็คือโรคหัดจะมีอาการไข้ หลังจากนั้นจะมีผื่นขึ้นตามตัว ส่วนโรคภูมิแพ้จะมีอาการเหมือนไข้หวัด 4 อย่างคือ น้ำมูกไหล ไอ จาม แต่ไม่มีไข้"


จัดอันดับไข้หวัดยอดฮิต
นายแพทย์ภาสกร อัครเสวี ผู้อำนวยการสำนักระบาดวิทยาอธิบายว่า ไข้หวัดแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆคือ ไข้หวัดธรรมดา (Cold) และไข้หวัดใหญ่ (Influenza)ซึ่งทั้งสองชนิดมีเชื้อไวรัสตัวการก่อโรคแตกต่างกันไป

ทาง ด้านคุณหมอวราลักษณ์เสริมว่าในโรคไข้หวัดใหญ่ยังมีการจำแนกสายพันธุ์ต้นตอ ที่ต่างกันอีกด้วย และมีชื่อเรียกเฉพาะ เช่น ไข้หวัดนก ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009

จากการพูดคุยกับคุณหมอทั้งสองสามารถ แบ่งประเภทไข้หวัดตาม ที่มา อาการและความอันตรายของโรคหวัดเป็น 4 ชนิดดังนี้ค่ะ

1. ไข้หวัดธรรมดา (Cold) เกิดจากเชื้อ Rhinovirus และแบคทีเรียบางประเภทที่อาศัยอยู่ในร่างกายคนและมีคนเป็นพาหะ ติดต่อโดยการได้รับเชื้อที่แพร่กระจายจากการหายใจ การไอ หรือสัมผัสเสมหะหรือสารคัดหลั่งต่างๆของผู้ป่วย

อาการ มีไข้ ไอ น้ำมูกไหล อาการป่วยจะหายเองภายใน 3-7 วัน

ความ รุนแรง ปกติอาการจะไม่รุนแรงเพราะร่างกายจะสร้างภูมิต้านทานขึ้นมาปกป้อง ยกเว้นมีการติดเชื้อแบคทีเรียซึ่งส่วนใหญ่เชื้อจะอยู่ที่คอ ทำให้มีอาการเจ็บคอ คอแดง ต่อมทอนซิลโต และแบคทีเรียบางชนิดอาจทำให้เยื่อหุ้มสมองอักเสบได้

เมื่อไรต้องพบแพทย์ หากกินยาลดไข้และพักผ่อน 2-3 วันแล้ว อาการยังไม่ดีขึ้น หรือมีอาการรุนแรงขึ้นเช่น ไออย่างรุนแรง เจ็บหน้าอก ซึม เพลีย ให้รีบไปพบคุณหมอเพื่อตรวจหาอาการแทรกซ้อน

2. ไข้หวัดใหญ่ (Influenza) เกิดจากเชื้อไวรัส Influenza กลุ่ม A และ B ซึ่งมีความรุนแรงกว่าเชื้อไข้หวัดธรรมดาเพราะเชื้อจะเข้าสู่ระบบกล้ามเนื้อ และอาจลามเข้าไปทำให้เป็นโรคปอดบวม มีการติดต่อเช่นเดียวกันกับไข้หวัดธรรมดา

อาการ มีอาการคล้ายไข้หวัดธรรมดาแต่จะรุนแรงกว่าและมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดแขนขา ปวดตามข้อ อ่อนเพลียฉับพลัน และปวดศีรษะอย่างรุนแรง

ความรุนแรง ผู้ที่มีอาการรุนแรงส่วนใหญ่จะเป็นบุคคลในกลุ่มเสี่ยงคือ เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว และอาจเกิดอาการแทรกซ้อนได้หลายชนิดเช่น อาการอักเสบของเยื่อหุ้มหัวใจ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ และปอดบวม

เมื่อไรต้องพบแพทย์ หากมีไข้สูง หายใจหอบ ผิวมีสีม่วง เจ็บหรือแน่นหน้าอก หรือมีอาการของไข้หวัดใหญ่มานานกว่า 7 วัน ให้สงสัยว่าอาจมีการติดเชื้อแทรกซ้อน ควรรีบไปพบคุณหมอทันที

3. ไข้หวัดนก (avian influenza) เกิดจาก เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ สายพันธุ์ H5N1 ซึ่งมีอยู่ในลำไส้และระบบทางเดินหายใจของสัตว์ปีก เชื้อไวรัสจะแพร่กระจายออกมากับอุจจาระ น้ำมูก สิ่งคัดหลั่งอื่นๆของสัตว์ และติดต่อสู่คนจากการได้รับเชื้อโดยการสัมผัสสัตว์ปีกที่ป่วยหรือตาย และสิ่งแวดล้อมที่มีการปนเปื้อนของอุจจาระ น้ำมูก และสิ่งคัดหลั่งอื่นๆของสัตว์ปีกเช่นกัน

อาการ มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่แต่จะรุนแรงกว่า เช่น มีไข้สูง ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลียมาก ไอ เหนื่อย ปวดท้องและถ่ายเหลว

ความรุนแรง มีความรุนแรงมากหากได้รับการรักษาช้า เชื้อจะเข้าไปทำลายอวัยวะสำคัญต่างๆเช่นหัวใจ ไต ตับ ไขกระดูก ระบบหายใจและต่อมน้ำเหลือง นอกจากนี้ยังพบว่าเชื้อไวรัสสามารถขยายพันธุ์ในปอดและลำไส้ของคนได้ด้วย

เมื่อไรต้องพบแพทย์ หากมีอาการข้างต้นหลังจากสัมผัสสัตว์ปีกหรือเข้าไปในพื้นที่ที่สงสัยว่ามี การระบาดหรือสงสัยว่ากินเนื้อไก่และไข่ไก่ที่ปรุงไม่สุก

4. ไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 (swine influenza) เกิด จากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ สายพันธุ์ H1N1 ซึ่งเป็นเชื้อที่ติดต่อจากคนสู่คนเท่านั้น เชื้อชนิดนี้ถือเป็นเชื้อสายพันธุ์ใหม่ล่าสุด ที่มีการผสมสายพันธุ์ระหว่างไวรัสที่อาศัยอยู่ในคน นก และหมู ทำให้มีการเพร่เชื้ออย่างรวดเร็ว เพราะคนยังไม่มีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อชนิดนี้และไม่มีวัคซีนป้องกัน

อาการ อาการใกล้เคียงกับอาการโรคไข้หวัดใหญ่ที่พบตามปกติ เช่น มีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ไอ เจ็บคอ แต่จะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน และท้องเสียร่วมด้วย

ความรุนแรง ผู้ป่วยส่วนใหญ่ร้อยละ 90-95 มีอาการไม่รุนแรงจะหายป่วยได้เอง โดยไม่ต้องนอนโรงพยาบาล แต่ผู้มีความเสี่ยงได้แก่ ผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น โรคระบบทางเดินหายใจ หอบหืด โรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน ผู้สูงอายุ เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ผู้ที่ภูมิต้านทานต่ำ ผู้ที่มีภาวะอ้วน และหญิงมีครรภ์

เมื่อไรต้องพบแพทย์ ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง เช่น มีไข้สูง หายใจลำบาก หอบเหนื่อย อาเจียน ท้องเสีย มีอาการซึม หรือ ไข้ยังไม่ลดหลังจากรับประทานยาลดไข้แล้ว 48 ชั่วโมงผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง หากป่วยเป็นไข้ ไม่ว่าจะมีอาการน้อยหรือมากต้องรีบพบแพทย์


จับตากระแส "หวัดระบาด"
ไม่ ว่าจะเป็นไข้หวัดธรรมดา และไข้หวัดใหญ่ ล้วนเป็นไข้หวัดที่ยังคงมีแนวโน้มการระบาดเกิดขึ้นในประเทศไทยอยู่อย่างต่อ เนื่อง ดังที่นายแพทย์ภาสกรกล่าวไว้ว่า

"สำหรับไข้หวัดธรรมดา ย่อมมีการระบาดเรื่อยๆตามฤดูกาลอยู่แล้ว โดยกลุ่มเสี่ยง คือกลุ่มเด็กเล็ก ซึ่งอาจระบาดได้ในสถานเลี้ยงเด็ก หรือโรงเรียน แต่สำหรับวัยผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่ทุกคนจะมีภูมิต้านทานเชื้อไวรัสตัวนี้อยู่แล้ว จึงไม่น่าเป็นห่วง"

"ส่วน ไข้หวัดใหญ่ทั่วไป ที่มีเชื้อ Influenza virus เป็นตัวก่อโรคก็เช่นกัน ยังคงมีการระบาดตามฤดูกาล และจากสถิติพบว่า คนทั่วไปประมาณ 40-50 เปอร์เซ็นต์ จะมีภูมิต้านทานเชื้อไวรัสตัวนี้แล้ว แต่สิ่งที่ต้องระวังคือ อาการทั่วไปของไข้หวัดใหญ่มักเป็นอาการที่กว้าง และป่วยเป็นเวลานาน จนบางคนอาจเกิดโรคแทรกซ้อนที่ทำให้ให้อาการหนักลงได้"

"ขณะเดียวกัน ก็ไม่ควรประมาทไข้หวัดสายพันธุ์อื่นๆที่อาจกลับมาระบาดใหม่อีกครั้งพร้อม ทั้งเตรียมรับมือโรคอุบัติใหม่ที่เกี่ยวกับโรคทางเดินหายใจ ที่มีแนวโน้มว่าจะทวีความรุนแรงมากขึ้นและติดต่อกันง่ายขึ้น เนื่องจากในอนาคตผู้คนจะมาอยู่รวมตัวกันในเมืองใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ จึงเลี่ยงการแพร่เชื้อในที่ชุมนุมชนได้ยาก"


สร้างภูมิชีวิต พิชิตไข้หวัด
สำหรับ ผู้ที่ดูแลตัวเองตามแนวทางชีวจิตซึ่งแทบจะไม่ป่วยเป็นหวัดเลย เพราะมีภูมิชีวิตดี อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง กูรูชีวจิต อธิบายว่า

"อาการ ของไข้หวัดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ปวดเมื่อยเนื้อตัว น้ำมูกไหล หรือไอ จะมากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับ Immune System หรือภูมิชีวิตของแต่ละคน ถ้าภูมิชีวิตของคนไข้ตกมาเป็นระยะเวลานาน จนถึงจุดที่ว่าไม่ว่าเชื้อโรคโรคอะไรก็ตามที่ทำให้คนไข้มีอาการติดเชื้อได้ อาการทุกอย่างก็จะโจมตีมาพร้อมๆกัน จนกระทั่งดูเหมือนคนไข้อาการหนัก (Trauma) กำลังถึงแก่ชีวิตได้"

"แต่ถ้าภูมิชีวิตของเขาดีอยู่ การติดเชื้อก็จะมีแค่อาการครั่นเนื้อครั่นตัว และอ่อนเพลียเล็กน้อย ถ้าได้พักสัก 2-3 วัน อาการเจ็บป่วยเขาก็จะหายไป ดังนั้น ถ้าภูมิชีวิตของคุณสมบูรณ์แข็งแรงดี ไม่เพียงแต่ไข้หวัดที่จะหลีกไกลคุณเท่านั้น ภูมิชีวิตนี้ยังป้องกันการติดต่อของโรคติดต่ออื่นๆได้ด้วย"


อาจารย์ สาทิสแนะนำวิธีแก้อาการโรคหวัดแบบชีวจิตว่าให้เพิ่มภูมิชีวิตตามสูตร 5 เล็กอย่างเคร่งครัด คือ กินให้ถูก นอนให้ถูก ทำงานให้ถูก พักผ่อนให้ถูก และออกกำลังกายให้ถูก ทั้งยังบอกวิธีแก้อาการโรคหวัดเบื้องต้นตามตำรับยาพื้นบ้านด้วย
  • กินยอดสดฟ้าทะลายโจรครั้งละหนึ่งยอดก่อนอาหาร 3 มื้อ หรืออย่างเม็ด 3 เม็ดก่อนอาหาร 3 มื้อ
  • กิน วิตามินซี 1,000 มิลลิกรัมครั้งละ 1 เม็ดหลังอาหาร 3 มื้อ วิตามินเอ 10,000 I.U ครั้งละ 1 เม็ดหลังอาหาร 3 มื้อ และวิตามินบี คอมเพล็กซ์ 100 มิลลิกรัมครั้งละ 1 เม็ดก่อนอาหาร 3 มื้อ
  • กิน แคลเซียม 100 มิลลิกรัม ครั้งละ 1 เม็ด เช้า-เย็นหลังอาหาร วิตามินดี 10,000 I.U ครั้งละ 1 เม็ดหลังอาหารเช้า-เย็น
  • ทำดีท็อกซ์ทุกวัน 2 อาทิตย์
  • ผสม น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะกับน้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์ 2 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากันจิบตลอดวันแก้ไอ

ข้าวโพด...เมล็ดจิ๋ว ประโยชน์แจ๋ว


นอกเหนือจากข้าวอัน เป็นอาหารหลักที่เรารับประทานกันอยู่ทุกวันแล้ว ทุกคนคงเคยลิ้มลองรสชาติอันหวานมันของข้าวโพดซึ่งเป็นพืชที่นำประโยชน์มาใช้ ได้แทบทุกส่วน ซึ่งเฉพาะเมล็ดนั้นวิธีการรับประทานก็สารพันจะสรรหากันแล้ว ไม่ว่าจะนำมาต้ม ปิ้ง คลุกเนย ทอด หรือการใช้ประโยชน์จากการนำมาแปรรูป เช่น แป้งข้าวโพด นม เหล้า เบียร์ วิสกี้ น้ำตาลผง สบู่ น้ำยาทำความสะอาด เครื่องสำอางค์ น้ำเชื่อม น้ำหวาน น้ำสลัด เนยเทียมและมายองเนส เป็นต้น

สิ่งหนึ่งที่ทำให้ข้าว โพดเป็นธัญพืชที่นิยมนำมาแปรรูปเป็นอาหารนานาชนิดก็เนื่องจากเป็นพืชที่ให้ พลังงานสูง เพราะมีคาร์โบไฮเดรตเป็นส่วนประกอบหลัก แถมยังมีโปรตีน ไขมัน เกลือแร่ และวิตามินที่มีประโยชน์อีกมากมาย เช่นวิตามินซี เอในรูปเบต้าแคโรทีน อีซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความเสื่อมของเซลล์ ลูเทียน และซีแซนทิน ซึ่งเป็นสารคาโรตีนอย ช่วยป้องกันตาเสื่อมสภาพ

ส่วนประโยชน์ด้านอื่นๆ คงหนีไม่พ้นสรรพคุณทางยา ที่คนโบราณค้นพบและนำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย เช่นเมล็ด ของมันใช้ทานเพื่อบำรุงร่างกาย หัวใจ ปอดขับปัสสาวะ และนำมาบดพอกรักษาแผล นอกเหนือจากนี้ยังใช้ซังข้าวโพดต้มนำน้ำมาดื่มแก้บิด ท้องร่วง ขับปัสสาวะ ต้น ราก และไหมข้าวโพด รสจืดหวาน ต้มเอาน้ำดื่ม ขับปัสสาวะได้ด้วย





สารอาหารในเมล็ดข้าว โพด 100 กรัมนั้น ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรต 8.2 กรัม โปรตีน 11.1 กรัม เกลือแร่ 1.7 กรัม ไขมัน 4.9 กรัม และเส้นไยหยาบอีก 2.1 กรัม แนะซักนิด สำหรับผู้ที่ชอบการรับประทานข้าวโพดเป็นชีวิตจิตใจว่า หากจะรับประทานข้าวโพดเมื่อใดก็ควรล้างน้ำเปล่าให้สะอาดเสียก่อน หากซื้อจากร้านค้าก็ควรเลือกชนิดที่ไม่ฟอกหรือขัดมากจนเกินไป เพราะจะเสียคุณค่าทางอาหารและอาจมีสารขัดสีตกค้างเป็นของแถม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์แปรรูปต่างๆ ที่ควรเลือกแต่สินค้าที่ได้มาตรฐานและได้รับการรับรองแล้วเท่านั้น

เห็นกันแล้วว่าการรับประทานข้าวโพดเพียงชนิดเดียวก็ได้รับ ประโยชน์อันมหาศาล ดังนั้นถ้าบ้านใครมีพื้นที่ว่างพอที่จะปลูกได้ล่ะก็อย่ารีรอกันอยู่เลย เพราะวิธีการปลูกนั้นง่ายนิดเดียว เพียงหยอดเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดลงในหลุมดินร่วนที่ขุดไว้ 3-5 เมล็ด เมื่อต้นกล้างอกให้ถอนออกเหลือหลุมละ 1 ต้น เท่านี้ก็จะได้ข้าวโพดที่เป็นได้ทั้งอาหารและยาไว้รับประทานกันในบ้านโดยไม่ ต้องกังวลกับเรื่องสารพิษตกค้างอีกด้วย

วันหยุดและวันทำงาน





วันหยุด ใครๆก็ชอบวันหยุด ได้พักไม่ต้องทำงาน
แต่ในปีหนึ่งๆ เรามีวันหยุดสักกี่วัน?
วันส่วนใหญ่เป็นวันทำงาน

หากเปรียบกับ"ชีวิต" วันหยุด คือ ความสุข
วันทำงาน เหมือน ความทุกข์ ความลำบาก อุปสรรค และปัญหา
แน่นอนในชีวิต ความทุกข์ มีมากกว่าความสุข
เหมือนวันหยุด ทีมีน้อยกว่าวันทำงานเสมอ



แต่เรา ได้เงินเลี้ยงชีวิต และ ครอบครัว
สร้างเนื้อสร้างตัว ก็ไม่ใช่จากวันทำงานรึ?

ความทุกข์ อุปสรรค ปัญหา ล้วนแล้วแต่ทำให้เราได้เรียนรู้ ทำให้เข็มแข็ง และเก่งขึ้น
ความสุข ทำให้เราได้เรียนรู้น้อย ยิ่งมีความสุขมาก เรายิ่งอ่อนแอ และเปราะบาง!!


ดังนั้นถ้าเราต้องกลับมาเจอกับวันทำงาน เจอ ความทุกข์ในชีวิต
ก็ไม่ต้องกลุ้มใจ หรือ ท้อใจ
เพราะนี้จะเป็นโอกาส ดีที่เราจะได้เรียนรู้ เราจะเก่ง แข็มแข็ง
และอดทน มากขึ้น!!



แล้วถ้าเราคิดว่าเราทำผิดพลาดไป ก็ไม่ต้องคิดมาก
มนุษย์เกิดมาคู่กับการทำผิดพลาด อยู่แล้ว มันเป็นธรรมดาของคน
เราทำผิดพลาด ก็เพื่อเราจะได้แก้ไขและเรียนรู้การทำให้"ถูก!!"


ไม่มีคำว่า" ตัดสินใจผิด"การตัดสินใจ ก็เป็นแค่"การเลือกทางเดินชีวิต"
ว่าเราจะเดินไปอย่างไร จากจุดที่เราเลือก การตัดสินใจที่ไม่เหมือนกัน
ก็แค่ การเลือกทางเดินทางไปที่เป้าหมาย ด้วยวิธีที่ต่างกัน ก็แค่นั้นเอง... "


การเลือกเส้นทางเดินของชีวิต ไม่มีใครบอกได้ว่า เส้นทางไหนมันจะดีกว่ากัน
เราบอกไม่ได้ว่าถ้าได้แต่งงานกับคนนี้จะต้อง ดีกว่าคนโน้น!!
เราเลือกอาชีพโน้นคงต้องดีกว่าอาชีพนี้!!
ทุกอย่าง มันไม่แน่เสมอไป ขอแค่เราทำปัจจุบันให้ดีที่สุด!!


การที่เรา คิดว่าแบบนี้ดีกว่าแบบนั้น คนนี้ดีกว่าคนนั้น
ถ้าเราได้เป็นเขา เราคงมีความสุข มากกว่านี้

ไม่จริงเลย ทุกคนมีปัญหาทั้งนั้น
ความ ทุกข์ ก็แค่เปลี่ยนรูปแบบ และหน้าตามาเท่านั้นเอง!!

คนจนก็มีความ ทุกข์ แบบคนจน แต่พอรวยก็ ทุกข์แบบคนรวย
เด็กก็ทุกข์ แบบเด็ก ผู้ใหญ่ก็ทุกข์แบบผู้ใหญ่
ไม่มีใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบ


สิ่ง ที่เราทำได้ก็คือ เรายอมรับในสิ่งที่เราเลือก!! เราเป็น!!
เรียนรู้มัน ที่จะอยู่กับมัน!!

มาดูซิ!!ว่าเราจะทำอะไรได้จาก สิ่งที่เรามีอยู่
และ ถ้าเกิดความผิดพลาด
1 ยอมรับมัน
2 ให้อภัย
3เรียนรู้แก้ไข และ ก้าวไปข้างหน้า


ชีวิต ก็เท่านี้....

วิธีออกกำลังกายง่ายๆ ที่ใครๆ ไม่ค่อยจะทำ...

วิธีออกกำลังกายง่ายๆ ที่ใครๆ ไม่ค่อยจะทำ...

1. เดิน
- เดินสะสมระยะทางให้ได้ 15 กม. ต่อสัปดาห์ หรือเฉลี่ยวันละ 3-5 กม.
- เดินสะสมในระยะเวลา 6-7 เดือน หรือจะ...เดินสะสมระยะเวลาให้ได้ 150 นาทีต่อสัปดาห์ หรือเฉลี่ยวันละ 30 นาทีหรือแบ่งเป็น 2 รอบ รอบละ 15 นาที

2. วิ่ง
- วิ่ง 100-200 เมตร หรือ ขึ้น- ลง บันได 2 เที่ยวแล้วพัก ยังไม่มีผลต่อหัวใจมากนัก ไม่ช่วยลดพุง
- วิ่ง 1.5 กม. ใน 8 นาที เริ่มมีผลต่อหัวใจแต่ยังไม่ลดพุง
- วิ่งต่อเนื่องไม่หยุด 12 นาที มีผลต่อหัวใจและลดพุง
- วิ่งต่อเนื่องไม่หยุด 30 นาทีขึ้นไป มีผลต่อหัวใจ ลดพุงชัดเจน

3. ยกน้ำหนักเบาๆ บ่อยๆ
- ทำให้กล้ามเนื้อกระชับ ไม่ลีบ
- ระดับฮอร์โมนต่างๆ ทำงานได้คงที่ เช่น อินซูลิน
- ระดับความดันเลือดคงที่

4. แอโรบิคเบาๆ บ่อยๆ
- ลดความเครียด เกร็ง ของกล้ามเนื้อ
- ชะลอขบวนการเสื่อมจากวัยของระบบกล้ามเนื้อ หัวใจ ปอด และกระดูก
- ต้องทำนาน 20 นาทีเป็นอย่างน้อย อาจเป็นการวิ่ง ออกกำลังอยู่กับที่ ขี่จักรยานอยู่กับที่ หรือ เต้นแอโรบิค


Exercise แบบไหนไม่ดี...
ในคนอ้วน
>NO> เต้นแอโรบิค วิ่งเร็วๆ กระโดดเชือก หรือการออกกำลังกายที่มีการกระแทก

ความดันในเลือดสูง
>NO> ยกน้ำหนัก ดำน้ำลึก สควอช
>YES> ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ เต้นรำ เทนนิส จ๊อกกิ้ง


Exercise บ่อยแค่ไหนดี...
ช่วงเริ่มฝึก 1-2 สัปดาห์แรก

- อายุไม่มาก ควรออก 2-3 วันต่อสัปดาห์
- อายุมากกว่า 40 ปี ควรออก 1-2 วันต่อสัปดาห์

ฝึกมาสักระยะ ให้มีความก้าวหน้า
- คงไว้ที่ 3 วันต่อสัปดาห์
- เต็มที่ 5 วันต่อสัปดาห์
- ไม่ควรเป็น 7 วันต่อสัปดาห์ เพราะร่างกายต้องการพักบ้าง

Exercise นานแค่ไหนดี...
- ครั้งละ 30 นาที ในช่วงเริ่มต้น น้ำหนักอาจยังไม่ลด
- เพิ่มเป็นครั้งละ 60 นาที น้ำหนักลดแน่นอน
- รวมแล้วให้ได้ 150-200 นาทีต่อสัปดาห์ รวม 16 สัปดาห์


ถ้าทำตามดังข้างบน รับรองน้ำหนักลดแน่นอน

สีเสื้อผ้าช่วยเสริมเสน่ห์คนใส่?


สาวผิวดำ ถ้าอยากดูดีมีเสน่ห์ขึ้นมา ควรเลือกใส่เสื้อผ้าสีกลางๆ ออกสีครีมๆ เรียบๆ เพื่อให้ดูสง่าภูมิฐาน หรือเลือกเสื้อผ้าที่มีสีค่อนข้างอ่อน อย่างสีขาว สีกากี สีฟ้าอ่อน สีเทา สีชมพู เนื่องจากสีเหล่านี้สามารถเพิ่มความอ่อนโยน และเสริมบุคลิกภาพ ให้ดูดีมีเสน่ห์ยิ่งขึ้นได้

สาวผิวสองสี สาวคนไหนมีผิวสองสี นับว่าโชคดีมาก เพราะสามารถเลืิอกเสื้อผ้าสีใดใส่ก็ได้ แต่ก็ยังมีข้อควรระวังในการเลือกสีเสื้อผ้าเช่นเดียวกัน สีเสื้อผ้าที่เหมาะคือ สีม่วงเข้ม สีกรมท่า สีดำ สีน้ำตาลอ่อน(สีเบจ) สีชมพู(ควรมีลวดลาย) สาวผิวสองสีใส่เสื้อผ้าสีเหล่านี้จะแสดงความเป็นตัวตนที่ง่ายๆ แต่หากอยากแสดงความหลากหลายในตัวตน ก็สามารถหยิบจับสีต่างๆเหล่านี้มาผสมผสานกัน

สาวผิวขาว (ซีด) ไม่ต้องกังวลเพราะเหมาะมากกับเสื้อผ้าที่มีสีพาสเทล สีเหล่านี้สามารถดึงให้เป็นคนที่น่าสนใจ สดใส ซึ่งจะทำให้ลืมความซีดของผิวไปได้ สีเสื้อผ้าที่เหมาะกับผิวขาวซีดคือ สีฟ้าอ่อน สีฟ้าเข้ม สีน้ำตาลอ่อน(สีเบจ) สีน้ำตาล สีขาวแต่ควรมีลวดลายสีสันต่างๆ เสื้อผ้าสีเหล่านี้ จะดึงให้คนผิวขาวซีดมีชีวิตชีวา สามารถทำให้เป็นคนที่น่าสนใจได้ไม่ยาก

เรื่องน่ารู้ ของสีกับเสื้อผ้า

- สีขาว เสื้อผ้าสีขาวทำให้คุณดูขี้อ้อนนิดๆ น่าเอ็นดูหน่อยๆ เหมาะจะใส่ไปอ้อนแฟนสุดๆ

- สีน้ำเงิน เวลาไปสัมภาษณ์งาน นี่คือสีที่ขอแนะนำเพราะมันจะทำให้คุณดูเป็นคนเอาการเอางาน ไว้ใจได้ เรียกว่าน่าจ้างไว้เป็นพนักงานนั่นเอง

- สีชมพู คนๆ นี้อาจกำลังอินเลิฟ

-สีเงิน เสื้อผ้าสีเงินทำให้คนใส่ดูไฮเทคทันสมัย เป็นตัวของตัวเอง มีความคิดสร้างสรรค์เป็นยอด

-สีทอง ว่ากันว่าถ้าใส่เครื่องประดับสีทอง เงินทองจะไหลมาเทมา

-สีเหลือง ใส่เสื้อสีนี้เวลาเซ็งๆ แล้วอารมณ์จะเปลี่ยนเพราะสีนี้ทำให้รู้สึกสดใสกระฉับกระเฉง จะได้เลิดซังกะตายเสียที

-สีม่วง อย่าไปยุ่งเชียวเขากำลังต้องการโลกส่วนตัว

รู้หรือยัง “น้ำ“ ก็ช่วยลดน้ำหนักได้


"น้ำเปล่า"...ที่เราดื่มกินกันอยู่ทุกวัน มีประโยชน์มากกว่าช่วยดับกระหาย เพราะจากผลการวิจัย พบว่า เมื่อเพื่อน ๆ ดื่ม น้ำเย็นในปริมาณ 500 มิลลิลิตร หลังอาหารทุกครั้ง จะช่วยให้ร่างกายมีอัตราการเผาผลาญแคลอรี่สำหรับย่อยอาหารเพิ่มขึ้นถึง 30%

และยังมีงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งที่ระบุว่าการดื่มน้ำ 2 ลิตรต่อวัน จะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรีเพิ่มขึ้นถึง 150 แคลอรีต่อวัน...ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อระบบเผาผลาญในร่างกายดี ย่อมส่งผลให้หน้าท้องของเพื่อน ๆ แบนราบเรียบ ไม่มีอาการบวมน้ำ อันเป็นสาเหตุของหน้าท้องโตมากวนใจอีกด้วย

นอกจากนี้ ร่างกายกว่า 80% ของเพื่อน ๆ ยังเต็มไปด้วยน้ำ...แต่อนิจจาน้ำในร่างกายของเราย่อมมีวันเสื่อมสลายไป ถ้าใช้เป็นอย่างเดียว แต่ไม่ยอมเติมเข้าไป หรือเติมเข้าไปน้อย ก็จะทำให้ผิวหนังของเราเกิดอาการฝ่อ หรือที่ภาษาชาวบ้าน เรียกว่า เหี่ยว นั่นเอง ดังนั้น เพื่อน ๆ จึงต้องหมั่นเติมน้ำเข้าไปในร่างกายอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อสร้างความชุ่มชื่นให้กับผิวหนัง...ผิวพรรณของเพื่อน ๆ จะได้สวยใสอยู่ตลอดเวลา


เคล็ดลับเติมพลังสมอง





หาก ไม่อยากป่วยด้วยโรคทางสมอง ลองปฏิบัติตามเคล็ดลับเติมพลังสมองด้วยวิธีง่าย ๆ แค่อย่าละเลยการรับ ประทานอาหารมื้อเช้า เพราะมีผลต่อความจำที่ดี ทั้งยังป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ

สำหรับอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อ สมองด้านความจำคืออาหารที่มีโอเมก้า 3 วิตามินบี1 บี6 และบี12 รวมทั้งวิตามินซีเพื่อความกระปรี้กระเปร่า น้ำมันพริมโรสเติมความชุ่มชื่นให้เซลล์ และดื่มน้ำมาก ๆ แต่ก็ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัด

อีกทั้งขณะหลับร่างกายจะหลั่งสาร เมลาโทนิน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสมอง ดังนั้นในแต่ละวันควรหลับพักผ่อนไม่ต่ำกว่า 6-7 ชั่วโมง ที่สำคัญต้องไม่นอนดึก

ในเรื่องความคิดควรคิดในเชิงบวก นับตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้า หากมีจิตใจที่แจ่มใส ตลอดทั้งวันอารมณ์ความรู้สึกก็จะเบิกบาน ทั้งยังต้องหมั่นหัวเราะเพื่อผ่อนคลายกังวล

ถึงแม้จะเป็นเรื่องน่า เบื่อสำหรับบางคน แต่คุณรู้หรือไม่ว่า การ นั่งสมาธิเพียงวันละ 10 นาที ให้สมองเข้าสมาธิแบบลึก จัดเป็นการผ่อนคลายสมองที่ดี เสริมสร้างจินตนาการ ไม่ทำให้หลงลืมอะไรง่าย ๆ

ส่วนเรื่องใกล้ตัวอยู่แค่ปลายจมูก อย่าง การหายใจก็ช่วย เพิ่มพลังให้สมองได้ แค่สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และผ่อนออกช้า ๆ เพียง 15 นาทีต่อวัน จะทำให้สมองได้ถ่ายเทออกซิเจนได้เต็มที่สมองต้องการ 20-25%

สิ่งที่ไม่ควรมองข้าม คือ การเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อย่างสม่ำเสมอ เช่น ฝึกเขียนหนังสือด้วยมือข้างที่ไม่ถนัด เพื่อ การบริหารสมองทั้งซีกซ้ายและขวา หรือฝึกคิดคำนวณ แก่ปริศนาบ่อย ๆ นอกจากนี้ยังต้องออกกำลังกายเป็นประจำ และควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานด้วย.

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เด ลินิวส์

+++ Hamster +++

+++ Playlist +++


MusicPlaylistRingtones
Create a playlist at MixPod.com

+++ coming soon +++