วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

หลักการกินสู่ความสวย

การกินอาหารสู่ความสวยจะต้องมีหลักการกินที่ถูกต้อง เพื่อให้สารอาหารดีๆ หล่อเลี้ยงสุขภาพและความงามของคุณอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

- กินอาหารครบทั้ง 5 หมู่ แม้ว่าคุณจะอยู่ในช่วงไดเอตซึ่งต้องควบคุมปริมาณคาร์โบไฮเดรต ไขมันหรือโปรตีนให้น้อยลง แต่การอดอาหารหมู่ใดหมู่หนึ่งไม่ใช่การไดเอตที่ถูกต้อง เพราะถ้าคุณขาดสารอาหารตัวใดตัวหนึ่งก็เป็นไปได้ว่าจะทำให้คุณขาดสารอาหาร ตัวอื่นๆตามไปด้วย เช่น ถ้าคุณงดไขมันเลยคุณก็ต้องเสี่ยงกับการขาดวิตามิน เอ ดี อี เค ซึ่งเป็นวิตามินที่ละลายไขมัน เมื่อไม่มีไขมันไปละลายร่างกายก็นำวิตามินเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ แม้ว่าคุณจะกินอาหารที่มีวิตามินเหล่านี้ไปมากเพียงใดก็ไร้ประโยชน์

ดังนั้น คุณจำเป็นต้องกินอาหารให้ครบทุกหมู่ แต่อาจเน้นไปที่เกลือแร่วิตามินที่มีอยู่ในผักผลไม้ให้มาก ส่วนไขมันและคาร์โบไฮเดรตอาจลดลงได้บ้างก็ไม่มีปัญหา ยิ่งคุณต้องการให้ผิวสวยรูปร่างดีด้วยแล้ว จะปล่อยให้ร่างกายขาดสารอาหารตัวใดตัวหนึ่งไม่ได้เลย

- ควรกินอาหารที่มีอยู่ในฤดูกาลเป็นหลักเพื่อให้ได้อาหารสดใหม่มีคุณภาพดีที่ สุดในช่วงนั้นและราคาประหยัด ที่สำคัญคือจะเป็นช่วงที่มีสรรพคุณหรือคุณค่าทางสารอาหารเยี่ยมยอดที่สุด

- การกินผลไม้หรือผักอาจเป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ เพราะหลายคนนิยมปอกเปลือกเสียหมด เพราะรู้สึกว่าปอกแล้วกินง่ายอร่อยกว่าและยังรู้สึกว่าสะอาดกว่าด้วย แต่ความจริงแล้วยังมีผักผลไม้อีกมากที่ไม่จำเป็นต้องปอกเปลือกก็ได้ เช่น สาลี่ ฝรั่ง ละมุด ลูกแพร์ แอปเปิล คะน้า แตงกวา พริกหยวก ฯลฯ เพราะการปอกเปลือกเท่ากับเป็นการนำส่วนที่ดีที่สุดซึ่งมีสารอาหารมากมายออก ไป แต่ถ้าคุณกลัวว่าจะมียาฆ่าแมลงผสมอยู่ที่เปลือกให้ล้างด้วยด่างทับทิมแล้ว ล้างออกด้วยน้ำเปล่านานๆ หรือจะใช้นำยาสำหรับล้างผักผลไม้โดยเฉพาะและแช่ไว้นานๆ ก็ปลอกภัยแล้ว

- การกินอาหารที่ถูกต้องไม่ควรเน้นที่ความเอร็ดอร่อยถูกปากเป็นอันดับแรก แต่คุณควรเน้นคุณค่าทางสารอาหารมาเป็นอันดับหนึ่ง เพราะถ้ายึดติดอยู่กับความอร่อยเท่านั้นก็จะต้องกินอาหารที่มีรสจัดๆ ขึ้นทุกวัน ซึ่งแน่นอนว่าคุณก็จะได้อาหารที่เปี่ยมไปด้วยสารปรุงแต่งมากมายเกินความจำ เป็นของร่างกาย เช่น เกลือ น้ำตาล สี สารปรุงแต่งกลิ่น สารกันบูด ผงชูรส สารที่ทำให้กรุบกรอบ สิ่งเหล่านี้ล้วนบั่นทอนทั้งสุขภาพและความงามโดยตรง และถ้าคุณได้รับในปริมาณมากๆ ก็จะสะสมทำให้เกิดโรคร้ายต่างๆ ได้ ดังนั้นการกินที่ถูกต้องก็คือการกินที่เน้นรสธรมชาติของอาหารเป็นหลัก เพราะรสธรรมชาติที่มีอยู่ในอาหารนั้นความจริงก็จะออกรสพอดีๆ อยู่แล้วอาจปรุงเกลือป่นสักเล็กน้อยก็จัดว่าใช้ได้แล้ว เนื่องจากลิ้นคุณรับแต่อาหารรสจัดๆ มานานจนรู้สึกว่าถ้าไม่ปรุงเลยก็คงกินไม่ได้เพราะอาหารนั้นจืดชืดเต็มทน ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสียใหม่ปรุงแต่น้อยแล้วหันมาสัมผัสธรรมชาติกันดี กว่า ไม่ช้าคุณก็จะปรุงอาหารน้อยลงและมีสุขภาพดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อความงามในระยะยาวด้วย

- การกินแบบจุบจิบเป็นลักษณะนิสัยของสาวๆ เกือบทุกรายเพราะผู้หญิงมักจะเมาส์ไปกินไปเสมอ แต่ด้วยความไม่รู้ตัวเธอก็กินไปมากมายและทำให้ความงามลดลง เพราะทั้งความอ้วนและผิวพรรณเสียๆมักถามหา อย่างมากก็มีแป้ง ไขมันและน้ำตาลสูง ซึ่งล้วนแต่ทำลายสุขภาทั้งสิ้น ดังนั้นถ้าคุณยังอยากคงความงามเอาไว้ก็ต้องหันมากินเป็นมื้อๆ ไป แต่ถ้าอดไม่ได้ก็ขอให้เปลี่ยนจากอาหารไร้ประโยชน์มาขบเคี้ยวอาหารที่มีคุณ ค่าแทน เช่น ขนมปังโฮลวีต ถั่วลิสงคั่ว งาดำตัด ผักผลไม้อบแห้ง

- อย่ากินเมื่อหิว โดยเฉพาะในยามที่คุณมีสมาธิอยู่กับอะไรนานๆ วันนั้นคุณจะไม่รู้สึกหิวเลยและคุณมีสมาธิอยู่กับอะไรนานๆ วันนั้นคุณจะไม่รู้สึกหิวเลยและคุณก็จะไม่กินเพราะคิดว่าร่างกายคงไม่ต้อง การ บางคนก็คิดว่าแค่การทำงานนั่งโต๊ะไม่ได้วิ่งไปไหนและไม่สึกหิวนักจะกินหรือ ไม่ก็ย่อมได้ แต่ความเป็นจริงแล้วความคิดเช่นนี้ไม่ถูกต้องเลยเพราะการที่ร่างกายไม่ได้ เตือนคุณแบบท้องร้องจ๊อก จ๊อก นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณไม่ต้องกิน หากคุณละเลยแบบนี้บ่อยๆ โรคกระเพาะก็ต้องถามหาแน่ๆ หรืออย่างน้อยก็ต้องฟ้องที่ผิวพรรณ เพราะคนอดมื้อกินมื้อนั้นจะมีผิวซีดเซียวและเหี่ยวย่นง่าย ดังนั้นคุณควรกินวันละ 3 มื้อทุกวันโดยไม่ต้องรอให้หิว และควรกินให้ตรงเวลาด้วย ถ้าคุณฝึกจนเป็นนิสัย คราวต่อไปถ้าคุณกินไม่ตรงเวลาร่างกายคุณจะเตือนเองโดยอัตโนมัติ

- การกินอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ ไม่กินของประเภทแช่เย็น หรือไว้ข้ามคืน จะทำให้คุณได้รับอาหารที่มีคุณค่าสูงสุด ดังนั้นคุณได้รับการสั่งสอนมาตั้งแต่เด็กว่าควรกินอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ ซึ่งยังรับประกันได้ว่าสะอาดด้วย โดยเฉพาะการกินอาหารที่เป็นแหล่งรวมวิตามิน เช่น ผักผลไม้นั้นถ้าถูกอากาศและความร้อนนานๆ วิตามินบางชนิดก็สูญสลายได้ง่ายมาก ที่นี้คุณจะได้กินอาหารแค่ซากหรือกากมันเท่านั้นเพราะส่วนที่ดีที่สุดสลายไป หมดแล้ว

- สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ น้ำ ซึ่งเป็นอาหารที่บำรุงสุขภาพและความงามโดยตรงแม้ไม่มีสารอาหารใดๆ แต่น้ำแหละที่จะมอบความชุ่มชื้นให้กับทุกเซลล์ในร่างกายโดยเฉพาะเซลล์ผิว หนังจะขาดน้ำไปไม่ได้เลย และน้ำนี้แหละที่จะมอบความชุ่มชื้นให้กับทุกเซลล์ในร่างกาย

- น่าจะมีสัก 1 มื้อ ในแต่ละวันที่คุณสามารถทำอาหารกินเองได้ อย่างน้อยก็เป็นมื้อที่คุณมั่นใจได้ว่าคุณจะได้อาหารที่มีคุณค่าและปราศจาก สารพิษต่างๆ ทั้งสารปรุงแต่งรสหรือสารเคมีตกค้างจากยาฆ่าแมลงต่างๆ

- ธัญพืชก็ฌป็นอาหารอีกรูปแบบที่คุณควรให้ความสนใจ เพราะมีคุณค่าทางสารอาหารมากมายสามารถนำมากินแทนของว่าง

- ไม่ควรกินอาหารซ้ำซากเป็นเวลานานๆ เพราะอาจทำให้ได้รับสารอาหารชนิดนั้นมากเกินไป

- กินอาหารให้ได้หลายรสชาติ เพราะรสชาติแต่ละรสชาติ ทั้ง หวาน เปรี้ยว เผ็ด เค็ม มีประโยชน์แตกต่างกัน

- กินในปริมาณที่พอดีไม่เกินความต้องการของร่างกาย

- การกินที่ดีต้องใช้เวลาในการกินสักหน่อย ไม่ควรรีบกิน เพราะจะทำให้กระเพาะทำงานหนักหรือไม่ก็ปวดท้องเพราะอาหารไม่ย่อย

- กินอาหารปลอดสารพิษ

- กินผักผลไม้ให้มากขึ้น

ที่มา : thai-healthcare.com

จะกินไข่ไก่หรือไข่เป็ดดี ?


วันนี้ คุณรับประทานไข่หรือยังหรือวันนี้คุณรับประทานไข่ไก่หรือไข่เป็ด ชักจะสงสัยขึ้นมาแล้วว่า ไข่ไก่หรือไข่เป็ด อะไรดีกว่ากัน ด้วยเหตุนี้เองจึงอยากจะมาชี้แจงเรื่องนี้ให้ทราบกัน

ไข่ นับว่าเป็นอาหารที่มีความสำคัญมากและรับประทานกันแพร่หลายทั่วๆไป ประชาชนทั่วๆไปมักจะพูดกันและรู้จักไข่ในลักษณะอาหารเสริม บำรุงกำลัง ผู้ที่ไม่มีแรง อ่อนเพลีย หรือผู้ที่เจ็บป่วย มักถูกญาติมิตร เพื่อนฝูง แนะนำให้รับประทานไข่บ้าง อาหารไข่นับว่าเป็นอาหารที่มีประโยชน์และสะดวกในการประกอบอาหารรับประทาน

อย่าง ไรก็ตามจริงๆแล้วเรื่องราวของไข่เกี่ยวกับคุณประโยชน์จริงๆนั้นยัง รู้จักกันน้อย บางครั้งมักจะมีผู้ตั้งคำถามอยู่เสมอว่าไข่ไก่หรือไข่เป็ดชนิดไหนมีประโยชน์ มากกว่ากัน

ความจริงแล้ว โปรตีนจากไข่ขาวเป็นโปรตีนชั้นดี ซึ่งร่างกายสามารถนำไปใช้แทนเนื้อเยื่อที่เสื่อมสภาพของร่างกายได้ทั้งหมด นับว่าดีกว่าเนื้อสัตว์เสียอีก ทางการแพทย์บอกว่า ไข่ขาวสามารถเปลี่ยนเป็นโปรตีนของร่างกายได้เต็ม 100 % ประชาชนของประเทศส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะสนใจมากนัก เราควรจะหันมาให้ความสนใจกับการรับประทานไข่ให้มากขึ้น จะเป็นไข่ไก่หรือไข่เป็ดก็ได้ เพราะล้วนแต่ให้ประโชน์ทั้งนั้น

ในต่างประเทศมักจะไม่ค่อยรับประทานไข่เป็ดกัน เพราะหาได้ลำบากกว่าไข่ไก่ จะสร้างโรงเรือนเลี้ยงเป็ดแบบเลี้ยงไก่ก็ทำไม่สะดวกไข่ไก่หรือไข่เป็ดชนิดใด มีคุณค่ามากกว่ากันดีกว่ากัน ข้อมูลเป็นตัวเลขเปรียบเทียบให้เห็นดังนี้สำหรับไข่ไก่ 1 ฟอง และ ไข่เป็ด 1 ฟอง



สารอาหาร ไข่ ไก่ ไข่เป็ด

พลังงาน (แคลอรี) 169 180


ไขมัน (กรัม) 11.9 12.6


คาร์โบไฮเดรต (กรัม) 1.7 4.1


โปรตีน (กรัม) 12.7 11.7


แคลเซี่ยม (มิลลิกรัม) 76.0 71.0


เหล็ก (มิลลิกรัม) 3.5 2.8


วิตามินบี 1 (มิลลิกรัม) 0.08 0.27


วิตามินบี 2 (มิลลิกรัม) 0.48 0.56


วิตามินบี 5 (มิลลิกรัม) 0.1 0.1

คุณ ค่าของไข่ไก่และไข่เป็ด มีส่วนแตกต่างกันบ้าง เช่น ไข่ไก่หนือกว่าไข่เป็ด ในด้าน โปรตีน แคลเซี่ยม เหล็ก แต่ไข่เป็ดกลับเหนือว่าในด้านพลังงาน ไขมัน วิตามิน บี 1 วิตามิน บี 2

หาก เรารับประทานไข่ไก่หรือไข่เป็ด 1 ฟอง คิดปริมาณน้ำหนัก 5 0 กรัม เมื่อเทียบความต้อการสารอาหารที่ควรได้รับสำหรับประชาชน ใน 1 วัน ก็นับว่าเพียงพอแล้ว ในเด็กที่กำลังเจริญเติบโต ในวันหนึ่งควรรับประทานไข่เพียงวันละ 1 ฟอง ก็จะได้สารอาหารที่จำเป็นมากพอสมควร

Positive Thinking




คนเราส่วนใหญ่ชอบมองโลกในแง่ร้าย คิดทางลบอยู่เรื่อย การคิดทางลบทำให้เสียสุขภาพจิต พอสุขภาพจิตเสียก็ส่งผลถึงสุขภาพกาย หมอประเวศ วะสี บอกว่า การคิดทางลบทำให้คนเราหมดกำลังใจง่าย ๆ เพราะไม่มีอะไรให้ชื่นใจ

......................

จริง ๆ แล้ว ทุกครั้งที่เราลงมือทำอะไรเราชอบมีคำตอบให้กับการลงแรงเพียงสองทางคือ สำเร็จและล้มเหลว ขาวและดำ


ได้ตามเป้าหมายคือ สำเร็จ ไม่ได้ตามเป้าหมายที่คิดไว้ก็คือ ล้มเหลว

ลืมคิดไปว่าเราเริ่มต้นจาก 0 แม้ก้าวไปไม่ถึง 10 ที่เป็นเป้าหมาย

แต่ที่เดินมาก็ประมาณ 5 แล้ว ไม่ถึง 10 แต่ก็ไม่ใช่ 0

ทำไมไม่เอา 5 มาเป็นกำลังใจ

หมอประเวศบอกว่า ความสำเร็จนิดเดียวก็เป็นกำลังใจให้เราก้าวเดินต่อไปได้

......................

เชื่อไหมครับว่าในสิ่งเดียวกันเราสามารถมองได้ 2 แบบทั้งทางลบและทางบวก

ภาพเดียวกัน แต่มองแตกต่างกัน


ยกตัวอย่างเช่น

เรานำกระดาษขาวแผ่นหนึ่ง จุดสีดำลงที่กลางกระดาษ
ลองถามเพื่อนสิครับว่าเห็นอะไรในกระดาษบ้าง

ส่วนใหญ่จะบอกว่าเห็นจุดสีดำ

ทั้งที่ "จุดดำ" นั้นเป็นจุดเล็ก ๆ นิดเดียวบนกระดาษขาว

มีน้อยคนที่จะตอบว่าเห็นกระดาษสีขาว ทั้งที่สีขาวมีเนื้อที่มากกว่าจุดสีดำหลายร้อยเท่า

สิ่งเดียวกัน แต่มองเห็นต่างกัน

......................

หรือแก้วน้ำใบหนึ่งมีน้ำอยู่ครึ่งแ้ก้ว

คนหนึ่งเห็นอาจบอกว่ามีน้ำ "แค่" ครึ่งแก้ว

อีกคนอาจบอกว่ามีน้ำ "ตั้ง" ครึ่งแก้ว

แค่พยางค์เดียวที่แตกต่างกัน ระหว่างคำว่า "ตั้ง" กับ "แค่" ก็ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน

แค่ครึ่งแก้ว กับตั้งครึ่งแก้ว สะท้อนให้เห็นมุมมองของคนที่พูดได้อย่างชัดเจน

หรือถ้าเติมน้ำไปอีกนิด แล้วถามว่ารู้สึกอย่างไรกับปริมาณน้ำในแก้วนี้

คนหนึ่งอาจบอกว่ามีน้ำเต็มแก้ว

อีกคนอาจมองอีกมุมว่า แค่เติมน้ำนิดเดียวก็เต็มแก้วแล้ว

เพราะมุมมองและทัศนคติแตกต่างกัน เราจึงมองเห็นภาพภาพหนึ่งแตกต่างกัน

......................

ตัวอย่างที่ดีอีกเรื่อง เป็นกรณีคลาสสิกทางการตลาด

บริษัทรองเท้าในอิตาลี 2 แห่งส่งเซลส์แมนไปเกาะแห่งหนึ่ง
คนบนเกาะไม่มีใครใส่รองเท้าเลย


เซลส์คนแรกวิ่งไปโทรศัพท์บอกเจ้านาย

"นายครับ ไม่้ต้องมาอีกแล้วครับ คนในเกาะไม่มีใครใส่รองเท้าเลย"

คนที่สองวิ่งไปโทรศัพท์กลับไปยังบริษัทเหมือนกัน

เขาบอกเจ้านายด้วยน้ำเสียงอันตื่นเต้น

"นายครับ โอกาสขายมีมากเลยครับ เพราะคนในเกาะไม่มีใครใส่รองเท้าเลย"

เกาะเดียวกัน คนไม่ใส่รองเท้าเหมือนกัน แต่เซลส์ 2 คนคิดไม่เหมือนกัน

คนหนึ่งเห็น "ปัญหา" คนหนึ่งเห็น "โอกาส"

......................

ทัศนคติทางบวกเป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่ใช่ว่ามองเห็นอะไรก็บวกไปหมด

บางครั้งก็ต้องลบบ้าง


ในชีวิตจริงไม่มีใครในโลกหรอกครับที่คิดอะไรทางบวกด้านเดียว


ใครคิดบวกอย่างเดียวถือว่าค้ากำไรเกินควร
ถ้าเจอต้องแจ้ง สคบ. หรือกระทรวงพาณิชย์ให้จัดการ


ทุกคนล้วนต้องคิดทั้งบวกและลบผสมปนเปกันไป
เพียงแต่ใครมากใครน้อยเท่านั้น

ถ้า สาว 2 คน คนหนึ่่งมีทัศนคติทางบวก อีกคนคิดอะไรก็ลบอยู่เป็นประจำ ระดับตอนสอบวิชาคณิตศาสตร์ อาจารย์บอกให้บวกเลข เธอก็ยังเปลี่ยนเป็นลบเลย

ทั้ง 2 สาวหากเดินในซอยเปลี่ยวคนเดียว และมีชายหนุ่มกำยำล่ำสัน 3 คนเดินตามมาและเร่งฝีเท้าใกล้มาเรื่อย ๆ

รับรองครับว่าสาวน้อย 2 คนแม้จะมีวิธีคิดแตกต่างกันโดยพื้นฐาน แต่ครั้งนี้เธอจะวิเคราะห์สถานการณ์เหมือนกัน

มองโลกในแง่ร้ายเหมือนกันแน่นอน

ต่อให้คิดทัศนคติทางบวกอย่่างไร สาวน้อยคงไม่คิดว่าหนุ่มทั้ง 3 คนคนเดินมาคอยระวังภัยให้

หรือคิดว่าไม่เป็นไรหรอก ร่างกายอาจกำยำ แต่ใจอาจเป็นเกย์ก็ได้

......................

มีผู้ใหญ่คนหนึ่งเป็นคนมองโลกในแง่ดี มีอารมณ์ขัน ชอบพูดอยู่เรื่อยว่า
"โลกมีไว้เหยียบ ไม่ได้มีไว้แบก"


เห็นใครทุกข์ก็จะใช้ประโยคนี้ปลอบใจเสมอ

แต่พอถึงเวลาทำงาน วิธีการบริหารธุรกิจของเขาจะมองโลกในแง่ร้าย

เขาจะประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจในแ่ง่ลบเสมอ

ถ้าแย่ตามที่คิด ธุรกิจก็ไม่เสียหาย แต่ถ้าดีกว่าที่ประเมินก็ "กำไร"

ด้วยวิธีิคิดเช่นนี้เขาจึงประสบความสำเร็จทางธุรกิจ ไม่ว่ามรสุมเศรษฐกิจจะเกรี้ยวกราดเพียงใดก็ตาม



ที่มา มองโลกง่ายง่าย สบายดี (ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ 3) โดย หนุ่มเมืองจันท์

แค่เปลี่ยนมุมมองชีวิต โลกใบนี้ก็มีแต่ "รอยยิ้ม"

♣ เคล็ดลับในการทำงานให้เสร็จทันเวลาในแต่ละวัน ♣



การทำงานให้เสร็จทันเวลาในแต่ละวัน ต้องอาศัยเคล็ดลับ ไม่ยาก ไม่ยาก


ต่อให้คุณจะยุ่งมากแค่ไหน คุณก็สามารถทำให้งานต่าง ๆ เสร็จได้ไม่ยากเลย

มาดูเคล็ดลับความสำเร็จกันเถอะคือ

ความสำเร็จอยู่ในมือคุณแล้ว มาดูกันเลย ...


++เตรียมพร้อม++
คือเตรียมรายการที่ต้องทำในแต่ละวัน จัดลำดับความสำคัญ แล้วทำสิ่งที่สำคัญที่สุดก่อน..


++อย่ารับงานมาก++
ไม่ทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน ควรตัดสินใจเลือกทำงานชิ้นใดชิ้นหนึ่งให้เสร็จก่อนที่จะทำงานอื่นต่อไป..


++อย่าหวังว่าทำได้ดีที่สุด++
เพราะ การทำทุกอย่างให้ดีไม่มีที่ตินั้น ต้องใช้เวลาและพลังงานมาก ดังนั้นอย่าเสียเวลากับเรื่องเล็กน้อยที่ไม่สำคัญจนกลายเป็นการบริหารเวลา ไม่เป็น..


++รู้จักปฏิเสธ++
หากไม่สามารถทำได้ทันเวลาหรือเป็นงานที่เกินกำลัง..


++อย่าเสียเวลากับกองกระดาษ ++
ไม่ ควรเก็บเอกสารทุกอย่างรวมกันไว้เต็มโต๊ะ เพราะเมื่อต้องการใช้เอกสารสำคัญจะต้องเสียเวลานาน ควรจัดทำเป็นแฟ้มเอกสารเพื่อจะใช้ได้ง่าย..


++หาคนช่วย++
ไม่ต้องกลัวเสียหน้า ถ้าเราเดือดร้อนแล้วบอกเพ ื่อน เพื่อนที่ดีจะช่วยเรา และเขาก็จะพอใจที่เราวางใจเขาให้ช่วย.. และ


++พักผ่อนบ้าง++
เช่น ถ้าเป็นเวลาทำงาน ควรหาเวลาพักสมองบ้าง ถ้าเป็นหลังเลิกงานก็หาสิ่งที่ทำแล้วสบายใจ เช่นอ่านหนังสือหรือดูหนังฟังเพลง…

กิจกรรมที่จะทำให้คุณสวยปิ้งในพริบตา


- อบไอน้ำให้ใบหน้า
การอบ ไอน้ำให้ผิวหน้า เราสามารถทำเองได้ที่บ้านนี่แหละค่ะ อุปกรณ์ก็ไม่มีอะไรมาก แค่เตรียมอ่างใบโต ๆ ต้มน้ำให้ร้อนจัด และเกลือสินเธาว์สัก 2-3 ช้อนโต๊ะ แต่ก่อนอื่นต้องทำความสะอาดผิวหน้าให้สะอาดหมดจดเสียก่อน และจัดการรวบผมให้ เรียบร้อย เทน้ำที่เดือดจัด ๆ ลงในอ่างที่เตรียมไว้ใส่เกลือลงไป คนให้ละลาย แล้วนำหน้าไปอังกับไอน้ำที่พวยพุ่งขึ้นมา โดยให้หน้าห่างจากขอบอ่างประมาณ 1 ฟุต อังจนกว่าไอน้ำจะระเหยหมด

ซึ่งตอนนี้คุณจะเหงื่อแตกพลั่กทีเดียว และสิ่งสกปรกรวมทั้งสารตกค้างบนผิวหน้าก็จะหลุดออกมาด้วยจึงช่วยให้ผิวหน้า สวยใสหมดจด ซึ่งเกลือสินเธาว์ที่ใส่ลงไปนั้นก็จะช่วยให้ผิวหน้าผุดผาด เปล่งปลั่งขึ้นค่ะ หลังจากขั้นตอนการอบไอน้ำเสร็จสิ้นแล้ว อย่าลืมล้างหน้าด้วยน้ำเย็นจัด จะเป็นการกระชับรูขุมขนบนใบหน้า และอย่าลืมเติมความชุ่มชื้นด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์อีกครั้งนะคะ

- คลายความเมื่อยล้าให้เท้า
สาวๆ สมัยนี้ ใส่ส้นสูงกันแทบทั้งวัน เพื่อคลายความเมื่อยล้าให้กับเท้า ลองหาเกลือทะเล 100 กรัม และโซเดียมคาร์บอเนต 1 ช้อนโต๊ะ ผสมในน้ำอุ่นแล้วแช่เท้าสักพัก จะช่วยคลายความเมื่อยล้าจากเท้าได้ดี

แต่ถ้าอยากจะให้เท้าสวยด้วย หลังจากแช่น้ำอุ่นแล้ว ก็ควรจะนวดด้วยน้ำมัน ซึ่งทำเองก็ได้ค่ะ นำน้ำมัน มะกอกหรือน้ำมันดอกทานตะวัน ผสมกับน้ำมันกานพลูสัก 4 หยด นวดให้ทั่วเท้า นอกจากจะผ่อนคลายความเมื่อยล้าแล้ว ยังเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับเท้าด้วย

- ดูแลเล็บมือให้สวยชวนมอง
1.ล้างด้วยน้ำอุ่นหรือสบู่อ่อนๆ เพิ่มความชุ่มชื้นด้วยโลชั่นถนอมมือ

2.หลังจากเช็ดยาทาเล็บออกแล้ว หากเล็บมีคราบเหลือง ให้ใช้มะนาวครึ่งลูกบีบลงในน้ำอุ่น แล้วน้ำมือลงไปจุ่มสัก 15 วินาที
กรดซิตริคในน้ำมะนาวจะช่วยให้เล็บขาวใสขึ้น หรืออาจจะใช้เปลือกส้มจากการคั้นน้ำ นำมาถูบริเวณซอกเล็บ ก็ได้ผลเหมือนกัน

3.หากเล็บแห้งกร้านและเปราะง่าย ให้แช่เล็บลงในน้ำมันมะกอก ผสมกับน้ำอุ่น ประมาณ 5 นาที

4. การขัดเล็บให้เรียบสะอาด จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้เล็บของคุณมีสุขภาพดี การขัดเล็บหรือถูเล็บวิธีที่ถูกต้องควรทำในทิศทางเดียวกันคือจากโคนไปหาปลาย

- ขัดสีข้อศอกให้หายด้านดำ
ยุค นี้ เสื้อแขนกุด สายเดี่ยว เกาะอก ยังคงครองใจสาวๆกันอยู่ จะอวดข้อศอกด้านๆ ก็กระไรอยู่ ลองใช้สำลีชุบเบบี้ออยล์ แล้วนำไปแปะที่ข้อศอกทิ้งไว้ 10 นาที ทำเป็นประจำ จะช่วยให้ข้อศอกดูนุ่มนวลขึ้น แต่ถ้าจะประหยัดกว่านั้น เปลือกมะนาวที่ฝานใช้แล้ว นำมาขัดๆถูๆ บริเวณข้อศอก ก็ช่วยให้ข้อศอกหายด้านดำได้ค่ะ

- อบไอน้ำให้เส้นผม
หลัง สระผมสะอาดแล้ว ให้ชโลม Hot Oil หรือ Conditioner ชนิดเข้มข้น นวดให้ทั่วศีรษะ แล้วใช้ผ้าชุบน้ำร้อน บิดพอหมาดๆ โพกศีรษะไว้ สัก 10 นาที แล้วจึงล้างออก ทำเดือนละครั้งจะช่วย ทำให้เส้นผมเป็นเงางาม ดูมีน้ำหนักขึ้น แต่ถ้าผมแห้งมากๆ ในขณะที่ผมแห้ง ให้หมักด้วยน้ำมันมะกอก แล้วอบไอน้ำร้อนด้วยวิธีเดียวกัน จะช่วยทำให้เส้นผมดูมีสุขภาพดีขึ้น

- ขจัดคราบไคลให้แผ่นหลัง
หา แปรงนุ่มๆ ด้ามยาว จะได้จับถือเหมาะมือ ผสมเจลอาบน้ำ (กลิ่นไหนก็ได้ที่คุณชอบ) และครีมสครับ เจลจะช่วยให้เกิดความลื่น ถูแค่เบาๆและอย่าถูนานเกินไป เพราะอาจทำให้ผิวแห้งได้ หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว อย่าลืมใช้ครีมบำรุงผิวเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับแผ่นหลังกันด้วยค่ะ

- ตาช้ำ ตาโรยหรือตาบวม
ก็ต้องฝานมันฝรั่งเป็นชื้นบางๆ นำไปแช่น้ำนมเย็นๆ สักครู่ใหญ่ โปะลงบนเปลือกตา แล้วทิ้งไว้สัก 10 นาที หรือจะใช้ถุงชาคาโมไมล์แช่เย็น ก็ได้ผลดีเช่นกัน

- อาบน้ำแบบทรงเครื่อง
ไม่มีอะไรน่าสบายเท่ากับการได้อาบน้ำอย่างพิถีพิถัน พร้อมเครื่องเคราหอมๆ ที่ช่วยเติมอารมณ์แห่งความสดชื่น คลายความล้าและบ่มผิวให้เนียนนวลสดใสอีกด้วย

ต้นโกโก้กับช็อคโกแล็ต

ต้นโกโก้1

ต้นโกโก้ (cacao tree) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Theobroma cacao ซึ่งนักพฤกษศาสตร์ (botanist) ชาวสวีเดน Carolus Linnaeus เป็นผู้ตั้งชื่อนี้ คำว่า Theobroma มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก มีความหมายว่า “ อาหาร ของพระเจ้า” (Theos = พระเจ้า และ broma หรือ brosis = อาหาร )

ต้นโกโก้มี กำเนิดอยู่ในอเมริกาใต้ (South America) หรืออเมริกากลาง (Central America) โดยบางกลุ่มของผู้ศึกษาเชื่อว่าต้นโกโก้กลุ่มแรกพบที่ต้นน้ำของแม่น้ำอะเม ซอน (Amazon) ในตอนเหนือของบราซิล (North Brazil) ในขณะที่อีกกลุ่มเชื่อว่าอยู่ที่หุบเขาโอริโนโค (Orinoco) ของประเทศ
เวเนซูเอลา (Venezuela)

ปัจจุบัน ต้นโกโก้สามารถพบได้ในพื้นที่เขตร้อนของโลก เช่น แอฟริกาใต้ (South Africa), ไนจีเรีย (Nigeria), กาน่า (Ghana), ไอวอรี่โคสต์ (Ivory Coast) และบางประเทศในทวีปเอเซีย เช่น อินโดนีเซีย (Indonesia) ซึ่งเป็นประเทศหนึ่งของทวีปเอเชียที่ผลิตโกโก้ได้ในปริมาณสูง

ต้นโกโก้2

จากต้นโกโก้มาเป็นช็อคโกแล็ตได้อย่างไร ?

ในหนึ่งปีต้นโกโก้ที่มีการเจริญเต็มที่อาจจะมีดอกประมาณ 6000 ดอก แต่มีฝักโกโก้ (ผลโกโก้: cacao pod) เพียง 20 ฝัก ภายในฝักจะมีเมล็ดโกโก้ (cacao seed/bean) อยู่ข้างใน เมล็ดโกโก้เหล่านี้ ได้ถูกนำมาแปรรูปเป็นช็อคโกแล็ตแสนอร่อยสำหรับคอช็อคโกแล็ตทุกเพศทุกวัยนั่น เอง

ช็อคโกแล็ต ที่แท้จริงต้องทำมาจากเมล็ดโกโก้เท่านั้น โดยขั้นตอนการทำเริ่มตั้งแต่ เมล็ดโกโก้ถูกแกะออกมาจากผลแล้วนำไปผ่านกระบวนการหมักเป็นเวลา 5-6 วัน เซลสืบพันธุ์ (germ)ที่ติดอยู่กับเมล็ดโกโก้จะตายไประหว่างการหมัก ทำให้เมล็ดโกโก้เกิดรูพรุนและมีสีน้ำตาล นอกจากนี้ในขั้นตอนการหมักช่วยทำให้ความขมลดลงและทำให้เกิดกลิ่นที่ดีขึ้น เหมาะสำหรับการนำไปใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตช็อคโกแล็ต

ต้นโกโก้3















กระบวน การหมักเสร็จสิ้น เมล็ดโกโก้ถูกนำมาตากให้แห้งประมาณ 1-2 สัปดาห์ เพื่อลดระดับความชื้นจาก 60 เปอร์เซ็นต์ให้เหลือเพียงประมาณ 7 เปอร์เซ็นต์ หลังจากนั้นเมล็ดโกโก้จะถูกนำไปทำความสะอาด คัดคุณภาพ บรรจุและขนส่งเพื่อนำไปผลิตเป็นช็อคโกแล็ต

ก่อนการผลิตช็อคโกแล็ต เมล็ดโกโก้แห้งถูกนำมาคั่วตั้งแต่ 10 นาทีไปจนถึง 30 นาที ที่อุณหภูมิ 120-130 องศาเซลเซียส (บางกรณีอาจใช้อุณหภูมิต่ำกว่านี้เล็กน้อย) ขั้นตอนการคั่วเป็นขั้นตอนที่สำคัญซึ่งมีผลกระทบต่อรสชาติสุดท้ายของช็อคโก แล็ต เมื่อคั่วเสร็จแกลบหรือเปลือกที่ห่อหุ้มเมล็ดโกโก้อยู่จะถูกกำจัดออกโดยการ ร่อนและใช้ลมเป่า หลังจากกำจัดส่วนที่ไม่ต้องการออกไปแล้วเมล็ดส่วนที่เหลือถูกเรียกว่า Cacao kernel หรือ Cacao nib

Cacao nib ถูกนำไปบดด้วยความเร็วสูงและที่อุณหภูมิสูงด้วยเช่นกัน เพื่อทำให้ cacao nib เปลี่ยนเป็นสีดำน้ำตาล หนืด เรียกว่า cacao liquor หรือ cacao paste ซึ่งมีไขมันโกโก้(cocoa butter) เป็นองค์ประกอบประมาณ 53-55 เปอร์เซ็นต์ cacao liquor ยังไม่มีรสชาติที่หวานและความขมยังค่อนข้างสูงจึงไม่เหมาะต่อการรับประทาน จึงถูกนำไปอัดใส่บล็อครูปสี่เหลี่ยมให้เป็นแท่งสำหรับนำไปใช้ในอุตสาหกรรมเบ เกอรี่และการทำอาหารบางชนิด รวมทั้งถูกนำไปใช้เป็นวัตถุดิบหลักของการผลิตช็อคโกแล็ตสำหรับทานทั่วไป

ในอุตสาหกรรมการผลิตช็อคโกแล็ตนอกจากมี cacao liquor เป็นวัตถุดิบหลักแล้ว ยังต้องเติมส่วนผสมอื่นๆ ได้แก่ น้ำตาล ไขมันโกโก้ (cocoa butter) ซึ่งเป็นไขมันที่สกัดมาจากเมล็ดโกโก้ เมื่อนำส่วนผสมดังกล่าวมาคลุกเคล้ากันแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายที่สำคัญซึ่งช่วยเพิ่มความอร่อยให้ช็อคโกแล็ตยิ่งขึ้นคือ กระบวนการ counching

counching เป็น กระบวนการที่ทำให้อนุภาคของน้ำตาลและโกโก้มีขนาดเล็กเกินกว่าที่ลิ้นของ เราจะสัมผัสกับอนุภาคเหล่านั้นได้ ซึ่งทำได้โดยการบดด้วยลูกกลิ้ง ดังนั้นเมื่อเราทานช็อคโกแล็ตจึงทำให้รู้สึกว่าเนื้อช็อคโกแล็ตนั้นนุ่ม เรียบ (smooth feel) ช็อคโกแล็ตที่มีคุณภาพสูงต้องใช้กระบวนนี้ถึงสามวัน ส่วนช็อคโกแล็ตที่มีคุณภาพต่ำใช้เวลาเพียงหกชั่วโมงเท่านั้น ในขั้นตอนนี้อาจเติมสารปรุงกลิ่นรสต่างๆ เช่น วานิลา (vanilla) ซินนาม่อน (cinnamon) เพื่อเพิ่มความหอมอร่อยยิ่งขึ้น

หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการ counching ช็อคโกแล็ตจะถูกเก็บไว้ในถังซึ่งต้องควบคุมอุณหภูมิไว้ประมาณ 45-50 องศาเซลเซียส เพื่อรอนำไปขึ้นรูปเป็นรูปแบบต่างๆตามที่ผู้ผลิตต้องการ ต่อมาถูกนำไปผ่านขั้นตอนสุดท้ายคือการลดอุณหภูมิเพื่อให้ช็อคโกแล็ตมีรูป ร่างคงที่ตามต้องการก่อนที่จะบรรจุและนำจำหน่ายตามท้องตลาดซึ่งปัจจุบันมี ช็อคโกแล็ตหลากหลายรูปแบบที่ผู้ผลิตได้พัฒนาออกมาสำหรับผู้ที่หลงใหลใน ช็อคโกแล็ตได้ทานกันทั่วโลก

ขอขอบคุณ วิชาการ.คอม
http://www.zomzaa.com
ภาพประกอบ google

9สุดยอดพิพิธภัณฑ์ของโลก

9สุดยอดพิพิธภัณฑ์ของโลก


การเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ เป็นการท่องเที่ยวรูปแบบหนึ่งที่นอกจากคุณจะได้เก็บภาพสวย ๆ ของสถาปัตยกรรมสุดอัศจรรย์แล้ว พิพิธภัณฑ์ยังเก็บรวบรวมศิลปะ และองค์ความรู้ต่าง ๆ ไว้ให้ผู้มาเยือนได้ศึกษาอีกด้วย เลยขออาสาพาไป ดูพิพิธภัณฑ์ 9 แห่งของโลก ที่ได้ชื่อว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ยิ่งใหญ่และทำให้นักท่องเที่ยวประทับใจทุก ครั้งที่ได้มาเยือน ดังนี้


พิพิธภัณฑ์ ซัลวาดอร์ ดาลี่


1. พิพิธภัณฑ์ ซัลวาดอร์ ดาลี่ ในเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก รัฐฟลอริด้า สหรัฐฯ เป็นพิพิธภัณฑ์ทางศิลปะที่จัดแสดงงานของ ซัลวาดอร์ ดาลี่ โดยเฉพาะ โดยผลงานที่เขาสร้างสรรค์แต่ละชิ้น ล้วนแล้วแต่เป็นงานศิลปะที่งดงาม และทำให้ผู้คนประทับใจมาแล้วนับไม่ถ้วน ผลงานที่โด่งดังมากที่สุด ได้แก่ Saint John of the cross และผลงานชุด Crucifixion




พิพิธภัณฑ์นานาชาติ แม็กซ์ซี่



2. พิพิธภัณฑ์นานาชาติ แม็กซ์ซี่ กรุงโรม ประเทศอิตาลี พิพิธภัณฑ์ใหม่ที่เพิ่งสร้างแล้วเสร็จไปเมื่อปีที่แล้ว เป็นพื้นที่ที่ใช้จัดแสดงงานศิลปะแห่งศตวรรษที่ 21 พิพิธภัณฑ์นี้เป็นที่เลื่องลือเรื่องการออกแบบเป็นอย่างมาก






พิพิธภัณฑ์ Guggenheim


3. พิพิธภัณฑ์ Guggenheim นิวยอร์ค สหรัฐฯ เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงคอลเลคชั่นของนักเขียนภาพสมัยต่าง ๆ รวมไปถึงเป็นสถานที่แสดงนิทรรศการต่าง ๆ ของชาวอเมริกันอีกด้วย




พิพิธภัณฑ์ Centre Pompidou



4. พิพิธภัณฑ์ Centre Pompidou กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดในกรุงปารีส จัดแสดงศิลปะร่วมสมัย ภายในพิพิธภัณฑ์เป็นศูนย์รวมความรู้มากมาย เช่น หอศิลป์ ข้อมูลทางศิลปะและดนตรี หอสมุด เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวโลก




พิพิธภัณฑ์ศิลปะเดนเวอร์



5. พิพิธภัณฑ์ศิลปะเดนเวอร์ โคโลราโด สหรัฐฯ เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่จัดแสดงคอลเลคชั่นศิลปะสไตล์อเมริกันอินเดียน ซึ่งมีให้ชมมากกว่า 68,000 ชิ้นจากทั่วโลก





พิพิธภัณฑ์ Royal Ontario



6. พิพิธภัณฑ์ Royal Ontario เมืองโตรอนโต ประเทศแคนาดา เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในแคนาดา รวบรวมอารยธรรมของโลกและประวัติศาสตร์ทางธรรมชาติ ภายในมีการจัดแสดงโครงกระดูกของสัตว์ต่าง ๆ และข้าวของเก่าเก็บจากทั่วโลก




พิพิธภัณฑ์ Royal Ontario



7. พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัย Niterói ในริโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเลในริโอเดจาเนโร ซึ่งถือว่าเป็นทำเลที่ดี ดึงดูความสนใจของนักท่องเที่ยวได้ดีเลยทีเดียว เนื่องจากนอกจากจะได้ชมศิลปะร่วมสมัยแล้วก็ยังไม่ชมวิวทิวทัศน์โดยรอบอีก ด้วย




พิพิธภัณฑ์ Palace of Fine Arts



8. พิพิธภัณฑ์ Palace of Fine Arts ใน ซานฟรานซิลโก สหรัฐฯ พิพิธภณฑ์ทางศิลปะ ที่ไม่ได้โดดเด่นเพียงแค่ด้านศิลปะเท่านั้น เพราะด้วยที่ตั้งที่อยู่ริมน้ำ ทำให้ Palace of Fine Arts ที่นี่กลายเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการถ่ายรูปมาก ๆ โดยแต่ละปีจะมีคู่บ่าวสาวมาถ่ายรูปแต่งงานเป็นจำนวนมาก




พิพิธภัณฑ์ City of Arts and Sciences



9. พิพิธภัณฑ์ City of Arts and Sciences ที่วาเลนเซีย ประเทศสเปน เป็นพิพิธภัณฑ์ความรู้ทางวัฒนธรรมและวิทยาศาสตร์ ภายในมีโรงภาพยนตร์ไอแม็กซ์สำหรับแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับโลกและสิ่งมีชีวิต บนโลก ที่ทำให้ผู้คนที่มาเยือนประทับใจมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน



แหล่งที่มา : centrepompidou

☆...ใช้ใจมอง‏...☆




ใช้ใจมอง 'เพื่อน'
คุณเชื่อในพรหมลิขิตมั้ย?
ถ้าไม่..
แล้วอะไรล่ะ
ที่ทำให้เรามาพบกับคนหลายคนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน
ถ้าไม่แล้วอะไรล่ะ
ที่ทำให้เราถูกชะตาจนเรียกคนๆนั้นว่า
' เพื่อน'



....... เพื่อน...………
คนๆนึงที่ครั้งนึงก็เป็นได้แค่
คนแปลกหน้าคนหนึ่ง

เวลา ผ่าน เวลา คนแปลกหน้าคนนั้น
ก็กลับกลายมาเป็นคนที่เรา' ไว้ใจ'

....... เพื่อน………
คนที่พร้อมอยู่กับเราเสมอๆ
ไม่ว่า สุข ทุกข์เหงา เศร้า

....... เพื่อน………
คนที่พร้อมแชร์ความรู้สึกต่างๆ
โดยไม่เคยเอ่ยปากว่า
' ถ้าทำอย่างนั้นแล้วฉันจะได้อะไร'


....…... เพื่อน……......
คนที่ไม่เคยสนใจว่าเราจะหน้าตาดี มีสกุล
ร่ำรวย ยากจน สูง ต่ำ ดำ ขาว หรือไม่

........ เพื่อน.....คนที่ไม่เคยเสแสร้ง แกล้งทำ
.......... แต่...... เพื่อนตาย หายากเหลือเกิน
เรามองด้วยตาเปล่าไม่ได้ ว่า คนๆนี้เป็น
เพื่อนตายของเราหรือไม่

เรามองด้วยตาเปล่าไม่ได้ว่าคนๆนี้
เป็นคนที่พร้อมจะเคียงข้างเราเสมอไปมั๊ย
เรามองด้วยตาเปล่าไม่ได้ว่า
คนๆนี้จริงใจกับเราแค่ไหน
ทั้งหมดนี้ เราใช้' ตา' มองไม่เห็น



........ แต่.......
ทั้งหมดนี้เราใช้' ใจ' มองเห็นได้
เมื่อบทความล่วงเลยมาถึงตอนนี้ คุณล่ะ?
ใช้ตามองเพื่อนหรือใช้ใจมองเพื่อน

เราบอกไม่ได้ว่าคนๆไหนดี ไม่ดี
จนกว่า...เราจะมี โอ กาส รู้จักกับคนนั้นแล้วใช้ใจของเราสัมผัส
การคบใครสักคนคบเพียงกายก็ไร้ประโยชน์
แต่ การคบใครสักคน จำเป็นต้องคบกันด้วยใจ
วันนี้..... คุณ ใช้อะไร คบเพื่อนของคุณ
อย่าบอกนะว่าคุณก็เป็นคนที่คบเพื่อน
แค่ตา...... เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น
คุณก็คงเป็นคนที่ไม่น่าคบคนหนึ่ง



fw mail

วันจันทร์ที่แสนสดชื่น ทำได้อย่างไร




ไม่อยากไปทำงาน รับมือได้ไม่ยาก

ว่ากันว่า สำหรับคนทำงานแล้ว
"วันจันทร์" เป็น วันที่ไม่อยากจะให้มาถึงเลยจริง ๆ ก็เพราะว่าชีวิตการทำงานที่แสนเครียด ภาวะรถติดที่น่าปวดหัวมันวนเวียนมาถึงอีกแล้ว แถมยังต้องเป็นอย่างนี้ไปอีก 5-6 วันกว่าจะถึงวันเสาร์ หรือวันอาทิตย์ที่จะได้พักผ่อนอีกครั้ง


แต่ ในเมื่อเราไม่สามารถหลีกหนีวันจันทร์ไปได้ ลองลุกขึ้นมาสู้กับมันจะดีกว่า ด้วยการทำให้เช้าวันจันทร์กลายเป็นเช้าที่สดชื่นแจ่มใสง่าย ๆ แบบนี้


จำไว้ว่า คืนวันอาทิตย์ควรเข้านอนแต่หัวค่ำ
เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนเต็มอิ่ม ดังนั้น ใครอยากชวนเพื่อนไปแฮงก์เอ้าท์ นัดคืนวันศุกร์ หรือเสาร์จะดีกว่า ส่วนวันอาทิตย์ขอตัวสักวันเถอะ

อย่านอนตื่นสายเด็ดขาด
ถ้า จะให้ดีลองตื่นเร็วขึ้นก่อนเวลาปกติสักครึ่งชั่วโมง แล้วเอาเวลาครึ่งชั่วโมงนั้นมาอาบน้ำ ผสมน้ำมันหอมระเหยในการอาบน้ำเสียหน่อย ก็เป็นไอเดียที่เพิ่มความสดชื่นที่เก๋ไม่หยอก

อาบน้ำเสร็จแล้ว ก็อย่าลืมรับประทานอาหารเช้าเด็ดขาด
เพราะอาหารเช้าถือเป็นมื้อสำคัญอย่างมากที่จะช่วยเติมพลังให้สมอง และเพิ่มพลังงานให้ตัวเองรับเช้าวันใหม่ที่แสนยุ่งเหยิง ถ้าไม่ทานอาหารเช้า แล้วไอเดียไม่แล่น ก็อย่าว่ากันนะ

รู้กันดีว่า เช้าวันจันทร์จะเป็นวันที่การจราจรติดขัดสุด ๆ เช่นนั้นแล้วก็ควรเผื่อเวลาออกจากบ้านให้เร็วกว่าปกติเสียหน่อย จะได้ไม่ต้องปวดเศียรเวียนเกล้ากับภาวะรถติดบนท้องถนน แถมสุดท้ายยังไปทำงานสายเสียอีก ยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ แล้วจะมีเช้าวันจันทร์ที่สดใสได้ยังไงกันล่ะ


ลอง นำเทคนิคดี ๆ ไปใช้ดู รับรองไม่ว่าวันไหนๆ คุณก็จะรู้สึกมีความสุข ไม่ต้องมานั่งกลัว หรือกังวลอีกต่อไปว่าวันจันทร์กำลังจะมาถึงแล้ว



ที่มา สสส.

เพราะห่วง...จึงบอก























สุดมือสอยก็ปล่อยมันไป‏

............ ......ไม่มีใครทำให้คนทุกคนรักเราได้............ .........
.......
อาจจะมีคนชอบในตัวเรา10คน แต่ก็มีคนเกลียดเรา100คน........
............ ...
แคร์คนที่แคร์เรา ไม่แคร์คนที่ไม่แคร์เรา............ ..
............ ..
มีมิตรแท้เพียงหนึ่ง ดีกว่ามีเพื่อนกินเป็น100......... ....



สุดมือสอยก็ปล่อยมันไป

เมื่อคุณชี้แจงไปแล้ว เขาก็ควรจะยอมรับฟัง แต่เมื่อเขาไม่ฟัง และคุณก็ได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างดีที่สุดไปแล้ว ก็คงต้อง ปล่อยมันไป

ในโลกนี้ มีเรื่องอะไรต่อมิอะไรหลายอย่างที่เราไม่สามารถให้เวลากับมัน หรือไม่สามารถทำในสิ่งนั้นให้ดีที่สุด แต่แล้วเราก็ต้องปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นผ่านไป เพราะหากเรามัว แต่จะนับเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาเวลาของคุณคงไม่พอเป็นแน่
(
มีความหมายว่า จะพยายามทำให้คนทั้งโลกรู้สึกพอใจตัวเองในทุกเรื่อง)

ดังนั้น ทำอะไรก็ตาม ควรทำเท่าที่เราทำได้ เมื่อทำอย่างดีที่สุดแล้ว คนเขาไม่เห็นว่าดีก็ต้อง ปล่อยมันไป

เลือกทำในสิ่งที่เห็นว่า เราถนัดที่สุด และมีความสุขที่จะทำก็พอแล้ว
อะไรก็ตาม ที่เราไม่ถนัด หรือถึงถนัด...แต่ไม่มีความสุขที่จะทำ ก็อย่าทำ

เรา มีเวลาไม่มากนักหรอกที่จะแบกสารพัดภาระในโลกนี้ ควรมองไหล่ของตัวเองดูสักหน่อยว่า พร้อมจะแบกเป้หลังที่มีน้ำหนักมากน้อยเพียงใด อย่าแบกอะไรที่เกินกำลังของตัวเองเพราะไม่เพียงแต่มันจะทำให้คุณเป็นทุกข์ แต่บางทีอาจมีผลต่อการยืนตรงๆ อย่างยาวนานของคุณด้วย

+++ Hamster +++

+++ Playlist +++


MusicPlaylistRingtones
Create a playlist at MixPod.com

+++ coming soon +++