วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Meizu M9 แอนดรอยด์รูปงาม กระชากใจ

Meizu ชื่อนี้เป็นที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัย iPhone รุ่นแรกออกใหม่ๆเพราะ Meizu คือโทรศัพท์เจ้าแรกๆที่ทำหน้าตาคล้ายกับ iPhone ตั้งแต่สมัยที่ iPhone ยังไม่ออกจำหน่าย อย่างไรก็ตามผู้ใช้ Meizu ในบ้านเราเองก็มีอยู่จำนวนไม่ใช่น้อย และเมื่อมาถึงยุคที่แอนดรอยด์ เฟื่องฟู ก็คงจะหลีกไม่ได้ที่ทาง Meizu จะต้องขอโดดมาร่วมแจมด้วย และด้วยกระแส iPhone 4 ที่แรงดีไม่มีตก งานนี้ Meizu เองก็ตเรียมปล่อยรุ่น M9 ซึ่งมีหน้าตาสวยไม่ใช่เบา น่าจะจัดว่าสวยอันดับต้นๆในบรรดา แอนดรอยด์ แทบทั้งหมด วันนี้เลยขอพามาชมภาพหน้าตาของ M9 ที่เพิ่งจะหลุดออกมาได้ไม่กี่วันนี้ให้ชมกันครับ ส่วน Spec เครื่องรุ่นนี้ก็ไม่เบาเพราะเกาะกระแส 1 GHz ตามสมัยนิยม และมีหน้าจอที่ 3.6 นิ้วแบบ Multi Touch อีกด้วย ส่วนอินเตอร์เฟสของ Meizu นั้นยังไม่มีการยืนยันว่าจะเป็นแบบในภาพหรือไม่นะครับ แต่โดยรวมๆเชื่อว่า Meizu M9 น่าจะสวยถูกใจหลายๆคนเลยหละ

-Network GSM /WCDMA 900MHz/1800MHz/1900MHz/2100MHz
- Dimensions 113x59,5x11 mm
- Language English, Simplified Chinese
- LCD Screen 3.6-inch vibrant color (720px * 480px)
Touch Sensitive Multi-Touch Screen

ลูก เล่นพิเศษ

- sensor (accelerometers)
- InfraRed promixity sensor (similarly to the br /> - Multi-touch crystal clear wide screen LCD display

- Weight (w/Battery) 118 grams
- Operating System Android 2.1
- CPU/RAM PC110 1GHz, 512MB RAM+512ROM
- SIM Slots 1 SIM Slot
- Data Connections WAP, GPRS, SMS (MMS may
- Built-in/Included Memory 16GB internal storage
- TV out
- Voice Recording Voice Recording Supported
- Batteries 1 x 1350mAh BA1350 lithium polymer rechargeable
- Talk Time per Charge 370 minutes
- Stand-by Time per Charge 179 hours
- 5 megapixel camera (with auto-focus),

เปิดตัว บับเบิ้ลไบก์ รถสามล้อพลังไฟฟ้า

จีนเปิดตัว "บับเบิ้ลไบก์" รถสามล้อพลังไฟฟ้า ราคาเยา



ข้อดีของวิกฤตราคาน้ำมันพุ่ง ทะยานอันเนื่องมาจากน้ำมันใกล้หมดโลกและกลไกตลาดเสรีในปัจจุบันจนทุกคนแทบจะ ชินชากันอยู่แล้ว คือ เป็นตัวเร่งให้เกิดนวัตกรรมพลังงานทางเลือกใหม่เร็วขึ้นจากค่าใช้จ่ายที่คน เมืองและชนบท ตลอดจนอุตสาหกรรมต้องแบกรับมากที่สุดเห็นจะหนีไม่พ้นจากยวดยานพาหนะทั้งหลาย นำไปสู่การคิดค้นน้ำมันไบโอดีเซล รถยนตร์ระบบไฮบริดจ์ ที่ผสมผสานระหว่างพลังงานสองอย่าง ที่ฮอตฮิตติดตลาดที่สุดก็หนีไม่พ้นไฟฟ้ากับน้ำมัน

มา ถึงคิวนวัตกรรมจากแผ่นดินมังกรเปิดตัวพาหนะพลังไฟฟ้าล้วนอย่าง "สามล้อ" ชื่อว่า "บับเบิ้ลไบก์" ออก แบบมาสำหรับเป็นพาหนะสำหรับเคลื่อนที่ไปตามถนนที่แออัดยัดเยียดไปด้วยรถยนต์ ในเมืองใหญ่ของจีน ใช้แบต เตอร์รี่ลิเธียม ไออน เป็นแหล่งสะสมประจุไฟฟ้า วิ่งได้ไกลราว 100 กิโลเมตร ชาร์จประจุจากปลั๊กไฟบ้านแรงดัน 220 โวลต์ ราว 6-8 ชั่วโมง ทำความเร็วสูงสุดได้ 45 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อาจฟังดูไม่หวือหวา แต่หลายคนที่ใช้บริการสามล้อในไทยบ่อยๆ คงรู้ว่ามันมีความหมายขนาดไหนในชั่วโมงเร่งด่วนยามที่รถนั้นติดกันเป็นตังเม แถวย่านใจกลางเมือง นอกจากนี้ ยังมีหลังคาที่เปิดและปิดได้แบบรถสปอร์ตอีกด้วย ด้านผู้พัฒนาระบุว่า กำลังพัฒนาบับเบิ้ลไบก์อีกรุ่นหนึ่งที่มีราคาสูงกว่า แต่ใช้เวลาชาร์จประจุเพียง 3 ชั่วโมงและวิ่งได้ไกลราว 200 กิโลเมตร

แรก เริ่มเดิมทีนั้นผู้ออกแบบต้องการให้บับเบิ้ลไบก์เป็นสามล้อสำหรับใช้ในฤดู หนาวของจีนซึ่งอุณหภูมินั้นเย็น ยะเยือกต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส ส่งผลให้เชื้อเพลิงและน้ำมันเครื่องเริ่มแข็งตัว รวมทั้งถนนปกคลุมด้วยหิมะทำให้ลื่น ไม่เหมาะต่อรถยนต์สี่ล้อ และจักรยานยนต์สองล้อทั้งหลาย โดยบับเบิ้ลไบก์มีคุณสมบัติยึดเกาะถนนที่ดีกว่า ด้วยล้อทั้งสาม น้ำหนักที่เบา และจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำ นวัตกรรมดังกล่าวได้รับรางวัลชนะเลิศการออกแบบดาวแดง "เรด สตาร์ ดีไซน์ อวอร์ด" ประจำปี 2552 ออกวางจำหน่ายในราคาย่อมเยาว์ราว 5,000 หยวน หรือราว 24,000 บาท

เตือนภัย ถอดรองเท้าส้นสูง เปลี่ยนใส่ส้นแบน อันตราย!




เตือนภัย ถอดรองเท้าส้นสูง เปลี่ยนใส่ส้นแบน อันตราย!



สาวๆ ทุกคนต่างรู้ดีว่าการสวมส้นสูงนานๆ เป็นภัยต่อสุขภาพขาและเท้า เมื่อหมดการทำงานในแต่ละวันจึงรีบเปลี่ยนจากส้นสูงมาสวมส้นเตี้ยทันที แต่หารู้ไม่ว่าการเปลี่ยนอย่างกะทันหันดังกล่าว แทนที่จะเป็นผลดีต่อขาและเท้า กลับกลายเป็นการทำร้ายน่องและเส้นเอ็นโดยไม่รู้ตัว

งานวิจัยของ ศาสตราจารย์มาร์โก นาริซี จากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์เมโทรโพลิแทน สหรัฐอเมริกา ชี้ว่า ผู้หญิงที่ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บนส้นสูงปรี๊ด กล้ามเนื้อขาจะขมวดตัวและอ่อนแอถาวรณ์ โดยผู้หญิงที่ใส่ส้นสูง 5 วันต่อสัปดาห์เป็นเวลากว่า 2 ปี กล้ามเนื้อน่องจะหดตัวถึงร้อยละ 13 ไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิงที่สวมส้นเตี้ยกว่า 2 นิ้ว เมื่อเปลี่ยนไปเดินบนรองเท้าส้นแบนทันที กล้ามเนื้อน่องจะยืดออกอย่างที่ไม่เคยชินซึ่งทำให้ปวดและตึง

นักวิจัยแนะว่า ให้สวมส้นสูงออกกำลังขาขึ้นลงบันได โดยก้าวขาขวาขึ้น 1 ขั้น ตามด้วยขาซ้ายก้าวขั้นถัดไป ขยับขาขวาให้ส้นรองเท้าเลยขั้นบันไดออกมา เมื่อรู้สึกว่าน่องยืดตัว ก็สลับทำอีกข้าง ข้างละหลายๆ ครั้ง

โรคภัยไข้เจ็บ 12 ราศี...แปลกดี!!!


ราศี เมษ (21 มีนาคม - 19 เมษายน)
อาการปวดศีรษะและ โรคไมเกรน เป็นโรคที่ชาวเมษควรระวัง เพราะตามการเดินทางของดวงดาวจะมีอิทธิพลปกคลุมร่างกายส่วนศีรษะทั้งหมด ยิ่งประกอบกับความที่เป็นคนคิดมาก เครียดจัด ไม่ยอมทานอาหารตรงตามเวลา อาการปวดหัวจึงมักจะมาเยี่ยมเยียนอยู่เป็นประจำ

โรคหวัดและไซนัสอักเสบ ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาสุขภาพของชาวเมษ จึงควรดื่มน้ำหัวบีต แครอท และชาสมุนไพรคาโมมายล์เป็นประจำ

ราศี พฤษภ (20 เมษายน - 20 พฤษภาคม)
ด้วยความที่เป็นคน ทานเก่ง ชอบกินจุบจิบตลอดเวลาทำให้ปัญหาใหญ่เป็นเรื่องรูปร่าง ซึ่งพอคิดจะลดก็มักตบะแตก ไม่เคยสำเร็จสักที เพราะฉะนั้นจึงควรนำความมุ่งมั่น ความดันทุรังที่เป็นนิสัยพื้นฐานประจำตัว ก็นำมาปรับใช้ให้เป็นประโยชน์กับการลดน้ำหนัก ซึ่งถ้าทำได้เชื่อว่า คราวหน้าส่องกระจกคุณอาจจะตะลึงคิดว่านางฟ้าแปลงกายมาอยู่ตรงหน้า

ปัญหาเรื่องคอ เป็นอีกปัญหาสำคัญของชาวพฤษภ ยิ่งเมื่ออยู่ในที่เย็นหรือเกิดอาการเครียดจัดจะปวดเมื่อยตามคอได้ง่าย ซึ่งวิธีแก้คือใช้มือนวดเบาๆใต้ติ่งหู ต่อมไทรอยด์ทำงานไม่ปกติ ก็เป็นอีกโรคที่มักมาก่อกวนชาวราศีนี้ทำให้ระบบการเผาผลาญของร่างกายทำงาน ไม่ปกติ ควรทานปลาหรืออาหารที่มีไอโอดีนเยอะ ๆ

ราศี เมถุน (21 พฤษภาคม - 22 มิถุนายน)
ชาวราศีเมถุนมี จุดอ่อนอยู่ที่หลังและไหล่ ทำให้มักเกิดอาการตึงเส้นเอ็นบริเวณข้อมือบ่อยๆ ยิ่งถ้าต้องนั่งทำงานหรืออยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ เพราะฉะนั้นจึงควรหาอุปกรณ์เสริม เช่น หาเบาะนิ่มๆมารองข้อมือเวลาใช้คอมพิวเตอร์ หรือเก้าอี้ที่นั่งสบายมีพนักตรงปรับระดับอย่างพอเหมาะกับโต๊ะทำงาน นอนไม่หลับ ถือเป็นโรคที่รุนแรงสำหรับชาวราศีนี้ เพราะไม่ใช่แค่หลับ ๆตื่นๆ แต่จะถึงขั้นตาค้าง สมองทำงานตลอดเวลา จนร่างกายทรุดโทรมอ่อนเพลีย

วิธีแก้คือลด ละ เลิก เครื่องดื่มกระตุ้นร่างกายทั้งหลาย โรคหลอดลมอักเสบ หวัดลงปอด หืด ปอดอักเสบ ถุงลมโป่งพองและโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ซึ่งอากาศบริสุทธิ์และการออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยสร้างเกราะป้องกันได้

ราศี กรกฎ (23 มิถุนายน - 22 กรกฎาคม)
อาการต่างๆ ก่อนมีประจำเดือน ไม่ว่าจะเป็นปวดท้อง อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย เป็นโรคที่มักเกิดกับชาวกรกฎ ด้วยสาเหตุที่ดาวเคราะห์ประจำราศีเป็นดวงจันทร์ และร่างกายมีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง ส่งผลให้หน้าอก เต้านมและต่อมน้ำนมมักเกิดอาการผิดปกติ จึงควรทานวิตามินและอาหารเสริมเป็นประจำ

อีกทั้งโรคกระเพาะ ลำไส้อักเสบและโรคที่เกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร จึงควรใส่ใจในพฤติกรรมการทานให้มาก

ราศี สิงห์ (23 กรกฎาคม-22 สิงหาคม)
ปวดเมื่อยตามกล้าม เนื้อหลังและส่วนต่างๆ ของร่างกาย เนื่องจากนิสัยดื้อรั้น ชอบทำทุกอย่างด้วยตนเอง ไม่ยอมยืดหยุ่น ทำให้ร่างกายเมื่อยล้าและเคล็ดขัดยอกอยู่บ่อยๆ

ชาวราศีสิงห์มักมีน้ำหนักตัวมากเกินพอดี เพราะพอเครียดก็มักระบายออกกับมันฝรั่ง ไอศกรีม หรือขนมหวานทั้งหลาย ทำให้เป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือดตีบ ซึ่งหากยังเลิกการทานเพื่อระบายความเครียดไม่ได้ควรเปลี่ยนมาทานผัก ผลไม้ หรือมันฝรั่งทอดปราศจากเกลือและไขมันต่ำแทน

ราศี กันย์ (23 สิงหาคม-20 กันยายน)
ด้วยความที่เป็นคน ร่าเริง ชอบทำกิจกรรม ออกกำลังกายอยู่เป็นประจำ ทำให้โรคต่างไม่ค่อยมารุมเร้ากวนใจคุณมากนัก

แต่สำหรับโรคนอนไม่หลับถือเป็นกรณียกเว้น คุณมักจะตื่นกลางดึกแล้วนอนไม่หลับอยู่บ่อยๆ ลองอาบน้ำอุ่นจัดก่อนนอน หลีกเลี่ยงอาหารมื้อหนักหลังสี่โมงเย็น หรือดื่มนมและน้ำผึ้งอุ่นๆ ก่อนนอน

ราศี ตุลย์ (21 กันยายน-22 ตุลาคม)
จากนิสัยที่คุณเป็น คนชอบทานของหวานและอาหารมันๆ เป็นประจำแต่ไม่ยอมออกกำลังกาย ส่งผลให้ไตทำงานหนักมากกว่าปกติ จึงควรดูแลไตเป็นพิเศษ โดยดื่มน้ำวันละ6-8แก้ว หลีกเลี่ยงอาหารพวกเนื้อ ปลา เป็ด ไก่ แล้วแทนที่ด้วยผักผลไม้สีเขียวและสีเหลือง รับรองถ้าทำตามไตคุณจะยิ้มระรื่นเลยทีเดียว

เนื่องจากผิวหนัง และไตของชาวราศีนี้อยู่ใต้อิทธิพลของดาวศุกร์ จึงมักส่งผลให้ไขมันและส่วนเกินที่ถูกขับออกมาจากไตถูกปลดปล่อยทางร่างกาย ผิวหนังเป็นเหงื่อและสิว การดูแลใบหน้าให้สะอาดจึงเป็นสิ่งที่ชาวตุลควรใส่ใจให้มากเป็นพิเศษ

ราศี พิจิก (23 ตุลาคม-22 พฤศจิกายน)
ชาวราศีพิจิกมี นิสัยชอบกลั้นการขับถ่ายๆ ไว้นานๆ แถมยังชอบอาหารที่มีไขมันสูง แบบที่เห็นเป็นไม่ได้ต้องวิ่งเข้าหาทันที ทำให้โรคท้องผูกมักมาเยือนบ่อยๆ จนบางครั้งอาจเรื้อรั้งไปถึงริดสีดวงทวาร ทางที่ดีควรปรับเปลี่ยนกิจวัตรประจำวัน และทำระบบขับถ่ายให้เป็นกิจวัตร

ราศี ธนู (23 พฤศจิกายน-20 ธันวาคม)
ด้วยความที่เป็น คนทุ่มเทเต็มที่กับเรื่องกิน เรื่องดื่มเป็นพิเศษ ทำให้ชาวราศีนี้มีโอกาสเป็นโรคตับอักเสบ โรคตับแข็งและโรคพิษสุราเรื้อรังมากกว่าชาวราศีอื่น เพราะฉะนั้นเลิกดื่มซะเถอะ

ราศีธนูหมายถึงร่างกายส่วนตับและถุงน้ำดี ทำให้ชาวราศีธนูมีโอกาสเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดีสูง ซึ่งโรคนี้มักทำให้คุณเกิดอาการปวดท้องประมาณ 15 นาทีถึง 1 ชั่วโมงหลังรับประทานอาหารเสร็จ ถ้าอยากให้อาการดีขึ้นลองทานอาหารประเภทโปรตีน คาร์โบไฮเดรต หรือวิตามินเสริมที่ช่วยให้เกิดการดูดย่อยไขมันได้ดี

ราศี มังกร (21 ธันวาคม - 19 มกราคม)
ลักษณะและบุคลิก ที่ดูก้าวร้าวของคนราศีนี้ มักส่งผลมาจากลักษณะทางกายภาพของส่วนกระดูกและข้อต่อที่ไม่ค่อยมีความ ยืดหยุ่น ทำให้เมื่อยิ่งแก่ตัว หรือเริ่มเข้าสู่ช่วงครึ่งหลังของชีวิต จะเป็นโรคเกี่ยวกับข้อต่อและกระดูก ทางที่ดีควรบริโภคแคลเซียม วิตามินดีและออกกำลังกายเป็นประจำ แต่จะให้เจ๋งกว่าควรรีบทำก่อนอายุ 35 ไม่งั้นจะสายเกินแก้

โรคข้ออักเสบ เป็นโรคที่ก่อให้เกิดความอ่อนเพลีย ทรมานและเจ็บปวดมากที่สุดโรคหนึ่งสำหรับชาวราศีมังกร เพราะไม่สามารถรักษาได้โดยตรง ทำได้เพียงให้ยาลดอักเสบและบวมตามข้อเท่านั้น ดังนั้นการเลือกอาหารบริโภค ฝึกโยคะ ทำสมาธิ สร้างจินตนาการจะเป็นตัวช่วยในการบรรเทาปวดอีกวิธีที่ยอดเยี่ยมทีเดียว

ราศี กุมภ์ (20 มกราคม - 18 กุมภาพันธ์)
โรคข้อเท้าบวม ข้อเท้าเคล็ด หลอดเลือด (ดำ) ขอด จากทิศทางของดวงดาวทำให้ชาวราศีกุมภ์ มักมีอาการบวมที่ข้อเท้า หรือบริเวณต่ำกว่าหัวเข่าลงมา

ดังนั้นจึงควรนวดขาทุกวัน ตั้งแต่นิ้วเท้าจนถึงต้นขาด้วยน้ำมันวิตามินอี หรือน้ำมันหอมระเหยมะนาวผสมกับลาเวนเดอร์ เพื่อบริหารให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น

ราศี มีน (19 กุมภาพันธ์ - 20 มีนาคม)
ชาวราศีมีนมัก มีระบบต่อมน้ำเหลืองทำหน้าที่หลักในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้มีโอกาสเป็นโรคเกี่ยวกับระบบต่อมน้ำเหลือง ได้มาก แต่ทางแก้ไม่ยาก แค่ดื่มน้ำ สมุนไพร ชาและเครื่องดื่มบำรุงร่างกาย จากการที่โหมงานหนัก ชอบคิดมากในเรื่องไม่เป็นเรื่อง ทำให้ชาวราศีมีนจะรู้สึกเหนื่อยอ่อนและเวียนศีรษะอยู่บ่อยๆซึ่งเป็นส่วน หนึ่งของภาวะเลือดจางและขาดธาตุเหล็ก แต่เพียงแค่รับประทานอาหารทดแทนธาตุเหล็ก เสริมสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงก็จะบำบัดได้มาก

ช่วงเวลาที่รัก .. หายไป

ภาพความทรงจำ
เป็นสิ่งที่มีค่ามากสำหรับคนบางคน
โดย เฉพาะคนที่มีความรักและมันคงเป็นช่วงเวลาดีๆ ที่ใครบางคนมอบให้กับคนที่รัก
ยิ่ง เป็นช่วงเวลาที่หลายคนหวงแหน
ต้องระลึกไว้ในความทรงจำ ต้องถนอมดูแลให้เป็นอย่างดี

ฉันเองก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ เคยมีภาพแห่งความทรงจำดีๆ เหล่านั้น
ถึงแม้ว่าภาพแห่งความ ทรงจำในวันนั้น ฉันจะยังตัดใจมันไม่ได้ซักเสียที ในวันนี้
เพราะว่ามี ความสุขกับการได้คิดถึงอะไรดีๆ ที่ผ่านไป
โดยลืมนึกไปว่าสิ่งที่ผ่านไปแล้ว จะไม่มีวันย้อนกลับคืนมาได้อีก
หากจะต้องตัดใจลืมหรือเดิน จากอดีตมาก็ไม่ได้อีก
เพราะเหตุผลที่ว่า “เสียดายเวลา” ที่คบกันมา

หลายๆ คนหรือใครบางคนคบกันมานาน
จนแทบจำไม่ได้ว่า เคยยิ้มให้กับความรักครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
เพราะหลังๆ มาก็อยู่แต่กับความทุกข์ จนนึกภาพความสุขไม่ออก
แต่ที่ไม่กล้าเลิกเพราะ ยังคิดถึงวันเก่าๆ แค่เสียดายเวลาที่คบกันมาเนิ่นนาน
โดยไม่คิดเลยว่า
ทุกๆ วันของวันนี้ พรุ่งนี้และวันต่อๆไป ก็จะกลายเป็นเพียงวันเก่าๆ ที่น่าเสียดาย
และ…เวลาที่น่าเสียดายก็จะเพิ่มขึ้น
และจริงๆ แล้ว วันคืนในอดีต ไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรให้กับเราเลย
นอกจากมีไว้ให้ นึกถึง อาจจะทำให้เรายิ้มได้บ้าง แต่ทำให้เราคาดหวังไม่ได้

เพียงเราหวังว่าวันหนึ่ง วันเหล่านั้นจะกลับมา
หรือไปเฝ้าฝันว่าความสุขเหล่านั้นยังคงเป็น ปัจจุบัน
หรือเรากำลังหลอกตัวเองว่าตอนนี้ทุกอย่างยังคงเป็นเหมือนเดิม
ขอ ให้ยอมรับมันเถอะว่าทุกอย่างได้ผ่านไปแล้ว และจบไปแล้ว
ความทรงจำเป็น เพียงภาพลวงตาเท่านั้น

วลาที่ผ่านมาไม่ว่าจะเนิ่นนานเท่าไรก็ไม่ได้มีความหมายมากไปกว่า..
หนึ่ง วันข้างหน้า ที่เราจะต้องมีชีวิตใหม่
ที่เราจะต้องเริ่มต้นใหม่
ถึง แม้ว่าวันนี้เขาจะไม่ได้อยู่เคียงข้างเราอีกแล้ว
แต่ขอให้เรานึกย้อนกับ ไปว่าเมื่อก่อนทำไมเราถึงอยู่ได้โดยไม่มีเขาล่ะ

"หากจะเสียดายวันเวลาคบกัน
ให้ เสียดายเวลาในวันข้างหน้า ที่จะอดทนคบไป ทั้งที่ไม่มีอะไรแล้วที่จะดีขึ้นไปกว่า
แล้วเรายังจะมาเสียดายเวลาใน อดีตทำไม"

เราต้องอยู่กับปัจจุบัน เพื่อที่จะสร้างอนาคตให้ตัวเองให้คิดเสียว่า เวลา 10 ปี กับวันคืนที่เคยหวานชื่น ไม่ได้ยิ่งใหญ่ไปกว่า 1 วันแห่งการเริ่มต้น 1 วันแห่งการแปรเปลี่ยนชีวิตของเราทั้งชีวิต ให้ ดีกว่าที่เป็น

ในวันหนึ่งเราอาจรอคอยใครบาง คนอยู่

ใครที่เขาเข้ามาเปลี่ยนแปลง ชีวิตเราไปจากเดิม

เราอาจจะเดินไปเจอใครอีกฝั่ง ของปลายขอบฟ้า

หรือเขาอาจจะอยู่เคียงเพียง หางตา

ไมมีใครรู้หรอว่า ปลายขอบฟ้าของความรักจะเป็นเช่นไร

ถ้าเราโชคดี อาจจะมีความรักที่ดี ทำให้มีความสุข

แต่ถ้าเราโชคร้ายล่ะ คนที่เคยรู้สึกเสียใจกับความรักเหล่านั้น

อาจจะชดใช้วันเวลาที่เคยผิด พลาดด้วยความเจ็บปวด

อย่างที่ใครบางคนไม่เคยเข้าใจ

ในวันที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป
เรา อาจจะเสียใจกับสิ่งไม่อาจหวงคืนมาได้
แต่ในวันหนึ่งข้างหน้า เราจะต้องขอบคุณความเจ็บปวด
เราจะขอบคุณวันที่ไม่มีใคร และไม่ว่าวันที่ผ่านมาจะเจ็บสักเพียงใด
โอบกอดตัวเองเอาไว้ในวันที่ไม่มี ใคร
ปลอบตัวเองว่าในวันที่รักเปลี่ยนไป
โชคชะตาอาจพาใครอีกคนเข้ามา
คน ที่จะมองย้อนกลับมา มองเห็นหัวใจที่มีค่า ของความรักเรา

สิ่งที่ควรรู้
















         Credit     :       FWM

รักให้เป็น รักยังไง




“ความรัก” ต้องวางอยู่บนรากฐานแห่งความมีสติ
รักอย่างมีปัญญา เพราะจะทำให้ผู้รักมีความสุข เป็นอิสระ
ไม่มีจิตใจที่คับแคบ ที่จะผูกมัดรัด “เขา” เอาไว้เป็นของ “เรา”


คงต้องหันกลับมามองความรักกันใหม่…

เริ่มจาก “ใจ” ของเราก่อน ลองหันกลับมามองตัวเองอย่างจริงใจ
และมีเมตตา ว่าเรา “รัก” ตัวเราเองเป็นหรือเปล่า…

ลองมองดูซิ ว่าเราดูแลกาย จิตและวิญญาณ ของเราดีอยู่หรือไม่…
เราเบียดเบียนตัวเรา เองจนเกิดทุกข์บ้างไหม…

เราต้องเริ่ม “รัก” ตัวเองให้เป็นเสียก่อน…
ถ้าเรา “รัก” ตัวเรา เราจะมีเมตาต่อตัวเอง…

เราจะไม่เบียดเบียนหรือทำร้ายใจของ เราให้ขุ่นมัว…
แล้วเราจะรักตัวเองอย่างไม่เห็นแก่ตัว แต่ระมัดระวังใจเราอย่างดี..
ใจอย่างนี้จะเข้มแข็งและมีพลังแห่งความรัก กว้างขวางยิ่งใหญ่…

ต้องเตือนใจเราเองอยู่เสมอว่า “เราจะรักอย่างมีสติ”….
พร้อมด้วย ปัญญา จะต้องไม่ติดอยู่ในความหลงไหลไร้สติ…
ที่มุ่งคิดแต่จะให้เขากลับ มาตอบสนองเรา เราจึงจะมีความสุข…
เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น เรานั่นเองแหละที่จะเจ็บปวดและเกิดทุกข์…

จงเป็นสุขที่ได้รักเถิด รักอย่างไม่มีเงื่อนไข…
รักอย่างไม่คิดยึดครองไว้เป็นของตน..
และ รักอย่างไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน…

ถ้าทำได้…จะเป็นความรักที่ยิ่ง ใหญ่…
ไม่คับแคบหากแต่ งดงามอย่างกว้างขวาง ….
ไม่มีที่สุด…ไม่มี ประมาณ…..

“รักใด ยิ่งรัก ยิ่งทุกข์ ตายอยู่บนกองทุกข์ อย่าบุกต่อ
รักใด ยิ่งรัก ยิ่งหมดทุกข์ เยือกเย็น อยู่เหนือทุกข์ ขอให้รุก ให้ดี…”

รักแท้แพ้ระยะทาง...จริงหรือ?




"รักแท้..แพ้ระยะทาง" ...จริงหรือ?!?

คำตอบที่ได้สำหรับแต่ละคู่รักเกี่ยวกับเรื่องนี้คงแตกต่างกัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านักต่อนักแล้วที่หลายคู่รัก มีอันต้องเลิกรากันไปเพราะความห่างเนื่องจากระยะทางเป็นตัวแปร...และความ เหงาก็ดูเหมือนจะเป็นปัจจัยถัดมาที่ทำให้ใจคนอ่อนไหว โลเล จนเข้าตำรา "รักแท้ แพ้ใกล้ชิด" ในที่สุด!!!

ความห่างเป็นปัจจัยที่อันตรายที่สุด ทำไมถึงกล่าวเช่นนี้?

การ ที่คนสองคนคบกัน มันก็ย่อมเหมือนลิ้นกับฟันที่จะต้องมีการกระทบกระทั่งกันบ้างเป็นธรรมดา แต่เมื่อคุณอยู่ไกลกันแล้ว มันง่ายมากที่จะทำให้ความสัมพันธ์กับคนรักต้องระหองระแหง หากคุณทั้งสองคนไม่มั่นคงเพียงพอ

ถ้า ถามว่าอยู่ด้วยกันแล้วจะไม่กระทบกระทั่งกันเลยหรือ คำตอบคือ ไม่ใช่

หาก แต่ว่าถ้าคุณอยู่ด้วยกัน คุณคงทำอะไรได้มากกว่าอยู่ไกลกันเป็นแน่ เพราะถ้าคุณต้องอยู่ห่างกันคนละประเทศ สิ่งที่คุณจะทำได้คือ โทรศัพท์.. คุณจะทำได้แค่พูดและรับฟัง โต้ตอบการสนทนา แต่คุณไม่สารมารถรับรู้ืถึงอารมณ์ หรืออวัจนะภาษากริยา สีหน้า ของฝ่ายตรงข้ามเลย และแน่นอน คุณก็ไม่สามารถใช้มันได้เช่นกัน (คุณสามารถรับรู้ถึงอารมณ์ของฝ่ายตรงข้ามได้จากน้ำเสียง แต่มันเทียบกับการคุยกันซึ่งๆ หน้าไม่ได้เลย) ซึ่งในบางครั้งการมีปากเสียงกันด้วยเรื่องเล็กๆ อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้เมื่อคุณอยู่ไกลกัน

นอกจากเรื่องของการกระทบกระทั่งกัน คุณมั่นใจได้อย่างไรว่า ความรู้สึกของอีกฝ่ายไม่ได้เปลี่ยนไปเพราะความไกลกัน "ระแวง"

คำ นี้คงผุดขึ้นในใจของคุณเมื่อคุณอ่านมาถึงตรงนี้ ใช่แล้ว..ต่อให้รักกันขนาดไหน ไว้ใจกันแค่ไหนแต่เมื่ออยู่ไกลกัน สิ่งนี้มันต้องเกิดขึ้นในใจของคุณไม่มากก็น้อย หรือไม่จริง?? หากแต่ว่าคุณทั้งสองคนจะสามารถให้ความมั่นใจต่อกันได้มากแค่ไหน ถ้าคุณเป็นคนที่มั่นคงในความรักของคุณ บางครั้งคุณต้องบอกให้คนรักของคุณทราบ เพราะถ้าไม่บอก ไม่ให้ความมั่นใจกับอีกฝ่ายแล้ว คนรักของคุณจะทราบได้อย่างไร นี่เป็นอีกกรณีหนึ่งคือ การไม่พูด

ต่างคนต่างคิดกันเอง เข้าใจกันไปคนละอย่างจากการที่คิดว่า "เค้าน่าจะรู้น่า" แต่จะบอกให้ว่าสำหรับบางเรื่องนั้น "ไม่ใช่!!" ฉะนั้น การพูดกันคือสิ่งที่ดีที่สุด ความรู้สึกที่เคยมีให้ การให้อภัย การมองข้ามเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ความคิดถึง ที่เคยมีให้ครั้งเมื่ออยู่เคียงข้างกัน อาจจะถูกบั่นทอนลงได้ เนื่องจากระยะทาง และความห่างกัน ความรักความทุ่มเทที่เคยมีให้ ก็จะลดน้อยลงก็เป็นได้

การรักษา ระยะห่างให้ทั้งสองฝ่ายรู้สึกว่าอยู่ใกล้กันตลอด อาจเป็นหนึ่งในทางเลือกที่จะป้องกันสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้

แต่ มันจะทำได้มากแค่ไหน มันก็ต้องขึ้นอยู่กับคนทั้งสองคน บางครั้งการแสดงออกถึงการให้ความสำคัญกับอีกฝ่าย ก็เป็นสิ่งสำคัญ มันก็เป็นเหมือนกับการให้ความมั่นใจกับคนรักของคุณ การบอกรัก การกล่าวคำว่า คิดถึง บางคนมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น

ใน เมื่อคบกันแล้ว ก็น่าจะรู้อยู่แล้วนี่ว่า.. เรื่องแบบนี้ไม่จำเป็นต้องบอกหรอก.. หากคุณเคยรู้สึกหัวใจพองโต ยามเมื่อคนที่คุณรักบอกรักหรือคิดถึงคุณบ้าง..

และ คุณมีความสุขเมื่อได้ยินเช่นนั้น แน่นอนว่าอีกฝ่ายคงจะรู้สึกไม่ต่างอะไรจากคุณ หากคุณได้บอกกับเค้า และหมั่นรดน้ำต้นรักของคุณ มากกว่าปล่อยให้มันแห้งตายเถอะนะ คุณจะได้ไม่ต้องเสียใจภายหลัง

+++ Hamster +++

+++ Playlist +++


MusicPlaylistRingtones
Create a playlist at MixPod.com

+++ coming soon +++