วันพฤหัสบดีที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2553

อาหารลดไขมันรอบเอว....


1. อะโวคาโด : อะโวคาโดอุดมไปด้วยสารเบตาซิสโตสเตอรอล ซึ่งช่วยในการดูดซึมคอเลสเตอรอล มีเส้นใยอาหาร ทั้งชนิดที่ละลายน้ำ ซึ่งช่วยขจัดคอเลสเตอรอลส่วนเกินออกจากร่างกาย และชนิดที่ไม่ละลายน้ำซึ่งช่วยป้องกันอาการท้องผูก ปริมาณแนะนำต่อวัน: 1/2 ถ้วย

2. บรอกโคลี่ : นักวิจัยระบุว่าสารอาหารอย่าง แคลเซียมช่วยให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรีที่จะสะสมไว้เป็นไขมันส่วนเกินได้ และบร็อกโคลี่ก็มีดีที่เป็นแหล่งแคลเซียมซึ่งไม่มีไขมัน ปริมาณแนะนำ: 1 1/2 ถึง 2 ถ้วย

3. ถั่วและเมล็ดพืชต่างๆ: มีคาร์โบ ไฮเดรตเชิงซ้อน มีส่วนช่วยควบคุมน้ำหนักได้ โดยเฉพาะถั่วเปลือกแข็งและเมล็ดพืชต่างๆ เช่น อัลมอนด์ มะม่วงหิมพานต์ ถั่วลิสง เมล็ดดอกทานตะวัน เมล็ดฟักทอง พิสทาชิโอ ปริมาณแนะนำต่อวัน: 2 ช้อนโต๊ะ

4. น้ำมัน :
เลือกกินน้ำมันที่มีประโยชน์ช่วยลดน้ำหนักได้ น้ำมันพืชต่างๆ เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันชา น้ำมันถั่วเหลือง ปริมาณแนะนำต่อวัน: 1 ช้อนโต๊ะ

● ความรักและก้าวแรก ●



เราชอบเขา เพราะเขาเป็นเขาหรือเพราะปัจจัยภายนอกอย่างอื่น
เรายังคงความเป็นตัวเอง ได้หรือไม่ขณะที่เรามีเขาเข้ามาผูกพันด้วย
เขาคือคนที่เราไว้ใจและเชื่อ มั่นได้มากน้อยแค่ไหน
และที่สำคัญ เรารู้สึกมีความสุขเมื่อได้อยู่กับเขา มากกว่าการอยู่คนเดียวหรืเปล่า
..ถ้า หากคำตอบที่ได้หลายๆ ข้อนี้ออกมาเป็นบวกเสียส่วนใหญ่
เราก็ไม่น่าจะต้อง รีรอที่จะยอมตกหลุมรักใครสักครั้ง

..เพราะชีวิตของคนเราไม่ได้ยืน ยาวสักเท่าไหร่
การได้พบเจอคนที่ถูกใจ บางทีมันก็ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งนัก
แต่สิ่งที่สำคัญ คือ เมื่อได้รักแล้วเราต้องรักแบบเข้าใจในความรักด้วย
อย่าเพิ่งรีบคาดหวัง ว่าจะต้องเป็นรักแท้ที่ยั่งยืน
ปล่อยให้ความรักค่อยเติบโต ให้มิตรภาพที่มีค่อยๆ งอกงามไปตามธรรมชาติ
พร้อมๆกับการเรียนรู้แบบค่อย เป็นค่อยไป

..ในโลกของความรัก เดี๋ยวนี้มันไม่ได้มีคำตอบแค่
"รัก" กับ "ไม่รัก" เท่านั้น มันยังมีคำว่า ความเหมาะสม
การยอมรับ ครอบครัว หน้าที่การงาน และอะไรอื่นๆ อีกเยอะแยะ

เพราะฉะนั้นเมื่อเราอยากจะ รักใคร เรารักได้
แต่อย่าคาดหวังว่าจะได้ "รัก" กลับคืนมาในรูปแบบที่เราต้องการ
เมื่อเรารักเป็น เราก็จะสามารถยอมรับได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น
ไม่ว่ามันจะเป็นอย่างไร แม้ความรักอาจะไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต
แต่มันก็มีค่า ต่อการมีชีวิตอยู่
...เป็น แรงบันดาลใจให้เราทำอะไรได้มากมาย...

ส่วนคนที่ผิดหวังกับความรักมา
คุณอาจมีอดีตที่เลวร้าย แม้คุณจะสามารถเก็บมันไปคิดทบทวน
เพื่อ เป็นบทเรียนที่ดีได้ แต่ไม่มีประโยชน์หรอกที่จะจมกับมันตลอดไป

ลอง เปิดใจที่จะเรียนรู้กับความรักอีกสักครั้ง
บางทีคุณจะพบว่า ความสุขจากการได้รักนั้น
ไม่ได้เกิดจากคนอื่นเลย
แต่มันเป็นความสุข ที่เราสร้างมันขึ้นมาเอง
จากหัวใจเราเอง และเมื่อรักเป็นของเรา
ไม่ ว่าคนที่เรารู้สึกรักนั้นจะจากไปไหน
เราก็ไม่จำเป็นต้องฟูมฟาย กับการจากไปของเขา
เพราะถึงอย่างไร รักที่คุณมีนั้นมันก็ยังอยู่กับตัวคุณเสมอ

มารู้จักตัวเองให้มากขึ้นอีก นิด...กันเถอะ

1. ในวันหยุด คุณเดินทางโดยเครื่องบินไปยังสถานที่ที่คุณอยากจะไปพักผ่อน
ขณะเดินทางมาได้ครึ่งทางแล้ว คุณคิดว่าด้านล่างของเครื่องบินเป็นอะไร

ก. อาคารบ้านเรือน
ข. ทะเล
ค. ป่าไม้
ง. ทุ่งหญ้า

2. กลางดึกคุณนั่งอ่านหนังสือในห้องนอน อ่านอยู่ครู่หนึ่งคุณจึงพักสายตามองผ่านหน้าต่างออกไป คุณมองเห็นดวงจันทร์จากทางหน้าต่างห้องนอนคุณหรือไม่? ถ้าคุณ เห็น คุณเห็นดวงจันทร์มีลักษณะอย่างไร
ก. พระจันทร์เต็มดวง
ข. พระจันทร์ครึ่งดวง
ค. พระจันทร์เสี้ยว

3. เมื่อคุณคิดจะตกแต่งสวนหน้าบ้าน คุณจะให้ความสำคัญกับสิ่งใดเป็นอย่างแรก
ก. ต้นไม้ที่ให้ความร่มเงา
ข. บ่อน้ำ
ค. ดอกไม้สีสรรต่างๆ
ง. ลานหญ้า

4. ในบริเวณสวนหลังบ้านของคุณ คุณจะให้ความสำคัญกับสิ่งไหนมากที่สุด
ก. ต้นไม้ที่ให้ความร่มเงา
ข. บ่อน้ำ
ค. ดอกไม้สีสรรต่างๆ
ง. สัตว์เลี้ยงต่างๆ

5. คุณ อยากเห็นวิวที่มองออกจากหน้าต่างห้องนอนของคุณเป็นอย่างไร
ก. เห็นท้องฟ้า
ข. เห็นทะเล
ค. เห็นต้นไม้หรือสวนสาธารณะ
ง. เห็นอาคารบ้านเรือน

6. วันนี้ ต้องไปซื้อของที่ศูนย์การค้า ของที่จะต้องซื้อคือ รองเท้า, เสื้อ ผ้า, หนังสือ และนาฬิกาข้อมือ คุณคิดว่าจะใช้เวลาเลือกซื้อของชิ้นใดนานที่สุด
ก. รองเท้า
ข. เสื้อผ้า
ค. หนังสือ
ง. นาฬิกาข้อมือ

7. ผ้าเช็ดหน้าที่คุณพกติดตัว มีลวดลายแบบไหน
ก. ผ้าเช็ดหน้าสีสดใส
ข. ผ้าเช็ดหน้าสีอ่อน
ค. ผ้าเช็ดหน้าลายดอกไม้หรือลายจุด
ง. ผ้าเช็ดหน้าลายสก็อต หรือ ลายเส้น

8. วันนึง คุณไปช้อปปิ้งย่านการค้า คุณถูกใจเสื้อตัวหนึ่งจึงลองเอามาสวม เห็นว่าสวยและใส่ได้พอดีเลยตัดสินใจซื้อ เมื่อกลับมาถึงบ้านคุณลองเอามาสวมใส่อีกครั้งพบว่าเสื้อคับนิดหน่อย และสีไม่สวยเหมือนตอนที่เห็นในร้าน คุณจะทำอย่างไร
ก. เอาเสื้อกลับไปเปลี่ยนที่ร้าน
ข. หาวิธีดัดแปลงเสื้อหรือเก็บเอาไว้ใส่เล่น
ค. คิดว่า ช่างมันไหนๆ ก็ซื้อมาแล้ว หรืออาจจะเอาไปให้คนอื่น



เฉลยจ้ะ...

1. สิ่งที่คุณเห็นด้านล่างนั้น สื่อถึง ... ปัญหาในชีวิตที่คุณอยากหนีไปให้พ้น

ก. อาคารบ้านเรือน
สื่อถึง... ปัญหาที่เกิดจากที่ทำงาน การเรียน หรือ ความสัมพันธ์ของคุณกับเพื่อนร่วมงาน

ข. ทะเล

สื่อถึง ....ปัญหาเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดจาตัวคุณเอง

ค. ป่าไม้

สื่อถึง... ปัญหาในครอบครัว หรือเรื่องราวความรักของคุณ

ง. ทุ่งหญ้า

สื่อถึง... ปัญหาที่เกิดจากเพื่อนหรือความสัมพันธ์ของคุณกับคนรอบข้าง

2. ข้อนี้สื่อถึงว่า ... คุณมีเป้าหมายในชีวิตหรือยัง

- ถ้าคุณมองไม่เห็นดวงจันทร์
สื่อถึง...คุณยังไม่ได้คิดถึงเป้าหมาย ในชีวิตว่าจะเป็นอย่างไร หรือยังไม่แน่ใจว่าสิ่งที่คุณคิดอยู่นั่นใช่หรือไม่..

- แต่ถ้าคุณมองเห็นดวง จันทร์

สื่อ ถึง ... คุณมีเป้าหมายในชีวิตแล้ว รูปแบบของดวงจันทร์เป็นสัญลักษณ์ของ .. รูปแบบของเป้าหมายในชีวิตของคุณ โดยถ้า

ก. พระจันทร์เต็มดวง

สื่อถึง .. คุณมีเป้าหมายที่ชัดเจน และมั่นใจว่าแผนการต่างๆ ที่วางไว้สามารถช่วยคุณให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย

ข. พระจันทร์ครึ่งดวง

สื่อถึง .. คุณยังไม่ยึดมั่นกับเป้าหมายที่คิดไว้มากนัก อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ หรือคุณยังไม่แน่ใจว่าแผนการที่คุณคิดไว้จะประสบความสำเร็จหรือไม่

ค. พระจันทร์เสี้ยว

สื่อถึง ..คุณเริ่มจะมองเห็นเป้าหมายในชีวิตแล้ว แต่ยังไม่มั่นใจว่าจะใช่หรือไม่ ยังต้องใช้เวลาลองผิดลองถูกอีกสักระยะหนึ่ง จึงจะพิจารณาได้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของคุณคืออะไร

3. สิ่งที่คุณให้ความสำคัญอันดับแรก เมื่อคุณคิดว่าจะตกแต่งสวนหน้าบ้าน สื่อถึง .. บุคคลแรกที่คุณจะนึกเมื่อประสบความสำเร็จในชีวิต

ก. ต้นไม้ที่ให้ความร่มเงา

สื่อถึง ..พ่อ แม่ หรือผู้ใหญ่ที่คุณให้ความนับถือ

ข. บ่อน้ำ

สื่อถึง ..ตัวคุณเอง

ค. ดอกไม้สีสรรต่างๆ

สื่อถึง .. คนรัก

ง. ลานหญ้า

สื่อถึง ..เพื่อนๆ

4. สิ่งที่คุณให้ความสำคัญกับสวนหลัง บ้านนั้น สื่อถึง .. คนที่คุณอยากจะระบายความรู้สึก เมื่อคุณรู้สึกผิดหวังกับชีวิต หรือสิ่งที่คุณทำผิดพลาดลงไป


ก. ต้นไม้ที่ให้ความร่มเงา

สื่อถึง ..พ่อ แม่ หรือผู้ใหญ่ที่คุณให้ความนับถือ

ข. บ่อน้ำ

สื่อถึง ..ตัวคุณเองหรือคุณ หรือคุณอยากอยู่คนเดียวตามลำพัง

ค. ดอกไม้สีสรรต่างๆ

สื่อถึง .. คนรัก

ง. สัตว์เลี้ยง

สื่อถึง... เพื่อนๆ

5. วิวที่คุณอยากเห็นจากห้องนอน สื่อถึง .. อาชีพที่คุณอยากจะทำในอนาคต

ก. เห็นท้องฟ้า

สื่อถึง ..อาชีพที่มีความเป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเอง หรือาชีพอะไรก็ได้ที่ใช้ความสามารถพิเศษในตัวคุณ

ข. เห็นทะเล

สื่อถึง อาชีพที่ต้องใช้อารมณ์ จินตนาการ และความสร้างสรรค์งานของคุณ

ค. เห็นต้นไม้หรือสวนสาธารณะ

สื่อถึง .. คุณอยากทำธุรกิจในครัวเรือน มีผู้ร่วมงานหรือหุ้นส่วนเป็นบุคคลในครอบครัว

ง. เห็นอาคารบ้านเรือน

สื่อ ถึง.. คุณอยากมีอาชีพที่ทำงานร่วมกับคนหมู่มาก หรือทำงานเพื่อสังคม

6. ของที่คุณใช้เวลาเลือกซื้อนานที่สุด สื่อถึง .. สิ่งที่คุณเปลี่ยนแปลงได้ยากที่สุด ซึ่งคุณอาจจะรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงในสิ่งนั้นจะทำให้ชีวิตของคุณดีขึ้น

ก. รองเท้า

สื่อถึง .. นิสัย หรือพฤติกรรมบางอย่างในตัวคุณ

ข. เสื้อผ้า

สื่อถึง ... คนรัก หรือความสัมพันธ์กับคนใกล้ชิด

ค. หนังสือ

สื่อถึง .. ความคิดของคุณเอง

ง. นาฬิกาข้อมือ

สื่อถึง .. ระเบียบกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่คุณกำหนดไว้ให้ตัวเอง

7. ลักษณะผ้าเช็ดหน้าที่คุณพกติดตัว สื่อถึง.. เรื่องราวในชีวิตที่ทำให้คุณเสียน้ำตา

ก. ผ้าเช็ดหน้าสีสดใส

เรื่องราวเกี่ยวกับเพื่อนๆ ของคุณ บางครั้งเพื่อนๆ อาจจะไม่เข้าใจสิ่งที่คุณคิดหรือทำลงไป จึงทำให้คุณเสียน้ำตากับคำพูดของเพื่อนๆ

ข. ผ้าเช็ดหน้าสีอ่อน

คุณเป็นคนขี้เหงา เวลาต้องอยู่คนเดียว โดยไม่มีคนรัก เพื่อน หรือญาติพี่น้อง จะทำให้รู้สึกว้าเหว่ จนบางครั้งแอบเสียน้ำตาโดยลำพัง

ค. ผ้าเช็ดหน้าลายดอกไม้ หรือลายจุด

คุณมักเสีย น้ำตากับเรื่องความรัก เช่นไม่ประสบความสำเร็จในความรัก หรือสิ่งที่คุณคาดหวังบางอย่างในความรัก แต่มันไม่เป็นไปตามที่คุณคิดไว้

ง. ผ้าเช็ดหน้าลายสก็อต หรือลายเส้น

การเรียนหรือการงานที่คุณมักตั้งความหวังไว้ เมื่อไม่ได้อย่างที่หวัง คุณจึงมักเสียน้ำตากับสิ่งที่เกิดขึ้น

8. สิ่งที่คุณทำเมื่อพบว่าเสื้อที่ซื้อมามี ปัญหา สื่อถึง .. สิ่งที่คุณจะทำเมื่อพบว่า คนที่รักที่คุณคบมาได้ระยะหนึ่งนั้น คุณกับเขาเข้ากันไม่ได้

ก. เอาเสื้อกลับไปเปลี่ยนที่ร้าน

สื่อถึง .. คุณจะไม่ฝืนทนคบอีกต่อไป และหาวิธีที่จะแยกทางกัน

ข. หาวิธีดัดแปลงเสื้อ

สื่อถึง คุณยังคบกับคนรักต่อไป และหาวิธีที่จะแยกทางกัน

ค. คิดว่าช่างมันไหนๆ ก็ซื้อมาแล้ว หรือจะเอาไปให้คนอื่น

สื่อ ถึง.. คุณยังคบกันต่อไปเรื่อยๆ เมื่อถึงเวลาที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพบคนที่ถูกใจมากกว่า คุณก็พร้อมจะจากกันด้วยดี

● ที่ตรงนั้นกับที่ตรงนี้ ●



เพราะสิ่งที่จำ เป็นต่อชีวิตเรามีหลายด้าน
บ่อยครั้งเราเกิดสับสนว่าจะรักษาอะไรไว้
จะ เลือกอะไรดี “ระหว่างชีวิตกับความรัก”
เราไม่จำเป็นต้องเลือก
เพราะ สองอย่างสำคัญเท่ากัน
เพียงแต่…
“ที่ตรงนั้นกับที่ตรงนี้
ต้อง การการดูแลที่แตกต่างกัน”
.

ถ้าเรารู้จักใช้ชีวิต
เราก็จะ รู้วิธีรักษาและดูแลชีวิต
และถ้าเรารู้จักคนรักและความรักอย่างแท้จริง
เรา จะรู้จักวิธีประคับประคอง ดูแลรักษา
ให้ความรักเดินไปพร้อมๆ กับด้านอื่นๆ ได้

แล้วถ้าเราเข้าใจทั้งสองด้านได้มากพอ
เราจะ ไม่รู้สึกเหนื่อยที่ต้องแบกชีวิต
พร้อมกับดูแลความรักให้ดีอยู่เสมอ
เพราะ แท้จริงแล้วทั้งสองสิ่ง
ต้องการการดูแลที่แตกต่างกัน

“ชีวิตอาจต้องการการทุ่มเท
แต่ความรักต้องการ ความใส่ใจ”

ของคุณข้อมูลจาก http://www.tamdee.net/

ผู้ชายเริ่มจากร้อย ผู้หญิงเริ่มจากศูนย์




เมื่อ ผู้ชายเริ่มรักผู้หญิงของตัวเอง . .

ทุกอย่างที่เป็นเธอ จะดูสวยงามและเพียบพร้อม

ไม่มีอะไรที่เขาไม่ชอบ ไม่พอใจ



วันเวลา ผ่านไป. . .
เมื่อความเคยชินเข้า มาแทนที่ สิ่งที่เห็นอยู่ทุกวัน
อาจกลาย เป็นสิ่งที่น่ารำคาญ
เธอไม่สวยงาม และน่าทะนุถนอมเหมือนแต่ก่อน
ทำไม เวลาจับต้องเธอแล้ว รู้สึกไม่เหมือนเดิม
ทำไมนิสัยไม่ดีของเธอ ถึงได้ผุดขึ้นมามากมายแบบนี้
เขารับเธอไม่ได้อีกต่อไป และทนไม่ได้กับการเปลี่ยนแปลงของเธอ
ในขณะที่ความรักของผู้หญิงเริ่มต้นจากศูนย์
เขายังมีสิ่งที่เธอ คิดว่าเธอไม่ชอบทุกอย่างของเขา
แต่เมื่อเธอตัดสินใจลองคบหาเพื่อที่จะ ศึกษาสิ่งที่ดีในตัวเขา



วันเวลาผ่านไป . .
ทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่สุด บนโลกนี้
คะแนนที่มากมายมันเพิ่มขึ้นมาได้อย่างไร
ถึงขั้นนี้ . . .ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเขา
ช่างดูดีและน่าหลงใหล
จนรู้สึกว่า . . .เขาแทบจะกลายเป็นสิ่งเดียวในชีวิต
ที่ทำให้เธอมีชีวิตอยู่ได้ เธอพร้อมที่จะสละทุกอย่างที่มีอยู่
เพื่อที่จะให้เขาและเธออยู่ด้วยกัน ตลอดไป



วันนี้…ความรักของเธอเกินร้อย
ใน ทางกลับกัน ความรักของเขากลับลดลงจนเหลือศูนย์
ความรู้สึกที่ค้างคาอยู่ ในใจของคนทั้งคู่
เหมือนกันคือ คำถามที่ว่า ทำไม . . .อีกฝ่ายถึงเปลี่ยนไป



หากตัวแปรของความสัมพันธ์ ระหว่างคนสองคน อยู่ที่ความเปลี่ยนแปลงแล้ว
คงเร็วเกินไปที่จะโทษฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่ง เพียงคนเดียว
เราต้องยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า คนเรานั้น เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
และนี่คือ สัจธรรมที่แท้จริงบนโลกใบนี้เสียด้วย


ความรักที่เกิดขึ้นง่าย มักจะตายเร็ว




สมัยนี้เจอกันแป๊ปเดียวไฟฟ้าก็ลัด วงจรได้แล้ว และทุกครั้งก็หวังว่ารักนั้นจะอยู่ในนานๆ แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่ความรัก 7 แบบนี้แหงๆ

1. รักทางเน็ต
ก็ คนในเน็ตมีใครเค้าแฉความจริงกันบ้างว่าชีวิตฉันผ่านผ ู้ชายมา 17 คนแล้ว เป็นเกย์ไปซะ 7 ติดเอดส์ไปซะ 3 คลิกไปเถอะเจอแต่รูปหล่อพ่อรวยสวยเหมือนนางงามจักรวาลกันทั้งนั้น ขนาด ภาพยังเอารูปเพื่อนมาลง ไม่ก็เป็นภาพรีทัชลบสิวลบปานดำ เติมปากให้อิ่มทำตาให้โต ทำอ้วนให้ผอม เปลี่ยนทรงผมให้เก๋ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เป็นแฟนทางเน็ตอยู่สามเดือนพอนัดมาเจอตัวจริง แทบวิ่งหนี แล้วจะไม่ให้เลิกได้ไงล่ะ!!

2. รักผัวเขา
ตอน เจอกันใหม่ๆ ใน 100 คนต้องมีซะ 80 ที่ไม่รู้ว่าพี่มีเมียแล้ว แต่ ก็มีเหมือนกันที่รู้ทั้งรู้ แต่ตูจะเอา แรกๆ ก็คิดว่าทนยอมเป็นบ้านที่สองที่สามเค้าได้ แต่พออยู่กันไปจากบ้านเล็กชักอยากกระดึ๊บๆ เข้าไปอยู่บ้านใหญ่ แต่กติดนับเบอร์วันแก่ง่ายตายช้าขวางทางอยู่ แล้วเรื่องอะไรจะไปยอมเสียเวลานับวันรอให้อะไรๆ มันเ่ยวย่นหย่อนยานล่ะ มันเก๊าะต้องเลิกไปคนใหม่น่ะสิ

3. รักเพราะสปอตไลท์
รัก แบบนี้มักเกิดในแหล่งท่องเที่ยวยามราตรี พอโดนสปอตไลท์แสงไฟส่องมา ราศีก็จับให้กลายเป็นหนุ่มหล่อสาวสวยดัชชี่บอยแอนด์เกิร์ลกันได้ทุกคน ไฟฟ้า เลยลัดวงจรง่าย ยักย้ายส่ายสะโพกไม่กี่เพลงน้องก็โอเค รับรักพี่แล้ว แต่พอรุ่งขึ้นเจอกันแบบแสงธรรมชาติ หน้าที่เคยสวยใสทำไมมันดันมีแต่รอยกระด่างกระดำ สิว ฝ้า กระ ครบเซ็ตหว่า นี่เธอเป็นผีปอบโดนแดดแล้วไหม้หรือเปล่าเนี่ย อยู่ไม่ได้แล้วโดยก่อนล่ะเรา

4. รักเพราะเหงา

ประมาณ หัวใจติดป้ายให้เช่าจะชาติหนึ่งแล้ว ก็ ยังไม่มีใครยอมหลงกลมาขอเช่าห้องซะที อารมณ์คุณตอนนี้ก็เลยออกแนวเดอะเลตเตอร์ คือเซ็ง เศร้า เหงา หงอย ทีนี้ล่ะพอมีใครผ่านมาแม่คว้าเรียบ ขอให้เป็นเพศตรงข้ามเป็นพอ แต่พบคบกันไปความเหงาหายไปหูตาก็พลอยสว่าง ถึงได้เห็นว่าไอ้ที่เอามาเป็นแฟนเนี่ยมันไม่ใช่สเป็ค เรานี่นา เลยต้องคอนเวิร์สตัวใครตัวมันด้วยประการฉะนี้

5. รักที่เงิน
ประมาณ หน้าตาไม่เท่าไรขอกระเป๋าตุงไว้ก่อนละกัน ในข้อนี้ส่วนใหญ่ฝ่ายมีตังค์จะหน้าตาพอดูได้ (ถ้าปิดไฟ) ส่วน แฟนจะสวยล้ำหล่อเลิศแบบฟ้าประทานลงมาเลย แล้วหน้าตาไม่แมทช์กันขนาดนี้จะอยู่กันเข้าไปได้ไงถ้ าไม่เป็นเพราะมีกาวตรา ช้างที่ใช้หนี้ได้ตามกฏหมายเชื่อมอยู่ ความรักแบบนี้จะหมดอายุได้ในสองกรณี หนึ่ง คือฝ่ายมีตังค์เกิดไม่สบาย เป็นโรคขี้เบื่อ ทนเห็นอะไรซ้ำซากไม่ได้ ไม่ก็ในกรณีที่สอง หนุ่มหล่อสาวสวยเอาแฟนตัวจริงมาควงแก้เซ็งแล้วโดนจับ ได้ ถ้าไม่งั้นนิยายรักฉบับสตรอว์เบอแหลนี้ก็จะดำเนินต่อ ไป

6. รักแบบชู้ๆ

แต่ สมัยนี้เค้าไม่เรียกว่าชู้แล้ว ต้องเรียกว่ากิ๊กจะได้ฟังดูไม่หลายใจไม่เจ้าชู้ เพราะเราไม่ได้มีชู้มีแค่กิ๊กเท่านั้นเอง ซึ่ง กฏบังคับของกิ๊กก็มีอยู่แล้วว่า ห้ามผูกพัน ห้ามตื้อ ห้ามยื้อ ห้ามทำตัวเป็นเจ้าของ และกิ๊กไม่ใช่ชู้แต่แฟนรู้ต้องเลิก ฉะนั้นรักแบบกิ๊กๆ จึงเป็นรักที่ไปเร็วที่สุด แบบว่าแฟนเดินเฉียดมาในระยะ 100 เมตร กิ๊กก็ไปซะแล้ว เหลือแต่คนแปลกหน้าตาใสซื่อ 2 คนเท่านั้นเอง

7. รักโปรโมท

ข้อ นี้แต่ก่อนจำกัดอยู่ในวงการบันเทิง ประมาณช่วงหนังจะเข้าละครจะฉาย ก็ เอาแล้วต้องมีใครรักใครขึ้นมาทันที ทั้งๆ ที่แต่ก่อนเดินสวนกันทุกวันยังไม่รู้เลยว่าไอ้นี่มัน ใคร และพอละครจบรักก็จบ แต่เดี๋ยวนี้กระแสรักโปรโมทกระจายไปทุกหย่อมหญ้า โดยมากมักจะเป็นในหมู่คนกินแห้ว แอบรักเขาๆ ไม่สน งั้นเอาเพื่อนมาแกล้งทำเป็นอินเลิฟหน่อยซิ เผื่อจะโกงค่าตัวให้หมอนั่นเห็นคุณค่าขึ้นมาบ้าง แต่พอได้แฟนแล้วก็ไสหัวเพื่อนกลับไปเดินสะดิ้งตุ้งติ ้งคนเดียวเหมือนเดิม

fw mail

ก่อนตะวันรุ่งวันพรุ่งนี้




แสงตะวัน ค่อยๆ ลับขอบฟ้า เมื่อค่ำคืนมาถึง ทั้งเมืองก็สว่างไสวไปด้วยแสงจากพลังงานไฟฟ้า..

เป็นที่รู้กันดีว่า ยิ่งนับวันมนุษย์ยิ่งใช้พลังงานมากขึ้นตามความเจริญก้าวหน้าของโลก พลังงานไฟฟ้าเกือบทั้งหมดในปัจจุบันผลิต ขึ้นจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ทั้งถ่านหิน น้ำมัน หรือก๊าซธรรมชาติ ซึ่งล้วนแต่เป็นพลังงานที่ใช้แล้วหมดไปและยังมีราคาสูง เห็นได้จากราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นทุกๆ ปี ทำให้ทุกวันนี้มีกระแสรณรงค์เรื่องการประหยัดพลังงานมากขึ้น เพื่ออนุรักษ์ไม่ให้พลังงานเหล่านี้หมดไปจากโลก ก่อนเวลาอันควร

นอกจากการอนุรักษ์พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลด้วยการใช้อย่างประหยัดแล้ว ทั่วโลกยังหันมาจับตามองแหล่งพลังงานทดแทนจากธรรมชาติ ซึ่งถือว่าเป็นพลังงานสะอาดไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อมและใช้ไม่มีวันหมด โดยเฉพาะพลังงานจากแสงอาทิตย์ที่ถือว่าเป็นขุมพลังงานขนาดใหญ่ที่สุดแห่ง หนึ่ง

หากจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพอย่างชัดเจนว่า แสงอาทิตย์มีพลังงานมากมายมหาศาลเพียงใด ลองนึกถึงแสงแดดที่ส่งลงมาบนพื้นขนาด 1 ตารางเมตรในช่วงเที่ยงวัน จะมีพลังงานเท่ากับพลังงานไฟฟ้าที่ใช้สำหรับเตารีด 1 ตัวและพลังงานแสงแดดที่สะสมในพื้นที่ 1 ตรม. ใน 1 วันเทียบเท่ากับไฟฟ้าที่ใช้ตามบ้าน 5 ยูนิต หรือคิดเป็นประมาณ 150 ยูนิต ต่อเดือน (ประมาณ 500 บาทต่อเดือน) เท่ากับว่าบ้านหลังนั้นใช้ไฟฟ้าเทียบเท่ากับพลังงานแสงแดดเพียง 1 ตารางเมตรเท่านั้นเอง เมื่อมนุษย์เห็นถึงศักยภาพของพลังงานแสงอาทิตย์เช่นนี้ จึงมีการคิดค้นวิธีการที่จะนำพลังงานเหล่านี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ ซึ่งอุปกรณ์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อแปลงพลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานไฟฟ้าก็คือ โซลาร์เซลล์ (Solar Cells) โดยในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีของโซลาร์เซลล์ก็ได้รับการพัฒนาให้ก้าวหน้าและมีราคาถูกลง สำหรับประเทศไทยเราอยู่ในเขตร้อน ทำให้เรา ได้รับพลังงานจากแสงอาทิตย์เป็นจำนวนมาก แต่ที่ผ่านมายังไม่ได้ใช้ประโยชน์จากพลังงานนี้อย่างเต็มที่เท่าไรนัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะต้นทุนของอุปกรณ์โซลาร์เซลล์ยังมีราคาแพงอยู่ จึงทำให้ต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าสูง จนหลายคนมองว่ายังไม่คุ้มกับการลงทุน แต่ ณ วันนี้ที่เราต้องเผชิญกับภาวะน้ำมันแพงและสูญเสียเงินไปกับการนำเข้าน้ำมัน จำนวนมากในแต่ละปี จึงเป็นเรื่องที่คนไทยน่าจะหันมามองพลังงานทดแทนจากธรรมชาติให้มากขึ้นเพราะ ความเป็นจริง ประเทศไทยนับเป็นประเทศหนึ่งในภูมิภาคอาเซียนที่เริ่มบุกเบิกการผลิตไฟฟ้า จากแสงอาทิตย์โดยเฉพาะในพื้นที่ที่สายส่งไฟฟ้าของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เข้าไปไม่ถึงซึ่งในปี 2536 กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้เริ่มติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าด้วยแสงอาทิตย์ให้กับพื้นที่ห่างไกลและสามารถ นำพลังงานจากโซลาร์เซลล์มาใช้สำหรับดูทีวีและให้แสงสว่างได้ รวมถึงได้นำแผงโซลาร์เซลล์ไปติดตั้งให้กับโรงเรียน สถานอนามัยหมู่บ้าน หน่วยพิทักษ์ป่า ฐาน ตชด. ที่ไฟฟ้าเข้าไม่ถึง ซึ่ง ก็สามารถนำไฟฟ้าที่ผลิตได้มาใช้กับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ หลอดไฟนีออน และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้เป็นอย่างดี อาจเรียกได้ว่า เทคโนโลยีของระบบนั้นพร้อมแล้ว แต่รอแค่ให้ราคาของโซลาร์เซลล์ถูกลงเท่านั้น




นอกจากปัญหาในเรื่องของเทคโนโลยีโซลาร์เซลล์ที่ยังมีราคาแพงอยู่ประเทศไทย ยังมีอุปสรรคสำคัญ คือ คนไทยไม่ค่อยให้ความสนใจ หรือสนับสนุนการใช้พลังงานทดแทนเท่าไหร่ ส่วนหนึ่งเพราะยังคิดว่าสามารถหาแหล่งพลังงายจากต่างประเทศได้ แต่สิ่งนี้จะทำให้ประเทศไม่มีความมั่นคงทางพลังงานในระยะยาวเลย แต่การสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้ประเทศโดยไม่ต้องพึ่งพาการนำเข้าหรือหา แหล่งพลังงานใหม่ๆ ตลอดเวลา ก็คือการนำสิ่งที่มีอยู่และได้มาฟรีๆ อย่างพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานน้ำ หรือพลังงานลม มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ผู้เชี่ยวชาญในแวดวงของเทคโนโลยีโซลาร์เซลล์ในประเทศไทยแนะนำว่า การจะพัฒนาเทคโนโลยีนี้ให้ก้าวหน้าได้ ต้อง มีการพัฒนาการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำจนถึง ปลายน้ำ ต้นน้ำ คือ การผลิตวัสดุสำหรับทำโซลาร์เซลล์ ที่เรียกว่า EVA หรือโพลีเมอร์กันความชื้นจากภายนอก ซึ่งปัจจุบัน สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวท.) ได้พัฒนาร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ส่วนเครื่องจักรที่ใช้สำหรับผลิตโซลาร์เซลล์นั้น ประเทศไทยยังไม่สามารถผลิตได้เอง แต่ก็มีแผนที่จะพัฒนาขึ้นเองเพื่อทำให้ต้นทุนการผลิตถูกลง

สำหรับกลางน้ำเป็นเรื่องของการพัฒนาประสิทธิภาพของโซลาร์เซลล์ ซึ่งที่ใช้กันอยู่ปัจจุบันมีอยู่ 2 แบบ คือ แบบหนาที่ต้องใช้ซิลิคอนจำนวนมาก และแบบบางที่ใช้ซิลิคอนน้อย การพัฒนาให้มีการใช้แบบบางก็จะช่วยประหยัดต้นทุน แต่ต้องทำให้มีประสิทธิภาพสูงที่สุดด้วย ส่วนปลายน้ำเป็นการใช้งานแอพพลิเคชั่นต่างๆ ที่พัฒนาขึ้นมา เช่น การผลิตไฟฟ้าน้ำร้อน หลังคาโซลาร์เซลล์ ระบบผลิตไฟฟ้า ระบบปรับอากาศ เป็นต้น

แม้ว่าพลังงานแสงอาทิตย์จะสามารถนำมาใช้ผลิตไฟฟ้า และลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในการผลิตไฟฟ้าได้มากก็ตาม แต่ปัญหาในปัจจุบันคือต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ยังคงสูงอ ยู่ โดยมีต้นทุนการผลิตสูงกว่าการผลิตไฟฟ้า แบบเดิมกว่าเท่าตัว ดังนั้นหากทำให้ค่าไฟที่ได้จากพลังงานแสงอาทิตย์มีราคาเท่ากับค่าไฟฟ้าใน ปัจจุบัน และถ้าเราสามารถผลิตเครื่องจักรเพื่อผลิตวัสดุอุปกรณ์ได้สำเร็จก็จะสามารถนำ พลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด กระทรวงพลังงานเองก็มีแนวทางการส่งเสริมการใช้โซลาร์เซลล์ของไทยในปัจจุบัน โดยได้วางเป้าหมายส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนปี 2551-2554 ให้ได้ 10.8% ของการใช้พลังงานทั้งหมดและกำหนดแผนพัฒนาแสงอาทิตย์เพื่อผลิตไฟฟ้าให้ได้ 45 เมะวัตต์ ผ่านมาตรการส่งเสริมการลงทุน โดยยกเว้นภาษีนำเข้าวัตถุดิบสำหรับผลิตแผงโซลาร์เซลล์เพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า จากพลังงานหมุนเวียน รวมทั้งการสนับสนุนให้เกิดโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ซึ่งโรงไฟฟ้าพลังงานแสง อาทิตย์ขนาด 1 เมกะวัตต์ มีมูลค่าการลงทุน ประมาณ 110 ล้านบาท ใช้แผงโซลาร์เซลล์ขนาด 50 วัตต์ จำนวน 20,000 แผง บนพื้นที่ประมาณ 25 ไร่ การจะสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ จึงต้องหาพื้นที่ประมาณ 25 ไร่ การจะสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ จึงต้องหาพื้นที่ที่เหมาะสม คือ ควรเป็นพื้นที่ที่ได้รับแสงอาทิตย์ ประมาณ 1,800-1,900 ชั่วโมงต่อปี ปัจจุบันประเทศไทยมีโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แล้วในหลายจังหวัด คือ ฉะเชิงเทรา อุดรธานี ลพบุรี อ่างทอง เพชรบุรี และนครสวรรค์ ปัจจุบันมีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ได้ประมาณ 26.4 เมกะวัตต์





จริงๆแล้วกรุงเทพมหานคร เป็นพื้นที่ที่ให้พลังงานแสงอาทิตย์สูงสุดถึง 5.5 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมงต่อตารางเมตร แต่พื้นที่ในกรุงเทพฯ ค่อนข้างแคบและมีราคาแพง จึงเป็นเรื่องน่าเสียดาย แต่ถ้าหากมีการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องแล้ว ในอนาคต คนกรุงเทพฯ ก็อาจจะได้ใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์มากขึ้นซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะกรุงเทพฯ เป็นพื้นที่ที่มีการใช้พลังงานมากที่สุดในประเทศ หันมาดูประเทศที่ให้ความสำคัญกับพลังงานทดแทนมากที่สุดในโลก นั่นคือ ประเทศญี่ปุ่น ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์มากที่สุดประมาณ 46% ของปริมาณการผลิตทั่วโลกที่ 1,656 เมกะวัตต์ รองลงมา คือ ประเทศในแถบยุโรป สัดส่วนการผลิต 28% อันดับที่ 3 คือ สหรัฐอเมริกา สัดส่วนการผลิต 10% และประเทศอื่นๆ มีการผลิตประมาณ 16%

สำหรับประเทศไทยมีแสงอาทิตย์มากกว่าประเทศ ญี่ปุ่น 1.5% แต่ญี่ปุ่นมีการใช้พลังงานแสงอาทิตย์มากกว่าประเทศไทยถึง 100 เท่า นี่แสดงให้เห็นว่า ญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานทดแทนมากแค่ไหน ในขณะที่คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่เห็นความสำคัญของการนำพลังงานทดแทนเหล่านี้มา ใช้ประโยชน์อย่างจริงจัง

ในภาวะราคาน้ำมันแพง รวมทั้งภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน จึงไม่ใช่เรื่องที่จะชะล่าใจกันต่อไปได้อีกว่า เรายังมีพลังงานใช้อย่างฟุ่มเฟือยหากทำให้คนไทยตระหนักว่า พลังงานทดแทนมีความสำคัญมากแค่ไหน และการใช้พลังงานธรรมชาติเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันเราก็จะมีพลังงานใช้ ได้อย่างไม่มีวันหมด โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ เป็นพลังงานสะอาดที่ไม่มีเสียง ไม่มีกลิ่น และไม่สร้างมลพิษ และยังเป็นพลังงานที่จะยังอยู่กับเราไปอีกกว่า 4,000 ล้านปี ถ้าเทคโนโลยีโซลาร์เซลล์ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนมีประสิทธิภาพสูง ขึ้นมาก ปัญหาเรื่องพลังงานคงจะหมดไปจากประเทศไทยหรือโลกใบนี้
ก่อนตะวันจะโผล่พ้นขอบฟ้าในวันพรุ่งนี้ เรายังมีความฝันที่จะเห็นแสงสว่างจากพลังงานของดวงอาทิตย์ในยามค่ำคืน..ทั้ง คืนนี้และคืนต่อๆไป


ขอบคุณข้อมูลภายใต้ความร่วมมือของ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) และ วิชาการ.คอม
โดย วารสาร happiness

มา "จับคู่ สุขภาพดี" กันดีกว่า



อาหารหลายประเภทมีประโยชน์ต่อ ร่างกาย แต่หากสามารถรับประทานกับอาหารที่ส่งเสริมกันจะยิ่งส่งผลดีต่อสุขภาพมากขึ้น ไปอีก


มาดูกัน ว่า อาหารคู่ใดบ้างที่ดีต่อสุขภาพ



ไข่ + น้ำส้ม

หลายคนอาจรับประทานอาหารเช้าคู่นี้โดยไม่ รู้ว่าเป็นอาหารที่ส่งเสริมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ไม่ชอบรับประทานเนื้อสัตว์หรือเป็นมังสวิรัติ ซึ่งอาจจะไม่ได้รับธาตุเหล็กมากเท่าที่ร่างกายต้องการ แม้ว่า ผัก ถั่ว และไข่ จะเป็นอาหารที่มีธาตุเหล็กซึ่งจำเป็นต่อการเสริมสร้างเม็ดเลือด แต่ร่างกายดูดซึมเหล็กจากอาหารเหล่านี้ไปใช้ได้เพียง 2-20 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กจากเนื้อสัตว์ได้ง่ายกว่า การรับประทานอาหารที่วิตามินซีสูง เช่น น้ำส้ม จะช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมธาตุเหล็กจากไข่ ผัก และถั่วได้มากขึ้นถึง 6 เท่า ซึ่งมากพอจะช่วยให้ร่างกายไม่รู้สึกอ่อนเพลียเพราะโลหิตจางได้


ขมิ้น + พริกไทยดำ


แกงกะหรี่ ได้ชื่อว่าเป็น อาหารเพื่อสุขภาพที่คนอินเดียคุ้นเคยกันดี เพราะส่วนผสมหลักคือผงขมิ้นมีประโยชน์ต่อร่างกาย ผลการวิจัยชิ้นล่าสุดพบว่า ผู้ป่วยอัลไซเมอร์ที่รับประทานเคอร์คูมินวันละ 1 กรัม ช่วยให้เซลล์สมองถูกทำลายน้ำลง อย่างไรก็ตามร่างกายดูดซึมสารเคอร์คูมินไปใช้งานได้น้อยมาก แต่ถ้ารับประทานพริกไทยดำไปพร้อมกันด้วยจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารเคอร์คูมิ นมากขึ้นถึง 2,000 เท่า


Hamburger + นม


อาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง เช่น แฮมเบอร์เกอร์ เนื้อติดมัน หมูติดมัน ฯลฯ นับเป็นศัตรูตัวร้ายของสุขภาพ แต่บางครั้งบางคราวหลายคนก็อดใจไม่ได้ หรือบางทีก็จำเป็นต้องรับประทานเพราะความเร่งรีบ หากอยากลดผลกระทบจากไขมันอิ่มตัวเหล่านี้ลงบ้าง ผลการวิจัยแนะนำให้รับประทานเครื่องดื่มหรือของหวานที่มีแคลเซี่ยมสูง เช่น นมไร้ไขมัน นมถั่วเหลือง 1 แก้ว จะช่วยป้องกันไม่ให้ร่างกายดูดซึมไขมันอิ่มตัวเหล่านี้


ชาเขียว + มะนาว


ผล การวิจัยจากประเทศญี่ปุ่นซึ่งติดตามศึกษา ผู้หญิงและผู้ชายจำนวนมากกว่า 40,500 คน พบว่า ผู้ที่ดื่มชาเขียววันละ 5 แก้ว ขึ้นไปเป็นประจำทุกวัน เสี่ยงต่อการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมองน้อยที่สุด แต่ที่น่าเสียดายคือ ระบบย่อยอาหารที่ทำให้สารต้านอนุมูลอิสระในชาเหลือไม่ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ของปริมาณที่มีในชาก่อนดื่ม แต่ถ้าผู้ดื่มชาเขียวเติมน้ำมะนาวหรือน้ำส้มลงไปในชาเขียวเพียงเล็กน้อย วิตามินซีในน้ำมะนาวหรือน้ำส้มจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมอนุมูลอิสระได้ดีขึ้น 13 เท่า ซึ่งทำให้การดื่มชาเขียวเพียงวันละ 1-2 แก้ว ก็ช่วยป้องกันโรคร้ายดังกล่าวอย่าได้ผลแล้ว






ที่มา : นิตยสาร แพรว

+++ Hamster +++

+++ Playlist +++


MusicPlaylistRingtones
Create a playlist at MixPod.com

+++ coming soon +++