วันอาทิตย์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2553

สลัดเครียด เจียดเวลาฮา


จี้เส้นจุดเริ่มต้น
การหัวเราะเป็นกิจกรรมทาง สังคม "เสียงหัวเราะเป็นเสมือนสัญญาณส่งผ่านไปยังผู้อื่น และถ้าคนเราอยู่เพียงลำพัง เสียงหัวเราะนั้นก็มลายหายไป" โรเบิร์ต โพรวีน นักประสาทวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ ผู้แต่งหนังสือ Laughter : A scientific investigation กล่าว และเขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังงานวิจัยชิ้นแรกที่ทำการศึกษาอย่างจริงจังในการ ค้นหาว่าอะไรทำให้มนุษย์เราหัวเราะ โพรวีนพบว่า โดยทั่วไปแล้วเสียงหัวเราะเกิดจากการตอบสนองอย่างสุภาพต่อเรื่องที่คนเราพูด คุยกันทั่วไป อย่างเช่น "มันต้อง เกิดขึ้นแน่" มากกว่าเรื่องตลกอื่นๆ จากการสังเกตของคณะศึกษาอีกกลุ่มก็พบว่า เสียงหัวเราะทำหน้าที่เสมือนเป็นกาวสมานทางสังคม อย่างเด็กทารกจะเริ่มขำเมื่อมีอายุได้ประมาณ 3-4 เดือน ซึ่งเป็นช่วงที่เด็กเริ่มจะแยกแยะและจดจำใบหน้าของแต่ละคนได้และวิธีที่คน เราหัวเราะก็ขึ้นอยู่กับกลุ่มเพื่อนที่เราอยู่ด้วย อย่างพวกผู้ชายมักจะหัวเราะยาวๆ ดังๆ เมื่ออยู่ในกลุ่มเพื่อนผู้ชายด้วยกัน บางทีการหัวเราะแบบนี้เป็นการสร้างความสัมพันธ์ต่อกัน ส่วนผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะหัวเราะเสียงแหลม และหัวเราะบ่อยขึ้นเมื่ออยู่ต่อหน้าเพศตรงข้าม ซึ่งอาจแสดงถึงความสนใจต่อเพศตรงข้าม หรือแสดงการยอมรับในอำนาจของอีกฝ่าย

หัวเราะดีต่อสุขภาพ
นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ถ้าเรานำเสียงหัวเราะมาสังเคราะห์เป็นยาได้ เราคงจะมียาวิเศษที่สามารถรักษาโรคทุกชนิดได้ตั้งแต่โรคซึมเศร้า ไปจนถึงโรคหัวใจเลยทีเดียว การหัวเราะทำให้อวัยวะทุกส่วนตั้งแต่หัวใจ ปอด กล้ามเนื้อ สมอง ไปจนถึงระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างดี การหัวเราะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันของคนเราได้ 2 ทางคือ ทางแรก เพิ่มระดับความ เข้มข้นของแอนติบอดี้ที่เป็นภูมิคุ้มกันหมุนเวียนในกระแสเลือด ส่วนที่สอง เป็นการเพิ่มระดับเม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นตัวกำจัดสิ่งแปลกปลอมที่หลุดเข้ามาในร่างกาย การเปลี่ยนแปลงทั้งสองแบบนี้ จะช่วยทำให้เรามีภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ มากขึ้นนั่นเอง

ในอเมริกา แคนาดา อังกฤษ และอีกหลายประเทศ การรักษาผู้ป่วยด้วยการหัวเราะกำลังเข้ามามีบทบาทแทนที่การบำบัดด้วยการใช้ ยาคลายเครียด และยาแก้ปวด เพราะอารมณ์ขันให้ผลเช่นเดียวกับการออกกำลังกาย เป็นการเพิ่มระดับฮอร์โมนฝ่ายดี เช่นฮอร์โมนเอ็นดอร์ฟิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยระงับความเจ็บปวด และ Neurotransmitter เช่น ฮอร์โมนเซโรโทนิน เป็นฮอร์โมนที่ทำให้เราอารมณ์ดี ขณะเดียวกันก็ทำให้ระดับฮอร์โมนความเครียดลดลง


อาชีพเสี่ยงเครียด
ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม ประธานคณะกรรมการตัดสินการประชันที่สุดของเสียงหัวเราะ ที่จัดโดยพิพิธภัณฑ์ริบลี่ส์ ได้บอกเล่าถึงผลดีผลเสียของการหัวเราะอย่างถูกวิธีว่า
"กลุ่มเสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้ามักจะเป็นนักบริหาร นักวิชาการ และแพทย์ เนื่องจากงานที่ทำอยู่มีภาวะความกดดันสูง ไม่มีเวลาในการบริหารทั้งสุขภาพกายและใจ ส่งผลให้ร่างกาย จิตใจ ไม่มีการขับเคลื่อน การดำเนินชีวิตไม่มีความผ่อนคลาย จากการวิจัยยังพบด้วยว่า กลุ่มผู้ประกอบอาชีพนักบัญชี และวิศวกร เป็นอีกกลุ่มอาชีพที่ประสบปัญหาทางด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และเป็นกลุ่มที่หาสามีหาภรรยาได้ยาก เนื่องจากคนกลุ่มนี้มักมองสิ่งต่างๆ ตามแบบวิธีของตรรกศาสตร์ มองข้ามด้านของความสัมพันธ์ทางด้านจิตใจ"

สำหรับกลุ่มอาชีพที่สุขภาพจิตดี หัวเราะง่าย เป็นกลุ่มอาชีพบริการ ต้องพบปะผู้คน มีการติดต่อสื่อสารอยู่สม่ำเสมอ เช่น นักประชาสัมพันธ์ เนื่องจากต้องมีการพูดคุย บริการผู้อื่นให้เกิดความประทับใจ ส่วนกลุ่มที่มีความสุขอย่างแท้จริงกับกาหหัวเราะนั้น มักเป็นพวกวัยรุ่นที่ยังไม่เข้าสู่ระบบการทำงาน อย่างไรก็ตามจากการศึกษาพบว่า เพศหญิงสามารถหัวเราะง่ายกว่าเพศชาย เนื่องจากเพศหญิง เป็นเพศที่มีความไวต่อความรู้สึก อารมณ์อ่อนไหว เพศชายจะเน้นหนักไปในเรื่องของเหตุผลเป็นหลัก นั่นเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เพศชายมีอายุไขสั้นกว่าเพศหญิง


คนอารมณ์ดีและประสบความสำเร็จ
ส่วนใหญ่จะเป็น คนที่มีอารมณ์ขันเหลือเฟือ เพราะการหัวเราะอย่างสุดเสียงด้วยหัวใจที่สดใส นอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังช่วยกระตุ้นสารเคมีแห่งความสุขให้กับสมองอีกด้วย นอกจากนี้เสียงหัวเราะยังช่วยลดความเครียดและความแปลกแยกระหว่างบุคคลกับคน อื่นได้เป็นอย่างดี เพราะฉะนั้น วันนี้ คุณหัวเราะแล้วหรือยัง!

“ตำราแห่งชีวิต” .. Life book

Life book หรือ “ตำราแห่งชีวิต”

ซึ่งเหมาะเจาะกับเนื้อหาและคำแนะนำที่น่าสนใจยิ่ง ทั้งง่ายและตรงไปตรง มา, ใครจะทำก็ได้, ไม่ทำก็ได้, เป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล, ไม่บังคับยัดเยียดกัน, ไม่ต่อว่าต่อขานกัน, แต่ถ้าหากมีความมุ่งมั่นจะทำอะไรให้กับชีวิตของตนเอง, ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าส่งเสริมสนับสนุนสมควรจะให้กำลังใจแก่กันและกันอย่าง ยิ่ง

สูตรที่ว่านี้มีง่าย ๆ อย่างนี้

1. ดื่มน้ำให้มาก

2. กินอาหารเช้าเหมือนราชา, รับประทานอาหารเที่ยงเหมือนเจ้าชายและเมื่อถึงอาหารเย็น, ให้วาดภาพว่าตัวเองเป็นแค่ขอทาน (แปลว่ากินมือหนักที่สุดตอนเช้า, และกลาง ๆ ตอนเที่ยงและตกเย็นแล้ว, ทำตัวเป็นยาจก, ไม่มีอะไรจะกิน...สุขภาพจะเป็นอย่างเทวดาทีเดียวเชียวแห??ะ)

3. กินอาหารที่โตบนต้นและบนดิน, พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่ผลิตจากโรงงาน

4. ใช้ชีวิตบนหลักการ 3 E...นั่นคือ energy หรือพลังงาน, enthusiasm หรือกระตือตือร้น และ empathy คือเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มาก ๆ

5. หาเวลาทำสมาธิหรือสวดมนต์เสมอ

6. เล่นเกมสนุก ๆ เสียบ้าง, อย่าเครียดกันนักเลย

7. อ่านหนังสือให้มากขึ้น...ตั้งเป้าว่าปีนี้จะอ่านมากกว่าปีที่ผ่านมา

8. นั่งเงียบ ๆ อยู่กับตัวเองสักวันละ 10 นาทีให้ได้

9. นอนวันละ 7 ชั่วโมง

10.เดินสักวันละ 10 ถึง 30 นาที, แล้วแต่จะสะดวก, ไม่ต้องเครียดกับมัน, วันไหนไม่ได้เดิน, ก็อย่าหงุดหงิดกับมัน

11.ระหว่างเดิน, อย่าลืมยิ้ม

นั่นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสุขภาพกายและใจที่ผสมปนเปกันได้เสมอ, หากทำเป็นกิจวัตร, ชีวิตก็จะแจ่มใส, แต่อย่าทำให้ตัวเองเครียดด้วยการรู้สึกผิดถ้าหากวันไหนทำไม่ได้ตามที่วาง กำหนดเวลาของตนเอาไว้

วันนี้ทำไม่ได้, พรุ่งนี้ทำก็ได้
แต่การไม่เอาจริง เอาจังกับตัวเองเกินไปไม่ได้หมายถึงการผัดวันประกันพรุ่ง, ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน

สูตรเกี่ยวกับบุคลิกของตัว เองที่ควรไปจะคู่กับสูตรสุขภาพมีอย่างนี้

1. อย่าเปรียบเทียบชีวิตของตัวเองกับคนอื่น คุณไม่รู้หรอกว่าคนที่คุณอิจฉานั้นเขามีความทุกข์ยิ่งกว่าคุณอย่างไรบ้าง

2. อย่าคิดทางลบเกี่ยวกับเรื่องที่คุณควบคุมหรือกำหนดไม่ได้ แทนที่จะมองโลกในแง่ร้าย, ก็ทุ่มเทกำลังและพลังงานให้กับความคิดทางบวก ณ ปัจจุบันเสีย

3. อย่าทำอะไรเกินกว่าที่ตัวเองทำได้...รู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ที่ไหน

4. อย่าเอาจริงเอาจังกับตัวเองนัก เพราะคนอื่นเขาไม่ได้ซีเรียสกับคุณเท่าไหร่หรอก

5. อย่าเสียเวลาและพลังงานอันมีค่าของคุณกับเรื่องหยุมหยิมหรือเรื่องซุบ ซิบ....นอกเสียจากว่ามันจะทำให้คุณผ่อนคลายได้อย่างจริงจัง

6. จงฝันตอนตื่นมากกว่าตอนหลับ

7. ความรู้สึกอิจฉาริษยาเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า ๆ ปลี้ ๆ...คิดให้ดีก็จะรู้ว่าคุณมีทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องมีแล้ว

8. ลืมเรื่องขัดแย้งในอดีตเสีย และอย่าได้เตือนสามีหรือภรรยาคุณเกี่ยวกับความผิดพลาดในอดีตของอีกฝ่ายหนึ่ง เลย เพราะมันจะทำลายความสุขปัจจุบันของคุณ

9. ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าที่เราจะไปโกรธเกลียดใคร...จงอย่าเกลียดคนอื่น

10.ประกาศสงบศึกกับอดีตให้ สิ้น, จะได้ไม่ทำลายปัจจุบันของคุณ

11.ไม่มีใครกำหนดความสุขของคุณ ได้นอกจากคุณเอง

12.จงเข้าใจเสียว่าชีวิตก็คือ โรงเรียน คุณมาเพื่อเรียนรู้ และปัญหาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลักสูตรซึ่งมาแล้วก็หายไป...เหมือนโจทย์วิชา พีชคณิต...แต่สิ่งที่คุณเรียนรู้นั้นอยู่กับคุณตลอดชีวิต

13. จงยิ้มและหัวเราะมากขึ้น

14. คุณไม่จำเป็นต้องชนะทุกครั้งที่ถกแถลงกับคนอื่นหรอก...บางครั้งก็ยอมรับว่า เราเห็นแตกต่างกันได้...เห็นพ้องที่จะเห็นต่างก็ไม่เห็นเสียหายแต่อย่างไร

แล้วเราควรจะมีทัศนคติอย่าง ไรต่อชุมชนและคนรอบข้างเราล่ะ?

1. อย่าลืมโทรฯหาครอบครัวบ่อย ๆ

2. จงหาอะไรดี ๆ ให้คนอื่นทุกวัน

3. จงให้อภัยทุกคนสำหรับทุกอย่าง

4. จงหาเวลาอยู่กับคนอายุเกิน 70 และต่ำกว่า 6 ขวบ

5. พยายามทำให้อย่างน้อย 3 คนยิ้มได้ทุกวัน

6. คนอื่นเขาคิดอย่างไรกับคุณไม่ใช่เรื่องของคุณสัก หน่อย

7. งานของคุณไม่ดูแลคุณตอนคุณป่วยหรอก แต่ครอบครัวและเพื่อนคุณต่างหากเล่าที่จะดูแลคุณในยามคุณมีปัญหาสุขภาพ ดังนั้น, อย่าได้ห่างเหินกับคนใกล้ชิดเป็นอันขาด

และถ้าหากสามารถดำรงชีวิตให้ มีความหมายได้, ก็ควรจะทำดังต่อไปนี้

1. ทำสิ่งที่ควรทำ

2. อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์, ไม่สวย, ไม่น่ารื่นรมย์, จงทิ้ง ไปเสีย...เก็บไว้ทำไม?

3. เวลาและพระเจ้าย่อมรักษาแผลทุกอย่างได้

4. ไม่ว่าสถานการณ์จะดีหรือเลวปานใด, เดี๋ยวมันก็เปลี่ยน

5. ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรในตอนเช้าของทุกวัน, จงลุก จากเตียง, แต่งตัวและปรากฎตัวต่อหน้าคนที่เราร่วมงาน ด้วย...get up, dress up and show up.

6. สิ่งที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึง

7. ถ้าคุณยังลุกขึ้นตอนเช้าได้, อย่าลืมขอบคุณพระเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุณนับถือเสียด้วย

8. เชื่อเถอะว่าส่วนลึก ๆ ในใจของคุณนั้นมีความสุข เสมอ...ดังนั้น, ส่วนนอกของคุณทุกข์โศกไปทำไมเล่า?

ความสุขซ่อนไว้ที่ไหน ?





มีมารน้อย 3 ตน แอบมาขโมยความสุขของมนุษย์
เอาไปแล้ว ก็ปรึกษากันว่าจะเอาไปซ่อนที่ไหนดี


ตนแรกก็ว่า ควรเอาไปซ่อนที่ภูเขาที่สูงที่สุดในโลก

แต่ มารน้อยตนที่2ว่า เพื่อนเอ๋ย มนุษย์นั้น ไม่กลัวความสูง แต่กลัวหายใจไม่ออก
เพราะสังเกตได้ว่า ดำน้ำได้นิดเดียวก็ทะลึ่งพรวดขึ้นมาแล้ว เพราะกลัวหายใจไม่ออก
แต่บนภูเขาอากาศดี มนุษย์ชอบไปเที่ยวภูเขา เอาไปซ่อนไว้ใต้บาดาลดีกว่า

มารน้อยตนที่3 แย้งว่า อย่าเลยเพื่อนเอ๋ย มนุษย์มันเก่ง
สร้างเครื่องมือหาของในทะเล ในอากาศได้ เดี๋ยวมันก็หาเจอ


แต่ สังเกตได้ว่า นัยน์ตามนุษย์มองไปข้างนอก หูก็ชอบฟังเสียงข้างนอก ชอบไปเที่ยวข้างนอก
เราควรแอบเอาไปซ่อนไว้ในใจมันดีกว่า มนุษย์หาไม่เจอแน่ ๆ
เพราะว่ามนุษย์ชอบหาความผิดของคนอื่น ไม่ชอบขัดใจคัวเอง
ไม่ชอบดูจิตใจของตัวเอง มารน้อยทั้ง 3 ตน ก็ตกลงความเห็นเป็นเช่นเดียวกัน

ตั้งแต่นั้นมา มารน้อยก็เอาความสุขของมนุษย์มาซ่อนไว้ที่ใจ
มนุษย์ผู้โง่เขลาจึงออกไป หาความสุขที่อื่น ที่ภูเขา ที่ชายทะเล ที่คลับ ที่ร้องเพลง
จึงหาความ สุขไม่พบ ต้องออกไปข้างนอกหาความสุขในที่ผิด ๆ ตลอดมา

อนึ่งคนที่ไป เที่ยวเธคเที่ยวคลับกินเหล้า เพราะว่าเขามีทุกข์
จึงต้องออกไปหาความ สุขมากลบเกลื่อน มาเฉลี่ยเพื่อให้ทุกข์นั้นน้อยลง
แต่พอเมาแล้วกลับบ้าน หายเมาตื่นเช้ามา ทุกข์นั้นก็ยังคงมีอยู่เหมือนเดิม
โดยหารู้ไม่ว่า ความสุขที่เฝ้าติดตามเฝ้าหา อยู่ที่ใจตัวเองนั่นเอง


ใยต้องออกไปหาความสุขที่อื่น .............ต่อให้หาเท่าไหร่
แต่ใจยังร้อนรุ่ม ไม่สงบ ก็หาสุขนั้นไม่พบหรอก.........

เงิน หรือ ความเอาใจใส่ มีค่ามากกว่ากัน







ทำไมหัวใจถึงเอียงซ้าย





เราใส่นาฬิกามือซ้าย

ที่ ใส่มือซ้ายเพราะถนัดขวา

ยกมือซ้ายขึ้นมาดูเวลาได้ง่าย

แต่ ถึงมีนาฬิกาเราก็ชอบไปสายอยู่ดี

นาฬิกาก็แค่บอกเวลา . . ไม่ได้ทำให้เราไปเร็วขึ้น


คิดดูแล้ว . . หัวใจก็อยู่ทางซ้ายเหมือนกัน

บางทีเราก็คิดนะ . . ว่าอวัยวะในร่างกายที่มี 2 ชิ้น

จะอยู่ซ้าย - ขวาอย่าง แขน, ขา, ลูกตาทำนองนั้น . .

แล้วที่มีชิ้นเดียว . . ก็แสดงความโดดของมัน

อย่าง จมูก, สะดือก็อยู่ตรงกลาง . . ประมาณนั้น


แล้วทำไม . . หัวใจถึงเอียงซ้ายล่ ะ ? ?

บาง ทีเราก็คิดว่า . . ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะ

ใครบางคนอยากเตือนให้เรา รู้ว่า . .


หัวใจเรา ไม่หนักแน่นพอจะอยู่ตรงกลาง

แล้วก็ไม่มีมากพอจะแบ่งเป็นสองด้วย เหมือนกัน



+++ Hamster +++

+++ Playlist +++


MusicPlaylistRingtones
Create a playlist at MixPod.com

+++ coming soon +++