วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2553

Panasonic กลับมาพร้อมโน้ตบุ๊คพันธ์อึด Toughbook S9 หนักเพียงกิโลกว่าๆ!

:: Panasonic กลับมาพร้อมโน้ตบุ๊คพันธ์อึด Toughbook S9 หนักเพียงกิโลกว่าๆ! ::

หลายๆคนคงรู้กันดีว่าโน้ตบุ๊คในตระกูล Toughbook ของ Panasonic นั้นแม้จะอึดและแกร่งสมชื่อเป็นไหนๆ แต่ข้อเสียใหญ่ของมันก็คือขนาดบิ๊กเบิ้มและน้ำหนักเหมือนแบกหินไปไหนมาไหนของมันด้วยนั่นเอง

แต่หนนี้ต้องบอกว่า Panasonic ตอบโจทย์คำถามในเรื่องนี้ได้อย่างดีมากหลังเตรียมนำเสนอ Panasonic Toughbook S9 ที่คราวนี้มาพร้อมน้ำหนักเพียง 1.3 กิโลกรัมเท่านั้น! โดย Toughbook S9 ตัวนี้สามารถรองรับน้ำหนักได้ถึง 100 กิโลกรัมเลยทีเดียว เรียกว่าถ้าลูกคุณเผลอวิ่งเล่นแล้วไปเหยียบมันละก็แค่นี้จิ๊บๆมาก

ไม่เพียงแต่ Toughbook S9 จะทนทายาดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่มันยังมาพร้อมสเปกภายในตัวเครื่องที่แกร่งไม่แพ้กันไม่ว่าจะเป็น โปรเซสเซอร์ Intel Core i5, แบตเตอรี่ยาวนานถึง 11 ชั่วโมง และหน้าจอ LCD ขนาด 12.1 นิ้วพร้อมรองรับความละเอียดสูงสุดถึง 1280*800 อีกด้วย

สนนราคาของโน้ตบุ๊คพันธ์แกร่งตัวนี้อยู่ที่ $2500 (75,000 บาท)

10 วิธีช่วยให้คุณทำข้อสอบได้ดีขึ้น

10 วิธีที่จะช่วยให้คุณทำข้อสอบได้ดีขึ้น

Don't cram
วิธีนี้ไม่ได้ผลหรอกการเร่งดูหนังสือในเวลาอันสั้นๆจะทำให้คุณเหนื่อยเปล่า คุณควรเตรียมตัวอ่านและทบทวนหลายๆสัปดาห์ก่อนที่จะสอบ

Practice
ถ้า หากคุณเรียนเฉพาะส่วนที่เป็นข้อเท็จจริงคุณก็จะลืมมัน ได้อย่างรวดเร็ว คุณจำเป็นต้องมีการฝึกฝนเช่นในวิชาภาษาอังกฤษ คุณจะต้องเอาคำศัพท์ใหม่ที่เรียนมานั้นแต่งประโยคและพูดออกมาดังๆ สำหรับวิชาวิทยาศาสตร์คุณจำเป็นจะต้องทำหลาย ๆ แบบฝึกหัดเท่าที่คุณจะทำได้ การฝึกจะทำให้คุณเข้าใจข้อเท็จจริงดีขึ้น

Read with your eyes closed
อันดับ แรกคุณก็อ่านจากสมุดจดและหนังสือเรียนด้วยความระมัดระวัง จากนั้นให้ปิดหนังสือและให้หากระดาษมาหนึ่งแผ่น และเขียนหัวข้อสำคัญๆที่อ่านมาแล้ว ซึ่งจะช่วยทำให้คุณเข้าใจว่าคุณจำเป็นจะอ่านทบทวนส่วนไหนเพิ่มเติม

Get the big picture
ทำ เป็นโน๊ตย่อหัวข้อที่สำคัญๆโดยดึงเนื้อหาจากสมุดจดหรือจากหนังสือเรียน แบบฝึกหัดหรือสิ่งอื่น ๆ ที่ได้จากห้องเรียน เรียบเรียงลำดับเนื้อหาใหม่ซึ่งจะทำให้คุณเห็นความสัมพันธ์ของเนื้อหาและยัง ทำให้คุณจดจำเนื้อหาได้เป็นเวลานานอีกด้วย

Talk
ให้ถามรุ่นพี่ที่เรียนมาแล้วเกี่ยวกับคำถามหรือเกี่ยวกับ แนวข้อสอบเก่าๆว่าเป็นอย่างไรแล้วคุณจะได้เตรียมถูก หรือพร้อมมากยิ่งขึ้น

Get help
ยาม ใดที่คุณไม่เข้าใจอะไรสักอย่างขอให้ถามอาจารย์ซึ่งท่าน จะเป็นผู้ที่ช่วยเหลือคุณได้อย่างดีหรืออาจจะเป็นเพื่อน หรือใครก็ได้ที่เข้าใจวิชานั้นเป็นอย่างดีไม่ต้องรอกระทั่งจะถึงวันสอบพรุ่ง นี้แล้วค่อยถาม มันอาจจะเป็นว่าสายเกินไปแล้ว!!!

Triage Principle
ถ้า หากคุณเห็นว่าเวลาเรียนไม่พอแล้ว คุณควรจะทำอย่างไรดี ? ควรจะอ่านในส่วนที่คุณเข้าใจเพียงน้อยนิดหรือควรที่จะอ่านในส่วนที่คุณพอมี ความรู้บ้างคุณควรจะอ่านในส่วนที่คุณพอมีความรู้อยู่บ้างซึ่งจะทำให้คุณรู้ มากยิ่ง ๆ ขึ้น เป็นการดีที่รู้ในบางส่วนที่รู้อยู่แล้วให้รู้มาก ๆ ยิ่งขึ้นดีกว่าการรู้เพียงครึ่ง ๆ กลาง ๆ

Focus on objectives
ให้ กลับไปอ่านจุดประสงค์การเรียนอีกรอบ จากนั้นให้ทดสอบรายจุดประสงค์แบบ Pre-test ว่าคุณทำผ่านเกณฑ์ไหม ถ้าจุดประสงค์ไหนทำไม่ได้หรือได้คะแนนน้อย ให้กลับไปเรียนใหม่ตามจุดประสงค์ที่คุณยังไม่รู้เรื่องดีพอ

Manage time
คุณ จะต้องดูหนังสืออย่างน้อย 1-2 ชั่วโมงต่อวันในวิชาที่ยากๆอย่างเช่นวิชาเคมี คุณจะต้องจัดตารางเรียนขึ้นมา และจะต้องอ่านตามตารางที่จัดไว้ ให้จัดระบบการอ่านหนังสือกับเพื่อนและจะต้องอ่านตามตารางที่จัดไว้ ซึ่งวิธีนี้จะเป็นบังคับคุณไปในตัวไม่ให้ขี้เกียจ

Relax
พยายาม พักผ่อนหรือทำตัวสบายๆอย่าดูหนังสือกับเพื่อนที่ทนงตน หลงตัวเองคิดว่าตัวเองเก่งแล้วไม่ต้องอ่านก็สอบได้ เด็ดขาด คืนก่อนสอบให้เตรียมหนังสือ ปากกาและจัดกระเป๋าให้เรียบร้อยและเขัานอนแต่หัวคํ่า ถ้าหากคุณยังดูหนังสือดึกจะทำให้คุณเหนื่อยและยิ่งทำให้คุณเครียดมากขึ้น เมื่อเข้าสอบจะยิ่งทำให้คุณเบลอไปเลยแหละ!!

ไข่ขาว ดูดสิวได้ดีเยี่ยม

ไข่ขาวมีประโยชน์ต่อผิวหน้า โดยเฉพาะถ้าต้องการขจัดสิวสิวเสี้ยนหรือสิวหัวดำ แบบใบหน้าไม่ต้องช้ำด้วยมือกด หรือใช้มือบีบให้ผิวช้ำ เริ่มต้นด้วย การล้างหน้าให้สะอาด ซับให้แห้ง แล้วใช้แผ่นสำลีไม่หนาหรือบางจนเกินไป ชุบไข่ขาว แล้วนำมาแปะบนใบหน้ายกเว้น รอบดวงตาและริมฝีปาก แล้วนอนรอ


เมื่อสำลีที่ชุบไข่ขาวบนใบหน้าแห้งสนิทดีแล้ว (ต้องแห้งจริง ๆ ) จึงลอกออก สังเกตสำลีที่ถูกลอกจะเห็นสิวหัวดำติดออกมา และหัวสิวขาว ๆ เหลืองออกมาเต็มเลย จากนั้นใช้น้ำอุ่นเช็ดใบหน้า และล้างออกด้วยน้ำเย็น เพื่อปิดรูขุมขน

ถ้าเป็นคนหน้ามัน และสับปะรดยังเหลืออยู่อีก ก็หั่นสับปะรดบาง ๆ วางบนใบหน้า หรือจะใช้ส้อมยีให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ก็ได้ แต่มันจะทำให้หกเลอะเทอะ ทว่าได้ผลในการดูดซึมได้ดี ทิ้งไว้ 20 นาที ล้างออกด้วยน้ำเปล่าสะอาด ผิวหน้าจะเนียนนุ่ม สดใส และช่วยลดความมัน

100 กำลังใจ ของคนพ่ายแพ้ แค่เมื่อวาน


100 กำลังใจ ของคนพ่ายแพ้ แค่เมื่อวาน

มีความพ่ายแพ้ เป็นรางวัลปลอบใจ

“ท้องฟ้ายังมีดวงตะวัน พระจันทร์ยังรอสายแสง

ยังหายใจก็ยังพอมีแรง ต้องยืนแข่งกับวันเวลา”

ยอมรับในปัญหา แต่อย่ายอมจำนนต่อปัญหา

ปัญหาแก้ได้โดยปัญญาที่เหนือกว่าระดับความคิดที่ทำให้เกิดปัญหา

อย่าเอาปัญหามาแก้ปัญหา

บางทีวิกฤตก็มาจากการแก้ปัญหา

อย่าฝากความสุขไว้กับคนอื่นมากจนเกินไป

อย่าอยู่กับอดีต หรืออนาคตมากเกินไป เพราะเราอยู่ที่นี่ ตรงนี้ ที่มีอะไรให้เราต้องทำอีกตั้งเยอะ

บางทีเราเปลี่ยนแปลงปัญหาไม่ได้ แต่เราเปลี่ยนแปลงตัวเองได้

อย่ากลัว!!! ใจตัวเอง…

“มีสองมือไว้ปาดน้ำตา มีสองขาไว้ลุกขึ้นสู้

มีสองตายังมีอนาคตให้ดู มีหนึ่งใจคงอยู่..ต้องยืนสู้ให้ไหว”

ชีวิตยังพอมีลม..ชีวิตยังพอมีแรง

อยู่ได้ด้วยตัวเราเอง

ความเจ็บช้ำที่สุด คือ การทำร้ายตัวเอง

ก้าวให้ข้าม ผ่านให้พ้น ทนให้ได้ ไปให้ดีกว่าเดิม

อย่าจุดไฟเผาตัวเอง

คิดบวกและคิดเบรก

วางใจให้เย็น เย็นใจให้วาง

ยิ้มเพื่อสู้ อยู่เพื่อชัย ไปเพื่อดี

กำมือสิ!!! สู้ๆ!!!



ในยามที่ท้อแท้ ลำบาก ไร้ที่พึ่ง กำลังใจจากคนรอบข้าง คือสิ่งสำคัญ

เราก็คนหนึ่งที่อดทน ได้ไม่น้อยกว่าใครเลย

“เหนื่อยไม่เท่ามื่อวาน นานไม่เท่าพรุ่งนี้

สำคัญไม่เท่าวันนี้ ดีไม่เท่าทุกๆวัน”

ความล้มเหลวสร้างได้จากตัวเราเอง

ต้องเรียนรู้จากปัญหา หรือว่าสิ่งที่เรามี

ปัญหา คือ สิ่งที่บอกให้เรารู้ว่าอะไรคือสิ่งสำคัญ และที่สำคัญกว่านั้น คือการมองย้อนกลับมาที่ตัวเราเอง

ไม่มีคำว่าล้มเหลวสำหรับคนที่ไม่ยอมล้มเหลว

กับคำถามที่ว่า “เมื่อไหร่จะผ่านมันไป ?” มันก็ผ่านมันมาแล้วกี่ครั้ง

ความ ผิดหวัง ความเจ็บปวด ก็คงยังฝังในอดีต สิ่งที่จะเจอก็จะเหลือแต่ร่องรอยความบอบช้ำที่ผุพัง ที่เราไปขุดค้นมันขึ้นมาทำร้ายตัวเราเอง

เราไม่สามารถย้อนเวลากับเหตุการณ์ได้ แต่ย้อนไปเห็นคุณค่าของเวลากับเหตุการณ์ได้

ทนอดคน คือ คนอดทน

หาก เหนื่อยท้อแท้ หมดหวัง หมดกำลังใจ อ่อนล้า หมดเรี่ยวแรง และถอนหายใจมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ปัญหาต่างๆเราก็ผ่านมันมา ความเจ็บปวดก็ไม่น้อยกว่าใครเลย แค่นี้คงมากพอ ที่จะทำให้ความอดทนเหล่านั้น ยังคงมีแก่เราต่อไป ให้ได้กัดฟันสู้ จะได้รู้ว่า เราก็อดทนมาไม่น้อยกว่าใครเลย..

แรงที่มี..ก็ตราบเท่าที่ใจหมดแรง

แม้ดาบหัก มันก็ยังมีคมอยู่ แม้ดาบหลุดมือ ก็ยังมีมือกับเท้าอยู่

ลุกขึ้นยืน แล้วเงยหน้าขึ้น แล้วจะเห็นสิ่งที่สวยงาม

พักตรงนี้ก่อน…มีแรงแล้วค่อยก้าวเดินต่อไปใหม่

“สิ่งสำคัญบนกระดาน ก็สามารถถูกลบด้วยสิ่งเล็กๆน้อยๆ คือ แปลงลบกระดานได้

ดังนั้น จึงไม่แปลกเลยที่สิ่งสำคัญบนจิตใจคน จะถูกลบด้วยใจลบ เพียงเล็กๆน้อยๆ ก็ลบใจได้”

จงมั่นใจในความดีเราทำ

ถามตัวเองให้รู้ว่าสู้อยู่กับอะไร? ปัญหา หรือ ใจตนเอง แล้วเอาชนะมันให้ได้ ขอเป็นกำลังใจให้ทุกๆหัวใจ..

กินอย่างไร ? เมื่อเป็นโรคกระเพาะ



แต่ ก่อนนี้ถ้าใครเป็นโรคกระเพาะถือว่าโชคร้ายเพราะ เป็นแล้วรักษาหายยาก แต่เมื่อรู้สาเหตุที่แท้จริงแล้วโรคกระเพาะรักษาไม่ยาก และปัจจุบันโรคกระเพาะสามารถรักษาให้หายได้ภายในเวลา 2-4 สัปดาห์ด้วยยาปฎิชีวนะและยาลดกรดเป็นหลัก

สาเหตุของโรคกระเพาะ
ก่อนนี้ความเครียดกินอาหารผิดเวลาอยู่เป็นนิจและอาหารรสเผ็ดจัดจะถูกจัดเป็น สาเหตุสำคัญของโรคกระเพาะ แต่ปัจจุบันวงการแพทย์ปะจักษ์กันดีกว่าตัวสาเหตุที่แท้จริงคือเชื้อ แบคทีเรีย ที่มีลักษณะเหมือนเกลียวจุกคอร์ก ชื่อว่าเฮลิโคแบคเตอร์ไพโลไร เรียกย่อๆว่าเอช.ไพโลไร (H.pylori)เป็นตัวที่ทำให้กระเพาะเป็นแผลอักเสบ

นอกจากเชื้อแบคทีเรียที่ว่ายังมีสาเหตุรองอื่นๆของโรคกระเพาะ คือการใช้ยาแก้ปวดประเภทแอสไพริน หรือยาประเภทสเตียรอยด์ซึ่งใช้รักษาโรคข้ออักเสบหรือยาประเภทต้านการอักเสบ เรียกย่อๆว่า "เอ็นเสดส์" (NSAIDS) = Nonsteroidal anti-imflamatory) การใช้ยานี้เสมอๆอาจเพิ่มความเสี่ยงโรคกระเพาะในคนที่ติดเชื้อเอช.ไพโลไรได้ นอกจากนี้ผู้ที่สูบบุหรี่จัดก็จะเพิ่มความเสี่ยงโรคกระเพาะ เพราะสารนิโคตินในบุหรี่เพิ่มปริมาณกรดและความเข้มข้นของกรดในกระเพาะ และในคนที่เป็นโรคอยู่แล้ว แต่ไม่ยอมเลิกบุหรี่ก็จะทำให้การรักษาได้ผลน้อย




โภชนบำบัดสำหรับโรคกระเพาะ
สมัยก่อนเมื่อยังไม่ทราบสาเหตุของโรคกระเพาะอาหารที่ใช้รักษาโรคกระเพาะคือ ซิปปี้ไดเอ็ท (Sippy diet) ซึ่งใช้นมและอาหารประเภทครีมเป็นหลัก ซึ่งแพทย์สมัยนั้นเชื่อว่าจะช่วยเคลือบแผลในกระเพาะหรือลำไส้ แต่ปัจจุบันพบว่าอาหารดังกล่าวกลับทำให้อาการโรคกระเพาะแย่ลง เนื่องจากแคลเซียมในนมกระตุ้นการหลั่งของกรดทำให้แผลในกระเพาะหายช้าเข้าไป อีก

ปัจจุบันอาหารไม่ใช่ปัจจัยหลักที่จะช่วยรักษาโรคกระเพาะ แต่จะใช้ยาเป็นหลักอาหารจะเป็นปัจจัยเสริมที่ใช้รักษาร่วมกับยาเพื่อลดอาการ

หลักโภชนบำบัดในปัจจุบัน คือ การกินอาหารให้ครบทุกหมวดหมู่อย่างสมดุล เพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วน เพื่อช่วยรักษาเนื้อเยื่อแผลในกระเพาะให้หายเร็วขึ้น และเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นการหลั่งของกรดมากเกินไป มีปัจจัยหลายประการที่เกี่ยวข้องกับนิสัยการบริโภคที่ผู้มีปัญหาโรคกระเพาะต้องปรับเปลี่ยนดังนี้

กินอาหารเป็นเวลา กินน้อยๆวันละ4 ถึง 5 มื้อ ไม่กินจุบจิบโดยเฉพาะก่อนนอน เพราะทุกครั้งที่อาหารตกถึงท้องจะ กระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะ
ปริมาณอาหาร ไม่กินอิ่มมากเกินไป มิฉะนั้นจะมีกรดหลั่งออกมามากเกินควร
เลี่ยงการดื่มนมบ่อยๆ นอก จากนี้ ผู้ที่มีปัญหาการย่อยน้ำตาลในนม (แลคโตส) อาจเกิดอาการท้องอืด มีแกส ปวดท้อง ท้องเสียได้เพราะระบบย่อยขาดเอ็นไซม์แลคเตสซึ่งใช้ย่อยน้ำตาลนม
ระวังการใช้เครื่องเทศรสเผ็ดจัด เช่น พริกต่างๆ กินเท่าที่ระบบย่อยของตัวเองจะรับได้โดยไม่เกิดอาการ ตัวคุณเองเท่านั้นที่จะบอกได้
กินอาหารที่มีกากใยสูง เช่นผัก ผลไม้ และธัญพืช โดยเฉพาะใยอาหารประเภทละลายน้ำ เช่น กล้วย มะละกอ แอปเปิล ซึ่งมีใยอาหารชนิดเพคตินมาก ช่วยป้องกันโรคกระเพาะและมะเร็งในกระเพาะอาหาร นักวิจัยพบว่าในกล้วยมีสารชนิดหนึ่งซึ่งช่วยกระตุ้นการแบ่งตัวของเซลใน กระเพาะอาหารทำให้กระเพาะแข็งแรงขึ้น ทนต่อกรดได้ดี

กินผักใบเขียวจัดให้มากขึ้น เนื่องจากผักใบเขียวจัดมีวิตามินเคสูง ช่วยให้แผลในกระเพาะหายเร็วขึ้น ป้องกันเลือดออกในกระเพาะ ช่วยเพิ่มการดูดซึมสารอาหาร มีข้อมูลรายงานว่าผู้ที่มีโรคกระเพาะมักพบการขาดวิตามินเค ผักสีเขียวจัดบางชนิดเช่นบร็อคโคลี มีสารซัลโฟราเฟน ซึ่งมีฤทธิ์เป็นยาปฏิชีวนะอ่อนๆ นักวิจัยพบว่าสารสะกัดซัลโฟราเฟน ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียโดยเฉพาะเชื้อเอช.ไพโลไร และอาจป้องกันมะเร็งได้
ผักผลไม้ที่มีเบตาแคโรทีนสูง เช่น แครอท ฟักทอง ผักใบเขียวจัด แคนตาลูป ช่วยป้องกันเยื่อบุกระเพาะและลำไส้ เร่งให้แผลหายเร็วขึ้น การกินผักผลไม้ยังช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินซี ซึ่งช่วยให้แผลในกระเพาะหายเร็วและป้องกันการติดเชื้อ
เลี่ยงกาแฟ รวมทั้งชนิดไม่มีคาเฟอีน เนื่อง จากกาแฟกระตุ้นการหลั่งกรดและอาจทำ ให้อาหารไม่ย่อย ชาอาจจะพอรับได้สำหรับบางคนแต่ก็ยังมีส่วนกระตุ้นการหลั่งกรดอยู่ดี แม้จะน้อยกว่ากาแฟก็ตาม
เลี่ยงน้ำส้มน้ำมะนาว ถ้าทำให้ไม่สบายท้อง เนื่องจากกรดไหลย้อนกลับทางทำให้เกิดอาการแสบร้อนในลิ้นปี่
เลี่ยงอาหารทอด อาหารเค็มและน้ำอัดลม
เลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่ร้อนจัด ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดอาการ ทำให้ไม่สบายท้องได้
งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยเฉพาะเบียร์และไวน์ เพราะจะทำให้กระเพาะหลั่งกรดได้มากขึ้น
งดบุหรี่
เคี้ยวช้าๆในเวลากินไม่เร่งรีบ
ควรสังเกตตัวเองว่าอาหารชนิดใดที่ก่อให้เกิดปัญหาในระบบย่อย เพราะการตอบสนองต่ออาหารในแต่ละคนไม่เหมือนกัน แม้แต่อาหารชนิดเดียวกันถ้ากินคนละเวลาร่างกายก็จะตอบสนองต่างกัน
หลีกเลี่ยงความเครียด ถึงแม้ความเครียดจะไม่ใช่สาเหตุโดยตรงที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะ แต่อาจเป็นปัจจัยร่วมที่ทำให้อาการโรคกระเพาะเลวร้ายลงไปอีกโดยทำให้หายช้า




ข้อควรระวัง ไม่ ควรใช้ยาลดกรดมากเกินควร เนื่องจากกรดในกระเพาะจะช่วยในการย่อยและดูดซึมสารอาหารเช่นเพิ่มการดูดซึม ธาตุเหล็ก แคลเซียม วิดามินบี 12 ลดการเจริญของเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะ แบคทีเรียในอาหารเมื่อตกถึงกระเพาะจะถูกกรดทำลาย จึงช่วยป้องกันแบคทีเรียที่ก่อสารเกิดมะเร็ง การใช้ยาลดกรดมากจึงไม่ดีต่อระบบย่อย

สรุป แล้ว หลักใหญ่ก็คือการมีโภชนาการดี กินอาหารให้หลากหลาย เป็นเวลาสม่ำเสมอ ไม่เร่งรีบในการกิน ระวังอาหารที่กระตุ้นการหลั่งกรดมากเกินควร อย่าทำตัวเป็นคนช่างเครียด ออกกำลังกายสม่ำเสมอ กินยาตามแพทย์สั่งโรคกระเพาะก็จะหายได้

มะม่วงป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งเต้านม



อาจ จะถึงเวลาที่ต้องเพิ่มมะม่วงในรายชื่ออาหารชั้นเยี่ยมเพราะนอกจากจะเป็นผล ไม้ที่มีรสชาติอร่อยแล้ว ยังเป็นผลไม้ที่มีเส้นใย โพแทสเซียม และวิตามินซีสูงอีกด้วยและในขณะนี้ การศึกษาในห้องปฏิบัติการ ค้นพบว่ามะม่วงอาจช่วยป้องกันหรือทำลายเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งเต้านมได้

การ ศึกษาจัดทำโดยนักวิทยาศาสตร์อาหารจากศูนย์วิจัยTexas AgriLife โดยทำการทดสอบสารสกัดโพลีฟีนอลในมะม่วง(สารธรรมชาติที่พบในพืช ซึ่งเชื่อว่าช่วยส่งเสริมสุขภาพ) กับเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งต่อมลูกหมากในห้องปฏิบัติการ ผล การศึกษาพบว่าสารสกัดจากมะม่วงมีผลต่อมะเร็งปอดและมะเร็งต่อมลูกหมากบ้าง เล็กน้อย แต่กลับมีประสิทธิภาพมากกับมะเร็งเต้านมและมะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยสามารถทำให้เซลล์มะเร็งเต้านมและมะเร็งลำไส้ใหญ่ตายได้ รวมทั้งยังไม่ทำอันตรายกับเซลล์ที่ดีซึ่งอยู่ติดกับเซลล์มะเร็งด้วย

จาก ผลการศึกษานี้นักวิจัยวางแผนต่อไปว่าจะทำการทดลองเล็กๆ ทางคลินิกกับอาสาสมัครที่มีการอักเสบของลำไส้เล็กและมีความเสี่ยงต่อการเป็น โรคมะเร็ง เพื่อดูว่ามีผลทางคลินิกหรือไม่?



สำหรับ ประโยชน์ของมะม่วงนั้น นอกจากมีวิตามินซีสูงแล้ว ยังมีวิตามินเอ(เบต้าแคโรทีน) และมีวิตามินอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับร่างกาย เช่น วิตามินอี บี และเค ซึ่งทั้งหมดนี้จำเป็นสำหรับหัวใจ ช่วยให้หัวใจแข็งแรงและยังอุดมไปด้วยเส้นใย ช่วยรักษาอาการท้องผูกและกล้ามเนื้อลำไส้ใหญ่แข็งเกร็งได้อีกด้วย

17 เรื่องไร้สาระของผู้หญิง ...ที่ผู้ชายควรเข้าใจ





1.บ้าดูดวง...ถึงจะรู้ว่างมงายก็เถอะ แต่เธอก็ดูได้ทุกหมอ ทุกรูปแบบ ดูครั้งเดียวไม่พอ ยังขอเบิ้ลตลอด

2.ต่อมน้ำตาตื้น...แค่หนังซึ้งๆ เพลงเศร้าๆ น้ำตาก็ทะลักออกมาได้ไม่ยากเย็น โฆษณาหรือการ์ตูน ยังเอามาเลียนแบบกันบ่อยๆ

3.ติดละครเหลือเกิน...ละคร โปรดมาเมื่อไหร่ นั่งติดทีวี ไม่ไปไหนเลย หรือถ้าอยู่นอกบ้านก็ต้องรีบกลับมาอย่างเร่งด่วน ทั้งที่อ่านเรื่องย่อจากหนังสือพิมพ์ไปก่อนแล้ว

4.เมาธ์แตก...เจอเพื่อนทีไรเป็นอันจ้อไม่หยุดจนลืมโลกทุกทีซิน่า และไม่พลาดเรื่องนินทาอีกด้วย โดยเฉพาะนินทาแฟนหรือสามีล่ะก็ ชอบนักเชียวแหละ

5.ห้ามอยู่เรื่อย...เวลาคุณทำอะไร เธอก็มักจะห้ามอยู่เรื่อย ห้ามมองผู้หญิง ห้ามซื้อของแพง ห้ามโน่นห้ามนี่ แต่กับตัวเอง เธอทำทุกอย่างเต็มที่

6.มีปัญหากับการขับรถบ่อยๆ....ขับรถไปไหนต่อไหนที ไม่ผิดกฎจราจรก็ต้องหลงทางสักอย่าง ไม่รู้ว่าเป็นอะไร

7.เจออาหารจานโปรดทีไร ไม่ว่าเมื่อไหร่ ที่ไหน ไม่รู้กริยาหญิงหายไปไหน...ไดอ่งไดเอท ไม่สนแล้ว

8.ชอบใช้มารยาหญิงเอาตัวรอด

9.ปากก็บอกว่ารักคุณคนเดียว แต่ก็ชอบแอบปิ๊งคนอื่นอยู่เรื่อยๆ แถมยังแก้ตัวอีกว่าเป็นการเช็กเรตติ้งแค่นั้นเอง

10.แกล้งทำตัวเป็นสาวบอบบาง...อยากให้คุณทะนุถนอม แต่ตอนเธออารมณ์บ่จอย ทำไมแรงเยอะชะมัด

11.เห็นของลดราคาเป็นไม่ได้...เหมือนมีแม่เหล็กมาดึงดูด อยู่ไกลถึงฮ่องกง ยังดูดเงินจากกระเป๋าเธอได้ จริงไหมล่ะครับ

12.ขี้หึงได้ทุกสถานการณ์ และทุกสถานที่ด้วย

13.ชอบเรียกร้องความสนใจด้วยเสียงกรี๊ดกร๊าดดังเกินเหตุ โดยไม่จำเป็น

14.ถึงจะเป็นกุลสตรีอย่างไร แต่ถ้าเจอภาพนู้ดก็ชอบดูเหมือนกันแหละครับ เพียงแต่ไม่อยากให้ใครรู้เป็นอันขาด เสียภาพพจน์หมด

15.กลัวน้ำหนักขึ้นจนหน้ามืด...เลย ไปสักขีดจะเป็นจะตายให้ได้ แต่มักมีข้อแก้ตัวเสมอ ถ้าเจอขนมถูกใจ เช่น เค้กผลไม้, เค้กลูกพรุน, หรือคุกกี้ ที่มักจะมีคำว่า Low fat อยู่ด้วย จริงไม่จริงไม่รู้ แต่ถูกใจเป็นใช้ได้แล้ว

16.อยากผิวขาว หน้าขาว อ่อนเยาว์ อ่อนวัย เครื่องสำอางหน้าขาวถึงขายดีเป็นเทน้ำเทท่า

17.และยังมีอื่นๆ อีกมากมายเสียจนจาระไนไม่หวาดไม่ไหว

3 วิธีไดเอทแบบล้างพิษ (ที่ต้องระวัง)



เมื่อ ร่างกายได้รับการล้างพาออกไปจะทำให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานดีขึ้น ซึ่งระบบเผาผลาญก็เช่นกัน ดังนั้นทำให้ คุณผู้หญิงสามารถลดน้ำหนักได้เร็วกว่าเดิม

และนี่คือการไดเอทแบบล้างพิษ แต่ก็มีทั้งข้อดี และข้อเสียที่สาว ๆ ควรทราบไว้ก่อนจะตัดสินใจทำ โดยมีด้วยกัน 3 วิธีดังต่อไปนี้

Cleanse Diet

คือการกินอาหารอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงเมนูเดียวตลอดวัน เช่น ถ้ากินฟักทองต้มก็ต้องกินฟักทองทั้งวัน วันรุ่งขึ้นกิน แกงจืดก็ต้องแกงจืดอย่างเดียว อีกวันกินแอปเปิ้ลก็ต้องแอปเปิ้ลทั้งวัน เป็นต้น

ข้อดีของวิธีนี้คือ ผอมแน่ ๆ ต่อให้คุณเป็นคนผอมยากขนาดไหน ยังไง ๆ วิธีนี้ก็เอาอยู่
แต่ข้อเสียคือ ทำยาก และ น้ำหนักที่หายไปก็ไม่ใช่ไขมัน แต่เป็นน้ำและกล้ามเนื้อมากกว่า ถ้าไม่ออกกำลังกายร่วมด้วย ผิวพรรณจะเหี่ยวอย่างเห็นได้ชัด และถ้ากลับมากินอาหารตามปกติ น้ำหนักก็จะกลับมาใหม่

Row Food Diet

คือการกินแต่ของดิบ ๆ เท่านั้น เช่น ปลาดิบ ผักสด ผลไม้สด โดยอาจจะทำตารางรายการอาหารให้ตัวเองไปเลยว่า มื้อ เช้ากินปลาดิบกับสลัดผลไม้ มื้อกลางวันกินสลัดผักจานโต ๆ พอมาถึงมื้อเย็นก็กินแต่ผลไม้รวมมิตร หรือถ้าเบื่อผักสดจะใช้วิธีนึ่ง ต้ม หรือตุ๋นก็ได้ แต่ต้องใช้ความร้อนไม่เกิน 100 องศา เพื่อรักษาคุณค่าอาหารของผักเอาไว้

ข้อดีคือ ได้เส้นใยอาหารสูง ช่วยให้อิ่มท้องนานใกล้เคียงกับการกินข้าว และทำให้ระบบขับถ่ายทำงานดี จึงช่วยขจัด ไขมันออกไปได้มาก คนที่ทำวิธีนี้จะรู้สึกว่าผอมลงตั้งแต่สัปดาห์แรกที่ลงมือทำ
ส่วนข้อเสียคือ รสชาติของอาหารไม่หลากหลาย ทำให้เบื่อง่าย

Master Cleanse Diet

คือ ต้องไม่กินอะไรเลยนอกจากน้ำ ไม่ว่าจะเป็นน้ำเปล่า น้ำเปล่าบีบมะนาว น้ำแกงจืด น้ำผลไม้ และสารพัดน้ำอื่น ๆ ตามใจชอบ

ข้อดีของวิธีการนี้คือ น้ำหนักจะลดลงไป 2 - 3 กิโลภายในหนึ่งอาทิตย์ แถมยังช่วยล้างสารพิษที่หมักหมมในร่าง กายอย่างได้ผลด้วย
ข้อเสียก็คือ ทำยากมากถึงมากที่สุด และสาว ๆ จะมีอาการอ่อนเพลีย หงุดหงิด เครียดอยู่ตลอดเวลา

+++ Hamster +++

+++ Playlist +++


MusicPlaylistRingtones
Create a playlist at MixPod.com

+++ coming soon +++