วันพุธที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ต้นไม้กับไม้ขีดไฟ




ทุกๆ อย่างในโลก มีแง่มุมมากมายให้ค้นหา
ของสิ่งเดียวกันสามารถให้ทั้งประโยชน์และโทษ
ขึ้น อยู่กับว่า ใครเป็นผู้ใช้..และใช้อย่างไร
หลายครั้งที่เราพบว่า


ขณะที่เรากำลัง สร้าง อะไรสักอย่างอยู่นั้น
กลับเป็นการ ทำลาย อะไรอีกหลายอย่าง
ไม่มีอะไรที่ได้มาเปล่าๆ โดยไม่ต้องเอาอะไรไปแลก

บาง ครั้งก็คุ้มค่า…กับการยอมเสียอะไรสักอย่าง
เพื่อที่จะได้อะไรอีก อย่างกลับมา
แต่ก็มีหลายครั้ง…ที่ลืมนึกไปว่า
ของที่ได้กลับมาไม่ คุ้มค่าเท่ากับของที่เสียไป


ขณะที่เราเดินเที่ยวอยู่ในศูนย์การค้า
เราก็จะเสียเวลาที่จะได้อ่านหนังสือเล่มโปรดที่อ่านค้างไว้
เด็ก วัยรุ่นที่นั่งพับนก จะต้องฉีกกระดาษนับร้อยชิ้น
ศิลปินที่โด่งดังบน เวที…กำลังทิ้งคนที่รักไว้ที่บ้าน
ไม่มีใครบอกได้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับวันพรุ่งนี้
เป็นคำถามที่ไม่ต้องตอบก็ได้…แค่เอาไว้ นึกดูเล่นๆ
ถ้ารู้ว่าวันหนึ่งหนังสือเล่มโปรดเล่มนั้นจะหายไป
เราจะไปศูนย์การ ค้าอยู่ไหม


ถ้าต้องเขียนจดหมาย
เพื่อบอกข่าวสำคัญให้กับใครสักคน
เรา จะฉีกกระดาษเพื่อพับนกหรือเปล่า

ถ้า คืนหนึ่งกลับมาบ้านแล้วพบว่า
คนที่เรารัก..ไม่ได้อยู่เพื่อให้เรารักอีก ต่อไป
เราจะยังออกจากบ้านไปอยู่ไหม
ความสำคัญและความจำเป็นของคน
ไม่ เท่ากันก็จริง…


แต่การเสียไปเพื่อได้มานั้น
จะต้องอยู่บนความรอบคอบ
และคิดมาอย่างดีแล้วทั้งสองด้าน


ต้นไม้หนึ่งต้นไม่ อาจสร้างไม้ขีดได้นับร้อยล้านก้าน
แต่ไม้ขีดก้านเดียว
อาจทำลาย ต้นไม้ได้นับร้อยล้านต้น

ไม่มีใครคิด แทนใครได้
จึง เป็นเรื่องยากที่จะบอกว่า…
เราควรเสียอะไรไป เพื่อได้อะไรมา
และ เรา…ควรเป็น
ต้นไม้หรือไม้ขีดไฟ


เทคนิคการต่อราคากับแม่ค้า


เวลา ไปซื้อของตามย่านขายสินค้าราคาถูกอย่างบางลำพู หรือ สวนจตุจักร เรามักจะตกเป็นเหยื่อให้กับแม่ค้าหัวใสที่มากด้วยประสบการค้าใช้กลยุทธ์มาก มายเพื่อขายสินค้าให้กับเรา แล้วก็ได้ผลเสียด้วยซิ เราก็ซื้อเขาทุกทีไป แล้วยังกระหยิ่มว่าซื้อของได้ถูก แต่ที่จริงแม่ค้าเขาได้กำไรกับเรากว่าเท่าตัว เรามักจะคุ้นเคยกับประโยคหลายประโยคจากแม่ค้าว่า “ไม่ได้บอกผ่าน” “ราคานี้ก็ขายขาดทุนแล้ว” “ กำไรแค่ 10 บาทเอง” “ ลองไปถามดูเลยแถวนี้ที่นี่ถูกสุดแล้ว” ฯลฯ ร้อยแปดลมปากที่แม่ค้าบอกคุณ

วันนี้ เราลองมาหากลยุทธ์การรับมือแม่ค้าเหล่านี้กันดูนะคะ

1. ต้องตั้งปณิธานไว้ในใจว่า ไม่ขายก็ไม่เอา ค่อยซื้อร้านใหม่ เพราะถ้าเราแสดงความอยากได้ให้แม่ค้าเห็นคุณก็ต่อยากแน่นอน บางทีเขาเห็นอาการของคุณเขาก็ไม่ลดแล้ว

2. หากคุณเป็นผู้ชายไปคนเดียวและไปซื้อของเกี่ยวกับผู้หญิง ประเภทกุ๊กกิ๊ก ไปคนเดียว แน่นอนถ้าคุณไม่ทำการบ้านมาดีๆ โดนแม่ค้าฟันกำไรเลือดสาด เพราะสิ่งเหล่านั้นผู้ชายไม่จัดเจน กรณีนี้มีวิธีแก้ไม่ยาก ก่อนอื่นคุณต้องทราบราคาสินค้าทั่วไปในสิ่งที่คุณจะซื้อเสียก่อนจะได้ต่อรอง ถูก เมื่อเลือกของที่จะซื้อถูกใจแล้วก็ค่อยถามราคา แม่ค้าอาจจะถามคุณว่า “ซื้อไปให้แฟนหรือค่ะแหมคุณนี่เลือกเก่งนะค่ะรุ่นนี้ขายดีมากผู้หญิงชอบ” และแม่ค้าจะบอกราคาคุณ คุณต้องตอบว่า “ ครับแฟนผมฝากมาซื้อ ” แจ้งราคาที่ต้องการโดยลบจากราคาที่แม่ค้าบอกไป30% แน่นอนแม่ค้าจะบอกคุณว่าไม่ได้ เพราะเขารู้ว่าผู้ชายไม่ช่างเลือก ไม่ช่างต่อ คุณต้องใช้ความเด็ดขาดเปล่งเสียงออกไปอย่างหนักแน่นว่า “ แฟนเขาบอกว่าให้ซื้อราคานี้ถ้าไม่ได้ก็ไม่เอาครับเขาให้ไปดูอย่างอื่นแทน ” แล้วเดินออกจากร้านทันที อย่าพิรี้พิไรเลือกตัวอื่นต่อ เมื่อคุณพ้นประตูร้าน เขาจะเรียกตามคุณว่าก็ได้ แล้วพูดพึมพำว่า “ ชิ้นนี้พิเศษสำหรับคุณนะค่ะใช้ดีวันหลังบอกต่อนะค่ะ”

3. ถ้าคุณเป็นผู้หญิงจะไปซื้อของในแบบฉบับผู้ชาย เช่น อะไหล่รถยนต์ เปลี่ยนยางรถยนต์ อุปกรณ์กีฬา ฯลฯ คุณต้องรู้ในเรื่องนั้นๆพอหอมปากหอมคอ เช่น เปลี่ยนยางในร้านที่คุณไม่คุ้นเคยเลย เมื่อไปถึงต้องชวนช่างคุยก่อน เช่น “ ราคายางเดี๋ยวนี้ถูกกว่าแต่ก่อนนะค่ะ เพิ่งเปลี่ยนคันที่บ้านไปแค่พันบาทเอง เดี๋ยวนี้เขาไม่คิดค่าแรงด้วย ร้านพี่ก็คงเหมือนกันใช่ไหมค่ะ ดูมีมาตราฐานกว่ามาก ” เขาจะรู้สึกต่อคุณดีขึ้นมีภูมิเรื่องรถมากขึ้น ในรายที่จะหลอกคุณก็จะไม่กล้าหลอก จำไว้ว่าแม้นคุณจะมีความรู้เรื่องรถแค่หางอึ่งก็อย่าบอกเขา เพราะอาจโดนมิจฉาชีพหลอกต้ม เอาได้ แถมอาจจะได้ราคาถูกอีกด้วย

4. ถ้าคุณเป็นผู้หญิงไปซื้อของกับแม่ค้าผู้หญิง แม้ค้าจะดูลัษณะของเราและตั้งราคาตามสายตาและพฤติกรรมของเรา (กรณีที่ไม่ได้ติดป้ายราคา) เขารู้ดีว่าคุณช่างต่อ เพราะฉนั้นเขาจะตั้งราคาเผื่อเช่น ของราคา 350 บาท เขาจะตั้งไว้ 399 บาท โดยทั่วไปคนซื้อจะต่อ350ถ้วน เขาจะทำท่าทางว่าไม่ได้กำไร แล้วขอเพิ่มเป็น 370 บาท ลูกค้าก็อาจยืนยัน350บาท มาถึงตรงนี้เขาจะปิดการขายโดยถามคุณว่าจะรับกี่ตัวดี คุณชักลังเล เขาเห็นท่าว่าคุณจะไม่เอาเขาก็จะปล่อยของให้คุณทันที 350 บาท ซึ่งก็จะตรงตามเป้าที่เขาตั้งไว้สบายไป บางคนก็อาจยอมแม่ค้าในราคา370บาท คุณก็จะกลับบ้านไปกับความภูมิใจว่าซื้อของได้ถูกซึ่งในความเป็นจริงเขาฟัน กำไรจากคุณไปกว่า 50%ซ้ำ

วิธีที่ถูกต้องคือ คุณต้องต่อรองเหลือ 250 เพื่อทิ้งช่วงให้แม่ค้า เขาจะบอกคุณว่าไม่ได้ลดได้แค่ 300 เอง ไม่มีกำไรแล้ว คุณก็บอกว่าพบกันครึ่งทาง 270 ก็แล้วกัน ยื้อกันสักพักคุณเชื่อไหมเขาจะขายให้คุณทันที เขาจะไม่ต่อรองราคานี้นานเพราะลูกค้าคนใหม่กำลังเข้าร้านมาอาจจะได้ยินราคา ที่เขาลดให้คุณ อีกทั้งราคาที่ให้ก็กำไรแล้ว (จำไว้ว่าสินค้าประเภทเสื้อผ้าเขาคืนโรงงานไม่ได้ แม่ค้าจำเป็นต้องระบายสินค้าให้หมดไม่งั้นขาดทุน ถ้าแบบผ้าล้าสมัยแฟชั่นใหม่เข้ามาแทนที่ เขาจึงยอมกำไรน้อยแต่ปล่อยของเร็ว )

5. ถ้าคุณเป็นผู้ชายซื้อของที่พ่อค้าผู้ชายขาย ต้องจำไว้อย่างหนึ่งว่า เขาขี้รำคาญคนต่อ เขาไม่ชอบตื้อ คุณไม่เอาเขาก็ไม่ขาย เทคนิคในการเดินหนีนั้นใช้ไม่ได้ผลหรอก เขาไม่มีทางตะโกนตามหลังคุณ ถ้ามีก็น้อยมาก ถ้าคุณสำรวจมาแล้วว่าเขาขายถูกกว่าทุกร้าน และคุณจำเป็นต้องใช้ของนี้ ควรต่อรองแค่พอประมาณ ไม่เหนือบากกว่าแรงเขาจะลดให้คุณทันที ซึ่งคุณต้องรู้ราคาของจริงๆ ก่อน

6. หากเจอแม่ค้าสาวประเภท 2 คุณสามาถแสดงความสนใจในสินค้าของเจ้าหล่อนได้อย่างเต็มที่ และเอ่ยปากชมเธอที่ช่างมีตาถึงสามารถเลือกสินค้าคุณภาพสวยงามมาขายได้เริ่ด ขนาดนี้ เธอจะปลื้มและพาคุณทัวร์ทั้งร้านอย่างสบายใจ เมื่อคุณต่อรองเจ้าหล่อนมักจะให้ทันที แถมอาจหิ้วของส่งคุณขึ้นแท๊กซี่อีกต่างหาก ตรงข้ามถ้าคุณเริ่มต้นตำหนิสิ้นค้าแถมต่อรองแบบบ้าเลือด นอกจากเจ้าหล่อนจะไม่ขายให้แล้ว อาจแถมรองเท้าไล่หลังมาก็ได้

ข้อควรปฏิบัติ ในการรับประทาน อาหารเจ

อาหาร อาหารเจ

1.) พืชผักและผลไม้ เป็นของคู่กันเสมอ นอกจากผักสดๆ ที่นำมาปรุงเป็นอาหารแล้ว คนกินเจจำเป็นต้องรับประทานผลไม้สดๆ หลังอาหารทุกมื้ออย่างสม่ำเสมอ การเลือกซื้อผักผลไม้เพื่อนำมาปรุง และการบริโภคในแต่ละวันควรจัดให้ได้ครบตามสีของธาตุทั้ง 5 ดังนี้

1. สีแดง (แดงส้ม, แสด, ชมพู) สัญลักษณ์ ธาตุไฟ

2. สีดำ (น้ำเงิน, ม่วง) สัญลักษณ์ ธาตุน้ำ

3. สีเหลือง (เหลืองแก่, เหลืองอ่อน) สัญลักษณ์ ธาตุดิน

4. สีเขียว (เขียวเข้ม, เขียวอ่อน) สัญลักษณ์ ธาตุไม้

5. สีขาว (ขาวนวล, ขาวสะอาด) สัญลักษณ์ ธาตุโลหะ

ผักผลไม้ไม่จำเป็นต้องมีราคาแพงหรือเป็นประเภทยาก เช่น พวกผักผลไม้เมืองหนาว ควรยึดหลักราคาถูก ประหยัด แต่มีคุณประโยชน์สูง จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่รู้จักฉลาดกิน ฉลาดใช้ ประหยัดยอด ประโยชน์เยี่ยม

ประเทศไทยเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ด้วยผักผลไม้หลายหลาก ตลอดปีเราสามารถหามาบริโภคได้ไม่ขาดแคลน จึงควรเลือกซื้อมาปรุงและบริโภคให้ครบทั้ง 5 สี โดยสลับเปลี่ยนหมุนเวียนนำมาบริโภคในแต่ละวันโดยไม่ซ้ำกัน และไม่ควรเลือกทานเฉพาะอย่างหนึ่งอย่างใดที่ตนชอบ โดยไม่คำนึงถึงคุณประโยชน์หลายๆ ท่านเลือกรับประทานผักผลไม้เฉพาะอย่างเพื่อความอร่อยเท่านั้น เป็นการรับประทานอาหารเจที่ยังไม่ถูกหลัก

2.) เมล็ดธัญพืช นอกจากผักผลไม้ที่ต้องรับประทานให้ครบทุกสีเป็นประจำแล้ว เมล็ดธัญพืชได้แก่ ถั่ว ถั่วแปลกแข็งทุกประเภท พืชที่เป็นหัวในดิน เช่น เผือก มัน กลอย มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก โดยเฉพาะเมล็ดถั่วมีสารอาหารครบทุกหมู่ ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต คือแป้งและน้ำตาล โปรตีน ไขมัน วิตามิน เกลือแร่หลายชนิด คนที่กินเจควรรับประทานถั่วทั้ง 5 สีเป็นประจำ ได้แก่ ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่งเหลือง ถั่วเขียว ถั่วขาว

ถั่วทั้ง 5 สีนี้ ราคาไม่แพงมีอยู่แพร่หลาย บางทีก็ทำเป็นของหวานต่างๆ เช่น ถั่วดำบวช ถั่วแดงต้มน้ำตาล ถั่วเหลืองน้ำกะทิ (เต้าส่วน) ถั่วเขียวต้มน้ำตาลกรวด ถั่วลิสงอบ หรือเคลือบน้ำตาล ลูกเดือยบวช ถั่วขาวกวน ฯลฯ สำหรับถั่วขาวไม่ค่อยจะมีการปลูกแพร่หลายในประเทศไทย แต่ก็สามารถรับประทานถั่วลิสงซึ่งให้ประโยชน์ทดแทนกันได้

ทุก คนควรรับประทานถั่วดังกล่าวหมุนเวียนไปให้คบทุกสีจะทำให้ร่างกาย ได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ และช่วยเสริมให้อวัยวะหลักสำคัญภายในทำงานได้ดียิ่งขึ้น

เนื้อเมล็ดในของพืชผัก อันได้แก่ เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง เมล็ดแตงโม มันฮ่อ นับเป็นของขบเคี้ยวที่คนกินเจรู้จักดี เนื้อในของเมล็ดพืชดังกล่าว เป็นแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินมากมายหลายชนิด ซึ่งทรงคุณค่าทางโภชนาการอย่างยิ่ง

อาหารเจ

ถั่วทั้ง 5 สีที่ให้คุณประโยชน์ต่ออวัยวะหลักภายใน

1. ถั่วแดง (RED BEANS) ให้คุณต่อหัวใจ

2. ถั่วดำ (BLACK BEANS) ให้คุณต่อไต

3. ถั่วเหลือง (SOY BEANS) ให้คุณต่อม้าม

4. ถั่วเขียว (GREEN BEANS) ให้คุณต่อตับ

5. ถั่วขาว (WHITE BEANS) ให้คุณต่อปอด

ธาตุทั้ง 5 สี ถั่วแต่ละสี บำรุงอวัยวะ ธาตุไฟ ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุไม้ ธาตุโลหะ แดง ดำ เหลือง เขียว ขาว ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วขาว หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอด

3.) การได้รับประทานสาหร่ายทะเลทั้งสดและแห้งพร้อม ทั้งใช้เกลือทะเลมาปรุงลงในอาหาร ทั้ง 2 อย่างนี้มีไอโอดีน ซึ่งจะสามารถป้องกันโรคคอพอกได้เป็นอย่างดี

4.) งาขาวและงาดำ ในอาหารและขนมคนกินเจควรใช้งาปรุงผสมด้วยเสมอ ไม่ว่าจะเป็นงาขาวหรืองาดำ เพราะในเมล็ดงามีกรดไขมันไลโนเลอิค (LINOLEIC ACID) ซึ่งจำเป็นต่อร่างกายมากแต่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้

สำหรับผู้ทำอาหารเจรับประทานเอง ให้นำงาขาวมาล้างเอาผงฝุ่นออกจนสะอาดดี ตักใส่ตะแกรงทิ้งไว้ให้หมาดแล้วใช้ไฟอ่อนๆ คั่วในกระทะจนสุกเหลืองพอเย็นจึงนำมาโขลกหรือ ปั่นให้แตกด้วยเครื่อง จะทำให้ได้ประโยชน์จากน้ำมันที่อยู่ในเมล็ดดียิ่งขึ้น งานที่บดแล้วจะมีกลิ่นหอมสามารถนำใช้ปรุงอาหาร และขนมได้ทุกประเภท ทำให้มีรสดี หอมน่ารับประทาน โดยปกติผู้ที่กินเจควรรับประทานงานในปริมาณวันละ 2 ช้อนโต๊ะ ก็นับว่าเพียงพอแก่ความต้องการของร่างกาย

5.) ผู้ที่กินเจ ไม่ควรรับประทานรสจัดเกินไป เช่น เผ็ดจัด เค็มจัด ขมจัด เปรี้ยวจัด หวานจัด รสชาติที่จัดมากๆ จะส่งผลไปถึงอวัยวะหลักดังนี้

รสขม ส่งผลต่อ หัวใจ
รสเค็ม ส่งผลต่อ ไต
รสหวาน ส่งผลต่อ ม้าม
รสเปรี้ยว ส่งผลต่อ ตับ
รส เผ็ด ส่งผลต่อ ปอด


6.) หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารหมักดอง เช่น ผักดอง ผลไม้ดอง เครื่องกระป๋อง อาหารสำเร็จรูป ควรหันมารับประทานอาหารสดที่ปรุงใหม่ๆ จะให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า

7.) เครื่องดื่ม คนกินเจควรดื่มน้ำผลไม้สดๆ ตามธรรมชาติ เช่น น้ำส้ม น้ำมะเขือเทศ น้ำสับปะรด น้ำอ้อย น้ำมะพร้าว น้ำใบบัวบก น้ำมะตูม ฯลฯ น้ำผลไม้ดังกล่าวจะทำให้ร่างกายและผิวพรรณสดชื่นเปล่งปลั่ง เราควรงดน้ำหวานที่ปรุงแต่งรสและเจือสีสังเคราะห์ เพื่อหลีกเลี่ยงพิษภัยจากสิ่งปลอมปน

นอกจากการดื่มน้ำผลไม้สดๆ แล้ว ทุกคนต้องดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละ 8 แก้ว เป็นประจำ

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นหลักความรู้ในการปรุงและบริโภคอาหารเจ ซึ่งคนกินเจต้องยึดถือปฏิบัติ เพื่อให้ได้มาซึ่งพลานามัยที่สุขสมบูรณ์พร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจ


ขอบคุณเนื้อหาจาก บ้านฝัน.คอม

7 วิธีใช้คอมพิวเตอร์ แบบทำร้ายตัวเอง




วิธีที่ 1 ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ จอ
เพราะ ระยะห่างที่ปลอดภัยระหว่างดวงตาของเรากับจอคอมพิวเตอร์อยู่ที่ 20-24 นิ้ว ดังนั้นถ้าเรายื่นหน้าเข้าไปให้ใกล้กว่านั้น ดวงตาเราก็จะได้รับทั้งรังสีปริมาณมาก และได้เพ่งจอใกล้ๆ ด้วย ผลที่จะได้ระยะสั้นคือปวดหัว ปวดตา ส่วนระยะยาวคืออาจจะเป็นต้อหินและตาบอดได้ในที่สุดค่ะ
 วิธีที่ 2 ตั้งจอให้แสงสะท้อนเข้าตา
พยายาม หันหน้าจอให้มีแสงจ้าๆ สะท้อนเข้าตาเรา เช่น วางจอไว้ใกล้หน้าต่างตอนกลางวัน หรือตั้งโคมไฟไว้ใกล้ๆ หน้าจอ เพราะแสงที่สะท้อนออกมาจากจอคอมพิวเตอร์สามารถทำให้ดวงตาของเราเมื่อยล้าได้ ง่ายๆ สมใจค่ะ
 วิธีที่ 3 จ้องจอนานๆ 
พยายาม จ้องจอคอมพิวเตอร์ให้มากกว่าครั้งละ 30 นาที ถ้าเริ่มรู้สึกปวดตาเมื่อไหร่แสดงว่าใช้ได้แล้ว เพราะนั่นหมายถึงดวงตาเริ่มล้าแล้ว ทำบ่อยๆ คุณภาพตาจะแย่ลงเรื่อยๆ ถ้าไม่กระพริบตาเลยจะยิ่งดี เพราะจะทำให้ตาแห้ง แล้วก็แสบตาในที่สุด ส่วนแผนกระจกกรองแสงถ้ามีก็ถอดออกเสีย เพราะจะเป็นการกรองรังสีจากจอ ดวงตาจะปลอดภัยเกินไปค่ะ
 วิธีที่ 4 นั่งให้ผิดท่า
ชุดเก้าอี้และ โต๊ะที่ใช้ถ้าหาแบบที่ต่างระดับกันได้มากๆ จะทำให้ท่านั่งผิดสุขลักษณะ ซึ่งจะส่งผลเสียโดยตรงต่อกล้ามเนื้อกับกระดูกที่แขน ไหล่ หลัง และคอ และเราสามารถเพิ่มระดับความอักเสบของกล้ามเนื้อให้มากขึ้นด้วยการนั่งที่ผิด ท่า นั่นก็คือเวลาใช้คอมพิวเตอร์อย่านั่งหลังตรง ให้นั่งค้อมไปข้างหน้าบ้าง แอ่นไปข้างหลังบ้าง
 วิธีที่ 5 วางคีย์บอร์ดให้ผิดทาง
เวลาพิมพ์งาน ลองหามุมวางคีย์บอร์ดแล้วทำให้ต้องวางมือยากๆ ควรวางข้อมือบนโต๊ะหน้าคีย์บอร์ดถ้าหากจำเป็น การพิมพ์ก็ให้กดแป้นพิมพ์ควรกดแป้นพิมพ์แรงๆ เพราะเมื่อทำต่อเนื่องไปนานๆ จะเมื่อยและเจ็บนิ้ว และยังของแถมคือคีย์บอร์ดจะเจ๊งเร็วขึ้น เก้าอี้ที่ใช้ให้เลือกใช้แบบที่ไม่มีที่ให้วางแขน เพื่อที่แขนจะได้เกร็ง เมื่อเกร็งมากๆ ก็จะเมื่อยแขน ปวดไหล่ ปวดนิ้ว ลามไปถึงคอและหลังได้ด้วย
 วิธีที่ 6 กินขนมหน้าคอมฯ
ให้หาขนมมากิน ขณะที่ใช้คอมพิวเตอร์ไปด้วย เพราะมีโอกาสที่เศษขนมหรือเกล็ดน้ำตาลจะหล่นลงไปในแป้นคีย์บอร์ด แล้วกลายเป็นอาหารของแบคทีเรีย ซึ่งถ้าเราใช้คีย์บอร์ดสลับกับกินขนมครั้งแบบนี้อีก เราอาจจะโชคดีได้ท้องเสีย เพราะนิ้วของเราย่ำยีอยู่กับแหล่งเพาะเชื้อตลอดเวลานั่นเอง
 วิธีที่ 7 แช่แข็งตัวเองอยู่หน้าจอ
พยายามหาเรื่อง อะไรมาทำให้ตัวเองเพลินๆ จะได้นั่งอยู่หน้าเครื่องนานๆ จะได้ลืมให้หมดว่าการที่ไม่เปลี่ยนอิริยาบถนานๆ จะทำให้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ เครียดจนเมื่อยจนปวด จะได้ลืมว่าควรกินน้ำชั่วโมงละ 1 แก้ว จะได้ลืมว่าถ้าปวดฉี่แล้วไม่ยอมไปห้องน้ำจะทำให้กระเพาะปัสสาวะอักเสบ

'เปลือกกุ้ง' ทำให้ผิวขาว



ทีมวิจัย ม.เชียงใหม่ ค้นพบสารทำให้ผิวขาวโดยไม่เกิดอาการแพ้ จาก 'เปลือกกุ้ง' เตรียมพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ออกจำหน่าย

คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ วิจัยและค้นพบสารให้ความขาวแก่ผิว ที่ทำจากเปลือกกุ้ง ปู และแกนปลาหมึก ซึ่งสามารถนำมาเป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอางที่ไม่ทำให้เกิดอาการแพ้ โดยเตรียมพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ออกสู่ท้องตลาด

น.ส.พอใจ รัตนปนัดดา เภสัชศาสตรมหาบัณฑิต คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ทีมวิจัยทำการวิจัยเรื่อง 'การประยุกต์ใช้ไคโตซานในการเตรียม อาร์บูตินไมโครพาร์ติเคิลเพื่อทำให้ผิวขาว' เพื่อพัฒนาสารเพื่อผิวขาว โดยการวิจัยต้องการค้นหาวัตถุดิบเพื่อมาสกัดเอา สารต่างๆ ออกมา ให้ได้พอลิเมอร์ที่จะนำมาใช้ในการสกัดให้ได้ไคโตซาน เนื่อง จากไคโตซานมีข้อดีหลายด้าน เช่น มีความเป็นพิษต่ำ สามารถผสมได้ทางชีวภาพ สลายตัวได้ทางชีวภาพ ยึดติดทางชีวภาพและมีคุณสมบัติเพิ่มการแทรกผ่าน เพื่อใช้เป็นระบบนำส่งเข้าสู่ผิวหนัง





การสกัดเอาไคโตซานออกมาสามารถนำมาได้จากหลาย แหล่ง แต่เนื่องจากการวิจัยต้องการค้นหาสิ่งดีที่สุด จึงมีการทดลองหลายอย่าง สุดท้ายพบว่า เปลือกกุ้ง เปลือกปู และแกนปลาหมึก สามารถนำมาสกัดเอาสารไคโตซานออกมาได้ดีและเป็นวัสดุเหลือใช้ที่มีจำนวนมากใน ประเทศไทย

การทดลอง ใช้วิธีไอออนิกเจเลชั่น ที่มีไคโตซานและไตรพอลีฟอสเฟตเป็นตัวก่ออนุภาคในการกักเก็บอาร์บูตินไว้ เมื่อนำอาร์บูตินที่ได้มาจากไคโตซานไมโครพาร์ติ เคิล ด้วยการสกัดทางวิทยาศาสตร์ ก็นำสารดังกล่าวมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ครีม เพื่อทำให้ผิวขาวและทดสอบประสิทธิภาพในอาสาสมัคร 20 คน หลัง การทาวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 8 สัปดาห์ ผลการวิจัยพบว่า สารอาร์บูตินมีความเข้ากันได้ดีกับไคโตซาน โดยบีต้าอาร์บูตินแสดงฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส มีค่าความเป็นกรด-ด่างเท่ากับ 5.5

ผลการทดสอบประสิทธิภาพในการใช้ อาร์บูตินครีมและครีมที่มีอาร์บูตินไมโครพาร์ติเคิลในอาสาสมัคร พบว่า สามารถลดปริมาณเม็ดสีเมลานินได้สำเร็จและมีความปลอดภัย ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง มีประสิทธิภาพในการรักษาฝ้าและทำให้ผิวขาวได้ดีและนานขึ้น

ทั้งนี้ การวิจัยดังกล่าว สืบเนื่องมาจากมีผลิตภัณฑ์เพื่อผิวขาวแข่งขันกันในตลาดอย่างมาก ซึ่งบางตัวผสมสารปรอทและไฮโดรควิโนนอันเป็นสารห้าม ใช้ในเครื่องสำอางเพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง ทีมวิจัยจึงต้องการค้นพบสารให้ความขาวที่ไม่เป็นอันตราย พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ทางเลือกให้ผู้บริโภคโดยได้รับการสนับ สนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) ซึ่งการวิจัยดังกล่าวได้รับรางวัลจากการประชุมวิชาการด้านวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีวัสดุแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 6



ที่มา VoiceTV

สิ่งที่เป็นอันตรายต่อผิวของคุณ



ถ้าคุณอยากมีผิวหน้าเนียนใสและ ห่างไกลจากริ้วรอยละก็ คุณควรอยู่ให้ไกลจากสิ่งที่เป็นอันตรายต่อผิวพวกนี้

1. การสูบบุหรี่ : การสูบบุหรี่จะทำให้ปริมาณคอลลาเจนในผิวลดลง และทำให้ผิวขาดการยืดหยุ่น ส่วนนิโคติน จะทำให้เส้นเลือดเกิดการหดจนเป็นปัญหาต่อระบบหมุนเวียนของเลือด ส่งผลให้ผิวแลดูไม่เปล่งปลั่งสดใส และเกิดริ้วรอยตามมา

2. การอาบแดด : การโดนแดดมากเกินไปคือสาเหตุอับดับหนึ่งของริ้วรอยก่อนวัย รวมทั้งสร้างความเสียหายให้แก่คอลลาเจนและดีเอ็นเอในผิวหนัง ซึ่งนำไปสู่ริ้วรอย จุดด่างดำ และความหม่นหมอง

3. การอดนอน : การนอนคือวิธีเติมความงามที่ดีที่สุดโดยไม่ต้องเสียเงินซักบาทเดียว แถมยังช่วยให้ระบบภูมิต้านทานทำงานดีขึ้นด้วย แต่การอดนอนจะทำให้ผิวหนังขจัดสารพิษออกไปได้ยาก ส่งผลให้ผิวหน้าดูหม่นหมอง และมีรอยคล้ำใต้ตา

4. ความเครียด : ความเครียดจะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ทิโซลออกมา ซึ่งฮอร์โมนชนิดนี้จะมีผลต่อผิวอย่างมาก รวมทั้งทำให้ผิวหนังผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป จนทำให้เกิดสิวอักเสบและสิวหัวดำได้ นอกจากนี้ ยังทำให้เส้นผมหลุดร่วงได้ง่ายขึ้นด้วย

10 อันดับ ‘โดเมนเนม’ ที่แพงที่สุดในโลก

+++ Hamster +++

+++ Playlist +++


MusicPlaylistRingtones
Create a playlist at MixPod.com

+++ coming soon +++