วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

อย่างน้อยวันนี้เราทำดีที่สุด...



แม้ ว่าเวลาของความผูกพัน มันอาจจะสั้น จนเหมือนเราไม่ได้รักกันและตอนนี้ความห่างไกลก็ได้ใกล้เรามากขึ้นเพื่อที่จะ แทรกให้เราห่างกันไปทุกที......

เธออยากรู้ไหม ว่าทำไมเราต้องห่างกัน ฉันพยายามหาคำตอบให้กับตัวเอง จนวันแล้ววันเล่า ฉันก็ยังไม่เข้าใจหรืออาจเป็นเพราะเวลาของเธอกับฉันได้หมดลงแล้ว คนบนฟ้าคงกำหนดให้เรามาพบกันแค่เท่านี้และเค้าก็ทำให้เราจากกัน มันไม่ยุติธรรมเลยที่เค้าทำให้ฉันรักเธอ ทำไมเค้าถึงไม่ทำให้ฉันแค่รู้จักเธอเท่านั้นนะ

ถ้าฉันรู้อะไรล่วงหน้า ว่ามันจะเป็นแบบนี้ สาบานได้ ฉันจะไม่รักเธอแม้สักนิดเดียว
มันช่างทรมานเหลือเกินกับความ รู้สึกที่ฉันเป็น ฉันเสียใจที่ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้.......
การ สูญเสียครั้งนี้ฉันจะเรียกร้องจากใคร

(บางทีคนเราก็ต้องการ ระยะห่าง...เพื่อทบทวนความรู้สึกตัวเอง ว่าเรารู้สึกอย่างไรกับเค้าคนนั้น)

มัน ช่วยฉันได้มาก แล้วตอนนี้ฉันคิดว่าสิ่งต่างที่ผ่านมา ก็เป็นคำตอบที่ดีสำหรับฉัน
ฉันคงเข้าข้างตัวเองที่คิดไปว่า..... อาจเพราะ คนบนฟ้าอาจกำลังสงสัย เราสองคนอยู่ ว่าเรารักกันจริงหรือเปล่า

เค้า เลยทดสอบให้เราห่างกัน แยกเราไปคนละทาง เพื่อทดสอบว่า ถ้าเราต้องใช้ชีวิตเพื่อรอคอยใครบางคนที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ช่วงเวลาที่รอนั้น จะเป็นตัววัดความรู้สึก และพิสูจน์ความแข็งแรงของความรักวัดการกระทำ ความเสมอต้นเสมอปลาย กับการอดทนด้วยเงื่อนไขเวลาของการห่างไกล

เมื่อถึงเวลานั้น เราจะได้รู้ว่าเราได้เลือกถูกคนหรือไม่ และมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
กับการ ต้องทำหัวใจไม่ให้หวั่นไหวกับอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ
ที่คอยเข้ามาทำให้ ไหวหวั่นกับสิ่งต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปทุกๆ วัน
ความห่างไกลจึงเหมือน เป็นตัววัดปริมาณความรักของเรา

ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับวันพรุ่งนี้ เราจึงกลัวที่จะเผชิญหน้ากับมัน
เราคิดไปล่วงหน้า ว่าต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ เราไม่สามารถบังคับให้ใครมารักเราได้
และ ถ้าเธอจะอยู่ หรือเธอจะไป จะรักกันมากขึ้น หรือน้อยลง ก็จะเป็นเพราะเราสองคน
คงไม่ใช่ความต้องการของฉันฝ่ายเดียว หรือเธอฝ่ายเดียว

(คงจะไม่มีอะไรที่จะน่ากลัวและเลวร้ายไปกว่า การยอมรับความรู้สึกตัวเอง อีกแล้ว........ใช่มั๊ย)

วันนี้ฉันจึงมีความสุข ถึงแม้ว่าเราจะห่างกัน แต่อย่างน้อย ฉันก็ไม่เสียใจ ในสิ่งที่ฉันทำ
แต่ฉันคงจะเสียใจแน่ๆ หากฉันไม่ได้ทำ

นั่นก็คือ การได้รักเธอ.......มีวันที่เลวร้าย มีวันที่สวยงาม มีวันที่ว่างเปล่า สุขก็อยู่กับเราไม่นาน ทุกข์ก็อยู่กับเราไม่นาน

สุขเคยแวะผ่านมาแล้วก็ไป ทุกข์ก็เช่นเดียวกัน วันนี้ฉันมีความทรงจำที่ดี ระหว่างเรา
ฉันจึงมี เรื่องให้นึกถึงวันดีดีมากมาย และฉันก็ได้ยิ้มให้กับความทรงจำนั้น
จน ณ ตอนนี้ จนถึงวันนี้ จึงรู้แล้วว่า ยังมีเรื่องราวอีกมากมายให้เราทั้งสองต้องเรียนรู้ และเผชิญหน้ากับมัน

อาจ จะลำบาก เหน็ดเหนื่อย แต่เชื่อฉันนะ ว่าสักวันความฝันเราต้องเป็นจริง
ฉัน มีความหวังตราบที่ฉันยังมีลมหายใจ เพราะความหวังของฉันนั้นมันเป็นสิ่งที่มีค่า
ทำให้ฉันมีจุดมุ่งหมาย เผื่อสักวันอาจจะได้เป็นดังหวัง เมื่อฉันเป็นคนเริ่มต้น ฉันก็อยากจะเป็นคนทำให้มันจบ

ถึงแม้ว่าการได้รักคือการเสี่ยงที่จะไม่ได้รับรักตอบแทน การตั้งความหวังคือการเสี่ยงที่จะเจ็บปวด การพยายามคือการเสี่ยงที่จะล้มเหลว แต่ยังไงก็ต้องเสี่ยง เพราะสิ่งที่น่าอันตรายที่สุดถ้าชีวิตนี้ ฉันไม่เสี่ยงอะไรเลย

ถ้า”รัก” เริ่มต้นที่คนสองคน ผูกพันกัน เข้าใจกัน ต่างต้องการอยากที่จะร่วมทางเดินด้วยกัน

วันนี้ฉันก็อยาก จะให้เรา “ไว้ใจ” กัน เพราะแน่นอน เราไม่รู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น
แต่ถ้าวันนี้เราทำดีที่สุด แล้ว ก็คงไม่ต้องกลัวอะไรวันต่อไปของเราก็คงจะดีเอง...
และฉันก็พอใจ กับสิ่งที่ได้รับในเวลานี้ ฉันมีความสุขที่ได้รัก รักในสิ่งที่ฉันเป็น
รัก ในทุกความรู้สึกดีดีที่ได้รับจากทุกคน รักในสิ่งที่ตัวเองทำ
และฉัน ....................รักในสิ่งที่หัวใจฉันต้องการ....สำหรับฉันจึงไม่ต้อง การอะไรมากมาย

ฉันรู้สึกเหมือนกับตัวเองช่างเป็นผู้หญิงโชคดีเหลือ เกิน ที่ฉันโชคดีที่มีคนที่รักฉัน
และฉันก็รักเค้า กับผู้ชายอย่างเธอ ทั้งที่บางครั้งเธอเองก็อาจคิดว่าตัวเองก็ไม่ใช่คนดีอะไร

แต่อย่าง น้อยวันนี้เธอดีกับฉัน ฉันจึงไม่สนใจว่าเธอจะเป็นอย่างไร และ ถึงแม้ว่าเรื่องราวระหว่างเรา อาจจะไม่เป็นดังที่เราหวังเลยสักนิดเดียว หรืออาจจะไปไม่ถึงฝัน...................

“ฉันรักเธอ” และอยากให้เธอมีความสุข แม้ว่าความสุขนั้น จะไม่ได้หมายถึงว่ามีฉันอยู่ด้วยก็ตามและหากความจริงเราต้องจากกันไปจริงๆ ฉันรับประกันได้เช่นกันว่า..
ถ้าวันนี้ฉันไม่ขอร้องให้เธอมาเป็นของฉัน ฉันจะต้องเสียใจ ไปจนตราบชีวิตฉันจะหาไม่
เพราะฉันรู้หัวใจฉันดีว่า เธอเพียงคนเดียวเท่านั้นที่อยู่ในใจฉันตลอดมา

อยากบอกทุกคนว่า
ไม่มีใครได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการทั้งหมดไม่มีใครที่ เกิดมาสมบูรณ์แบบ วันนี้เราควร ”ปล่อยวาง” เพื่อให้หัวใจไม่บอบช้ำนานเกิน
จน กลายเป็นแผลในใจที่คอยทำร้ายตัวเอง....

มีความสุขกับความเป็นจริงวันนี้เพราะพรุ่งนี้เราอาจไม่มี โอกาส............

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

แด่คนที่กำลังพยายามที่จะเอาชนะหัวใจใครบางคน


ยังมีเด็กกำพร้าในโลกนี้มากมายนัก ที่ถูกทอดทิ้ง พวกเขาโหยหาความรัก แต่กลับไม่มีโอกาสได้สัมผัสกับมัน และยังมีคนอีกนับล้านคน ที่แสวงหาความรัก แต่ทั้งชีวิตกลับไม่เคยได้รู้จักกับความรักเลย

ในขณะที่มีผู้คนอีกหลายคนบนโลกนี้ พยายามที่จะปฏิเสธความรัก ทั้งๆที่ความรักมันวนเวียนอยู่รอบๆตัวเขา
คนหลายๆคน มีความรักอยู่ในหัวใจ แต่ไม่กล้าที่จะพยายามเพื่อความรัก เพราะกลัวจะต้องผิดหวัง เสียใจ
คนบางคนมีความรักในหัวใจ แต่พอรู้ว่าเขาหรือเธอยังไม่มีใจให้เรา ก็หมดศรัทธาในความรักในทันที แทนที่จะพยายามและประคับประคองหัวใจตัวเองให้ถึงที่สุด บางทีการที่เราได้พยายามที่จะชนะหัวใจใคร ก็อาจทำให้เรากลายเป็นคนที่มีคุณค่าและทำให้อีกฝ่ายเห็นคุณค่าของเราด้วย เช่นกัน ถ้าเรารักใครสักคนอย่างแท้จริง รักจะไม่มีวันทำร้ายใคร มีแต่ตัวเราเองเท่านั้น ที่เอาข้ออ้างของความรักแล้วทำร้ายตัวเอง หากเรามองความรักให้ดี ความรักนั้นสวยงามและยิ่งใหญ่ ก่อเกิดพลัง แรงใจให้กับชีวิตของคนเรา

ลองพยายามให้เต็มที่ ให้ถึงที่สุด ที่จะเอาชนะหัวใจของคนที่เรา”รัก” สักครั้ง ก่อนที่จะสายเกินไป หากวันหนึ่งที่เราสูญเสียเขาหรือเธอไปจริงๆ โดยที่เราไม่ได้พยายามอะไรที่จะทำให้เขามอบใจให้เราได้เลย เรานั่นแหละที่จะเป็นคนที่เสียใจที่สุดเพราะตัวเราเอง อย่าเพิ่งยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ลงแข่ง เพราะบางทีการพยายามสุดตัวของเรา ก็จะเกิดผลมากมาย ดีกว่าเราไม่ได้พยายามอะไรเพื่อหัวใจตัวเองเลย ลองดูสักครั้ง หากผลที่ได้กลับมาคือความผิดหวัง ก็จงอย่าเสียใจ เพราะว่าเราได้พยายามถึงที่สุดแล้วแล้ว และขอจงภูมิใจว่าเราเป็นคนที่มีคุณค่าที่สุด ที่ชีวิตนี้ได้เกิดมาแล้วได้ทำอะไรเพื่อหัวใจตัวเองและเพื่อหัวใจของคนที่ เรารัก ความรักที่แท้จริงจะคู่ควรกับคนที่เห็นคุณค่าของความรักเท่านั้น

วันนี้คุณพยายามทำอะไรเพื่อคนที่คุณรักแล้วหรือยัง

ฝึกสมองให้ไบ ร์ทด้วย 9 เทคนิค

ฝึกสมองให้ไบร์ทด้วย 9 เทคนิค

ต่อไปนี้เป็นข้อแนะนำสำหรับการ ฝึกสมองให้ไบรท์หรือเฉลียวฉลาดขึ้นค่ะ น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับวัยเรียนและสำหรับคนทำงานที่ใช้สมองจนอ่อนล้าไปมาก แล้วส่วนว่าจะมีเทคนิคอะไรกันบ้างนั้น เชิญติดตามกันได้เลยค่ะ

1. จิบน้ำบ่อยๆ
สมองประกอบ ด้วยน้ำ 85 เปอร์เซ็นต์ เซลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เซลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อยๆ

2. กินไขมันดี
คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวันจำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่างปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดีที่ทำให้เซลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่นค่ะ

3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที
หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุดๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ (ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน)

4. ใส่ความตั้งใจ
การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่างๆเพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับ สิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน

5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ
ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอนเดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขหลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและ หวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ

6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน
สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึงสิ่ง ต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา ฯลฯเพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอนเดอร์ฟินและโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ไปเรื่อยๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์

7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน
ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง

8. เขียนบันทึก Graceful Journal
ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึกเช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข ฯลฯ เพราะการเขียนเรื่องดีๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก
พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดี ออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์

9. ฝึกหายใจลึกๆ
สมองใช้ออกซิเจน 20-25 เปอร์เซ็นต์ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึกๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนานๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 เปอร์เซ็นต์

วิธีสลัดเรื่องไร้สาระออกจากใจ (Dont Sweat the Small Stuff)


บทความที่นำมาเสนอจากหนังสือเรื่อง Don't Sweat the Small Stuff แต่งโดย
Richard Carlson
ผู้แต่งเชื่อว่านิสัยเกิดจากการกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งครั้งแล้วครั้งเล่า
นิสัยเหล่านี้จะเกิดขึ้นเองตามสภาวะธรรมชาติและเกิดขึ้นบ่อยครั้งเสียจนเรา ไม่รู้สึกว่าเป็นสิ่งผิดปกติหรือเป็นสิ่งที่ต้องแก้ไข
แต่หารู้ไม่ว่านิสัยที่ไม่ดีของเราเหล่านี้จะเป็นตัวบั่นทอนพลังชีวิต
ทำให้เราหมดกำลังใจ และทำให้เราเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย ดังนั้น
ผู้แต่งจึงชี้ให้เห็นถึงนิสัยที่ไม่ดีและมิจฉาทิฏฐิที่ควรแก้ไข ดังนี้

1. ความคิดที่ว่าเมื่อประสบปัญหาต้องรีบแก้ไขทันที
ในช่วงที่ประสบปัญหาจิตใจจะวกวนสับสน เครียด อึดอัด มึนงง
เศร้าสลดหดหู่ไม่ควรที่จะขบคิดแก้ไขปัญหาใด ๆ เพราะยิ่งคิดยิ่งมึนงง
มองไม่เห็นทางออก หรือถ้าคิดออกความคิดที่ได้ก็ไม่เฉียบคม
วิธีแก้ หยุดคิด ทำใจให้สบาย ๆ ปล่อยวาง เมื่อจิตใจสงบจึงค่อยเริ่มแก้ไขปัญหา
แก้ไขปัญหาที่พอจะแก้ไขได้ก่อน
ปัญหาที่รุนแรงและเรื้อรังยากที่จะแก้ไขได้โดยทันที ก็ให้ค่อย ๆ
แก้ไขไปทีละเปลาะสองเปลาะ เมื่อปัญหาลดน้อยลงจะทำให้เรามีกำลังใจมากขึ้น
ปัญหาที่ยากย่อมต้องใช้เวลา ความพยายาม ความอดทน และความต่อเนื่องเป็นธรรมดา

จงยอมรับความเป็นจริงทั้งหมดที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าเรา
คิดถึงเหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้น(Worst case scenario)
แล้วทำใจยอมรับให้ได้ เมื่อนั้นจิตใจจะสงบ
และในความเป็นจริงมันอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่เราคิดไว้ก็ได้
จะทำให้เรายิ่งมีกำลังใจที่จะขบคิดแก้ไขปัญหาต่อไป

2. หงุดหงิดรำคาญใจ ทุกสิ่งทุกอย่างขัดหูขัดตาไปหมด ไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลย
บุคคลที่มีความคิดประเภทนี้จะมีจิตใจคับแคบ ไม่รู้จักให้อภัยผู้อื่น
เอาตนเองเป็นที่ตั้ง ชี้ถูกชี้ผิดอยู่ตลอดเวลา
นิดหนึ่งก็ไม่ได้นิดหนึ่งก็ไม่ยอม จิตใจร้อนรุ่ม หาความสุขไม่ได้
ไม่มีใครอยากเข้าใกล้หรืออยากทำงานด้วย มีศัตรูเต็มไปหมด
สุขภาพเสื่อมโทรมโรคภัยรุมเร้าเพราะมีความเครียดอยู่ตลอดเวลา
วิธีแก้รู้จักปล่อยวางเสียบ้าง ในโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ
ไม่มีใครสามารถทำตามใจเราได้ทุกอย่าง
ทำอะไรก็ตามให้อยู่ในระดับกลาง ๆ พอดี ๆ ไม่ต้องสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง
พูดจาให้นุ่มนวลอ่อนหวาน สบาย ๆ ไม่ต้องเอาเป็นเอาตาย
เอาจริงเอาจังไปเสียทุกเรื่อง

3. บ้างาน คิดว่าตนเองมีงานล้นมือ
ทุกอย่างมีแต่ความรีบเร่งจนไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง
คนที่รีบเร่งทำงานหลาย ๆ อย่างแต่ทำไม่เสร็จซักอย่าง งานส่วนใหญ่มักจะไม่มีสาระ
ไม่สำคัญ ไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้นเพราะการรีบเร่งทำงานอยู่ตลอดเวลาจิตจะไม่ว่าง
กิริยาจะร้อนรน ขาดสติสัมปชัญญะ
ขาดความระมัดระวังทำให้ไม่รู้ตัวว่าตนกำลังทำสิ่งที่ไร้สาระอยู่
เมื่อพลังงานส่วนใหญ่สูญเสียไปกับการทำเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ
งานที่ออกมาก็ไม่มีประสิทธิภาพ
เมื่อโดนตำหนิก็เกิดความเครียดทำให้ต้องรีบสร้างผลงานมากขึ้นเพื่อชดเชยความ ผิด
แต่ยิ่งรีบก็ยิ่งผิด วนเวียนเป็นวงจรอุบาทว์ไม่มีที่สิ้นสุด

วิธีแก้เลือกทำในสิ่งที่สอดคล้องกับเป้าหมายในชีวิตถามตนเองว่าสิ่งที่กำลัง ทำ
กำลังพูด และกำลังคิดอยู่นี้จะทำให้เรามีความสุขขึ้น เป็นคนดีมากขึ้น
มีสติปัญญามากขึ้น และมีเงินทองมากขึ้นหรือไม่ ถ้าไม่ก็ให้ตัดทิ้งเสียเช่น
การนินทาว่าร้ายเจ้านาย เป็นต้น ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เพราะสิ่งต่าง ๆ
ที่ทำในปัจจุบันจะส่งผลไปยังอนาคตอย่างแน่นอน ให้บอกตนเองเสมอว่า
ในโลกนี้มีงานต่าง ๆ อีกมากมายทำเท่าไรก็ทำไม่หมดหรอก
ทำแต่สิ่งที่สำคัญเท่านั้นก็พอ ให้ตระหนักถึงสัจธรรมที่ว่า
ถึงแม้ว่าเราจะจากโลกนี้ไป โลกมันก็ยังคงดำเนินต่อไปได้โดยไม่ต้องมีตัวเรา
อย่าสำคัญตัวเองมากนัก หยุดทำงานทุกอย่าง นั่งสงบนิ่งดูลมหายใจ (อาณาปาณสติ)
สัก 15 นาที เจริญมรณานุสติโดยการคิดว่าถ้าจะต้องตายในอีก 7 วันข้างหน้า
เราอยากทำสิ่งใดมากที่สุด
(แต่วิธีนี้ไม่เหมาะกับบุคคลที่เป็นโทสะจริตเพราะมีมรณานุสติเป็นอารมณ์อยู่ แล้ว)

4. คิดเอาตนเองเป็นใหญ่และคิดอาฆาตแค้นพยาบาทคนอยู่ตลอดเวลา
ความคิดนี้เป็นความคิดในแง่ลบ (Negative thinking) ซึ่งเป็นตัวบั่นทอนพลังชีวิต
ทำให้เราเป็นคนย้ำคิดย้ำทำและเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายโดยที่เราไม่รู้ตัว การกระทำ
คำพูดและแววตาจะแสดงออกมาด้วยความก้าวร้าวรุนแรง
วิธีแก้ให้ระมัดระวังความคิดในแง่ลบ
เมื่อมีความคิดเหล่านี้โผล่ขึ้นมาเองไม่ต้องสนใจ ไม่ต้องคิดต่อ
ให้เปลี่ยนเรื่องคิดทันที
ให้หันมาคิดในแง่บวกแทนซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เกิดเองตามธรรมชาติจะต้องสร้าง ขึ้นมา
ทำใจยอมรับว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับความคิดที่เป็นอกุศลเช่น ความอิจฉาริษยา
ความอาฆาตพยาบาท ความมีอัตตาตัวตน และความยึดมั่นถือมั่น เป็นต้น
ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้รวมทั้งตัวเราเอง ทุกคนเท่าเทียมกันหมด
เราจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะไปตัดสินผู้อื่นว่าถูกหรือผิด
หากเรายอมรับความเป็นจริงในข้อนี้ได้
เราจะรู้จักให้อภัยผู้อื่นและให้อภัยตัวเอง รู้จักสำรวมคำพูดและการกระทำมากขึ้น
พยายามประคับประคองความคิดที่ดีให้อยู่นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

5. คิดดูถูกผู้อื่น และชี้ถูกชี้ผิดอยู่ตลอดเวลา
ความคิดเหล่านี้จะทำให้เรามีจิตใจคับแคบ ไม่มีเมตตาต่อผู้อื่น
มีความเครียดเป็นอาจิณ วิธีแก้เอาใจเขามาใส่ใจเรา เลิกเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง
หัดเข้าใจความคิดและอารมณ์ของผู้อื่นว่าทำไมเขาถึงพูดหรือทำเช่นนั้น
และถ้าเราอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเขา เราอาจจะทำแบบเดียวกับเขาก็ได้ เป็นต้น
ยอมรับว่าในโลกนี้ไม่มีใครที่คิดเหมือนกับเรา ดังนั้น
การมีความคิดที่ขัดแย้งกันย่อมเป็นเรื่องธรรมดา
ไม่มีใครถูกใครผิดหัดฟังมากกว่าพูด สักแต่รู้สักแต่เห็น
รับรู้ทุกอย่างแต่อย่าคิดต่อ
ไม่ต้องหาเหตุหาผลไปซะทุกเรื่องพิจารณาอารมณ์ของตนเองว่าในขณะนี้เราสุข ทุกข์
หรือเฉย ๆ เพื่อหยุดความคิดซึ่งป็นบ่อเกิดแห่งอัตตาตัวกูของกู

6. คิดเอาชนะผู้อื่น
การโต้เถียงเอาชนะผู้อื่นเพียงเพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่เราคิดนั้นถูกต้องเป็น การสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช้เหตุ
และยังเป็นการสร้างศัตรูโดยที่เราไม่รู้ตัว

วิธีแก้พูดเท่าที่จำเป็นพูดแต่สิ่งที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์
รู้จักปล่อยวางเสียบ้าง หัดฟังมากกว่าพูด และเอาใจเขามาใส่ใจเรา
พยายามประคับประคองจิตใจให้ผ่องใสอยู่เสมอ
หลีกเลี่ยงการโต้เถียงให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

7. คิดทวงบุญคุณจากผู้อื่น
การทวงบุญคุณจะทำให้จิตใจคับแคบ เต็มไปด้วยความอึดอัด ไม่พอใจ ลังเลสงสัย
จิตใจสกปรกขุ่นมัวเพราะเป็นการทำดีเพื่อหวังผลตอบแทน
วิธีแก้ ช่วยเหลือโดยไม่ต้องคำนึงถึงผู้ให้ในที่นี้คือตัวเรานั่นเอง
ควรให้เพราะอยากช่วยเหลือไม่ต้องมีตัวเขาเราท่าน
ช่วยเหลือโดยไม่ต้องคำนึงถึงผู้รับ
คนไหนพอช่วยได้ให้ช่วยไปเลยไม่ต้องจำกัดว่าช่วยเพราะเป็นญาติเรา
หรือช่วยเพราะเขาทำดีกับเรา เป็นต้น ช่วยแล้วหันหลังกลับ ไม่หวังผลตอบแทน

8. คิดกังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
การคิดวิตกกังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึงจะทำให้จิตใจว้าวุ่น สับสน
เต็มไปด้วยความหวาดกลัว จิตใจล่องลอยไม่อยู่กับปัจจุบัน
วิธีแก้ รู้เนื้อรู้ตัวว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำแล้วเกิดผลอะไร
ทำวันนี้ให้ดีที่สุด คิดโกรธเกลียดหมั่นไส้ผู้อื่น ความโกรธ เกลียด รำคาญ
และไม่ชอบหน้าบุคคลที่เคยทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจเป็นนิสัยที่เกิดได้กับมนุษย์ ทุกคน
แต่เมื่อมีความคิดเหล่านี้ผุดขึ้นในจิตใจเราควรระมัดระวังไม่ให้แสดงออกมา ทางสีหน้า
แววตา น้ำเสียง และการกระทำ นอกจากนั้น เราควรมองบุคคลเหล่านั้นในแง่บวกเช่น
คนที่ตำหนิติเตียนเรานั้นอาจจะกำลังสอนให้เรารู้จักทำงานให้เป็นระเบียบมาก ขึ้น
หรือคนนินทาว่าร้ายเรานั้นอาจจะกำลังสอนให้เรารู้จักวางตัว พูดเท่าที่จำเป็น
เพราะเขารู้เรื่องของเราหมดจึงเอาไปคุยกันจนสนุกปาก เป็นต้น

9. คิดน้อยใจในโชคชะตาของตนเอง
การคิดน้อยใจในชะตากรรมของตัวเองเช่น เกิดมายากจน รูปร่างไม่ดี หน้าตาไม่สวย
เรียนหนังสือไม่เก่ง หรือทำอะไรก็สู้เขาไม่ได้ เป็นต้น
การคิดเช่นนี้นอกจากจะเป็นการบั่นทอนกำลังใจตัวเองแล้วยังทำให้ชีวิตจมปลัก ไม่ก้าวหน้าไปไหน
เพราะมัวแต่ย้ำคิดย้ำทำแต่สิ่งเดิม ๆ

วิธีแก้ จงพอใจในสิ่งที่ตนมี และอย่าคิดเปรียบเทียบกับคนอื่น
ระลึกและจดจำในสิ่งดี ๆ ที่เราได้รับจากคนรอบข้าง
รู้จักและยอมรับตนเองทั้งจุดเด่นและจุดด้อย
พัฒนาและใช้จุดเด่นของเราให้เป็นประโยชน์และปรับปรุงจุดด้อยหรือหาสิ่งอื่น มาทดแทน
เรียนรู้จากประสบการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต
ลืมอดีตที่ขมขื่นเพื่อทำปัจจุบันให้ดีที่สุด คิดในแง่บวก
และพยายามประคับประคองจิตใจให้ผ่องใสอยู่ตลอดเวลา

10. นิสัยมองโลกในแง่ร้ายและคิดว่ามนุษย์ทุกคนล้วนเห็นแก่ตัว
การคิดเช่นนี้จะยิ่งเป็นการตอกย้ำความคิดในแง่ลบให้มากขึ้นเป็นทวีคูณ
มองความจริงไม่ตรงตามความเป็นจริง ปัญหาเล็ก ๆ
ก็ตีโพยตีพายจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โต จิตใจคับแคบ
หาความสุขไม่ได้เพราะจะคอยจับผิดผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา
วิธีแก้คิดถึงประสบการณ์ดี ๆ ที่เราได้รับจากคนรอบข้างเช่น
คิดถึงบุคคลที่มีบุญคุณหรือมีน้ำใจกับเรา เป็นต้นพยายามมองโลกในแง่บวก
อย่าปล่อยให้จิตมันคิดเอง

11. คิดว่าโลกนี้มีแต่ปัญหาเต็มไปหมด แก้เท่าไรก็ไม่หมดเสียที
การคิดเช่นนี้นอกจากจะไม่ช่วยแก้ปัญหาแล้วรังแต่จะเป็นตัวบ่อนทำลายกำลังใจ ของเราเองเสียอีก
วิธีแก้ ให้มองปัญหาเสมือนด่านทดสอบความอดทน ตัวฝึกฝนทักษะในการแก้ปัญหา
และเป็นแหล่งปัญญาที่หาไม่ได้จากในหนังสือ
มองปัญหาในแง่บวกว่ามันอาจจะเป็นสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้าก่อนที่ความหายนะจะ เกิดขึ้นก็ได้
ปัญหาทำให้เราเห็นข้อบกพร่องที่เราอาจจะมองข้ามไป
มองปัญหาเป็นเรื่องธรรมชาติที่มนุษย์ทุกคนต้องประสบ อันไหนพอแก้ได้ก็ทำไปก่อน
คิดในแง่บวกและตั้งจิตว่าจะประคับประคองจิตใจให้ผ่องใสอยู่ตลอดเวลา

12. คิดว่าเราเก่งกว่าผู้อื่น ฉลาดกว่าผู้อื่น หรือร่ำรวยกว่าผู้อื่น
ความคิดเช่นนี้จะส่งผลให้พฤติกรรมที่แสดงออกมาเต็มไปด้วยความหยิ่งยะโสโอหัง
อวดดี ถือตัว มองผู้อื่นด้วยสายตาดูถูกดูแคลน วาจาจะรุนแรงและสามหาว
บุคคลรอบข้างจะรังเกียจ หมั่นไส้ และอิจฉาริษยา
ซึ่งเป็นการสร้างศัตรูโดยไม่รู้ตัว
วิธีแก้ ระมัดระวังคำพูด ความคิด และการกระทำ
ต้องมีสติรู้เนื้อรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา หัดมองตัวเอง เลิกเปรียบเทียบกับผู้อื่น
อยากวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น

13. การด่าทอ เหน็บแนม ประชดประชัน และวิพากษ์วิจารณ์
เป็นอกุศลวาจาที่สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้กับผู้อื่น
ซึ่งเป็นการสร้างศัตรูโดยไม่ได้ตั้งใจ นอกจากนั้น
ความคิดเหล่านี้ยังเป็นที่มาของความโกรธ ความเกลียด
และความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจมนุษย์อีกด้วย

วิธีแก้ คิดก่อนพูดและไม่ต้องพูดทุกอย่างที่เราคิด
ถ้าพูดแล้วไม่สร้างสรรค์นิ่งเสียจะดีกว่า เอาใจเขามาใส่ใจเรา
ในโลกนี้ไม่มีใครชอบถูกวิพากษ์วิจารณ์แม้แต่ตัวเราเอง

ความรักทำให้โลกหมุน


คนที่กล้าหาญเท่านั้นที่จะรู้ว่า "ความรัก" คืออะไร

คนกล้าหาญที่พร้อมจะเผชิญกับความผิดหวังความรักไม่ใช่ความสำเร็จในความรัก
จึงไม่ต้องการนิยามหรือเงื่อนไขใดๆ
ความรู้สึกที่อยู่ในใจต่างหากที่จะเป็นสิ่งกำหนดว่าจะต้องผ่านอะไรไปให้ได้ เพื่อที่จะได้รัก

ความรักจะเป็นแรงผลัก
ให้สร้างสรรค์สิ่งดีๆให้กับโลก

ความรักจะสอนให้รู้จักความอดทนและเสียสละ

จะสอนให้รู้ซึ้งกับการมีชีวิตอย่างมีค่ายิ่งกว่าบทเรียนใดๆ

ความรักจะบอกว่า
การอยู่เพี่อรักใครสักคนนั้น...

เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่

ที่สามารถทำให้ตัวตนของคนผงาดขึ้น
ทัดเทียมกับทุกคนบนโลกใบนี้

ความรักเป็นเรียวแรงของชีวิตและทำให้โลกหมุน
เป็นตัวสำคัญที่ทำให้ หัวใจเคลื่อนไหว
มีแรงผลักดันปัญหาออกไปได้

ความรักที่แท้จริง...
จะบริสุทธิ์ ไม่คาดหวังไม่ถือสา
ความสุขจะเป็นละอองไอปลิวไปในอากาศ
เหมือนสายลมอ่อนที่มองไม่เห็นแต่ก็เย็นสบาย

รักเถอะ...กล้าที่จะรัก
เพราะรักนั้นจะเต็มคุณค่า...
สำหรับคนพร้อมจะเจอกับทุกๆอย่างเท่านั้น
หากไม่กล้าสูญเสีย...ก็ไม่มีวันได้รู้จักการครอบครอง

เพราะบางที...
ความรักก็อาจไม่ได้เป็นเรื่องของคนสองคน
เมื่อหัวใจคนอื่นบังคับไม่ได้...

ก็ไม่จำเป็นต้องบังคับหัวใจตัวเอง
สักนาทีที่ได้รักใครสักคนอย่างแท้จริงนั้น
ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะบอกเล่าให้กันฟังได

แม้ที่สุดแล้ว...จะไม่ได้อะไรตอบแทน...
แต่อย่างน้อยวันคืนที่เล็กน้อยเหล่านั้น...
ก็จะสร้างความทรงจำที่ยิ่งใหญ่ตลอดไป

วันแรกของวันที่เหลือ


ปรัชญาเต๋า; บอกว่า "คนเราไม่เคยนึกถึงตีนเมื่อรองเท้าไม่กัด"


คนเรามักมองไม่เห็นของดีที่ตนมีอยู่จนเมื่อสูญเสียมันไปแล้ว


ไม่เห็นคุณค่าของสองแขน จนกระทั่งมันอยู่ในเฝือก


ไม่เห็นคุณค่าของงาน (ที่เราว่าแย่ๆ) จนกระทั่งตกงาน


ไม่เห็นคุณค่าคนรัก (ที่เราว่าไม่เพอร์เฟ็กท์)


จนกระทั่งเธอหรือเขาไปแต่งงานกับคนอื่น


ไม่เห็นคุณค่าของพ่อแม่ (ที่เราว่าขี้บ่น) จนกระทั่งไปงานศพของท่าน


สิ่งที่คนจำนวนมากเลือกทำคือ บ่นว่าตนเองไม่มีความสุข ไม่ประสบความสำเร็จ


ไม่รวย ไม่ได้เป็นเจ้าของสิ่งนั้นสิ่งนี้ และเอ่ยประโยคยอดฮิตว่า


"มันไม่แฟร์เลย"


บางที ทุกครั้งที่เรารู้สึกว่าโลกไม่มีความยุติธรรม ก่อนที่เราจะบ่น


ลองมองตัวเราเองดูดีๆ เราจะพบว่า เรามีอะไรดีๆ หลายอย่างที่คนอื่นไม่มี


เราสามารถทำ "หนึ่งวันเดียวกัน" ของเราให้มีความหมายได้


ก็ต่อเมื่อเราเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรามี และใช้วันนี้


วันแรกของวันที่เหลืออย่างคุ้มค่าที่สุด


เพราะวันแรกของชีวิตที่เหลือนี้ช่างสั้นเหลือเกิน


และเพราะเราไม่มีทางรู้ว่าเรามี "วันแรกของวันที่เหลือ" อยู่อีกสักกี่วัน

สีน้ำกับชีวิต


เพื่อนคนหนึ่ง สอนฉันให้วาดรูปสีน้ำ และบอกว่า สีที่ระบายยากที่สุด
คือสีขาว

เพราะการเขียนสีขาวนั้น ต้องรู้จักการใช้สีเพื่อเป็น background
เน้นให้สีขาวเด่นออกมา แต่ต้องระวัง ไม่ให้สีเน่า

ฉันถามเขาว่า ถ้าสีเน่า ควรแก้ไขอย่างไร ทาทับหรือเขียนสีซ้ำ
เหมือนกับการใช้สีน้ำมัน หรือสีอะคริลิกได้ไหม

เขาตอบว่า ไม่ได้ หากสีเน่า หรือรูปเสีย มีอยู่วิธีเดียว คือต้องเขียนใหม่
ต้องมองดูรูป แล้วถามตัวเองว่า ทำไมจึงไม่สวย มองให้ออก
และเรียนรู้สิ่งที่พลาดไป

ฟังดูเหมือนการใช้ชีวิตของเรานั่นเอง หากเราผิดพลาดในเส้นทางที่เดิน
เราคงต้องให้เวลาตัวเองสักช่วงหนึ่ง เพื่อหยุดการก้าว
แล้วมองย้อนกลับไปในเส้นทางที่ผ่านมา เรียนรู้ข้อผิดพลาด แล้วบอกกับตัวเอง
ให้มีพลังเริ่มต้นใหม่

อย่าเพียงแค่คิดว่า การแต้มสีทับซ้ำ จะแก้ไขข้อเสียได้เสมอ

ถ้าชีวิต คือการก้าวเดินอยู่ใน เส้นทางสีน้ำ หากผิดพลาด จะปาดป้ายสีซ้ำ
เดินย่ำรอยเดิมคงไม่ได้ แต่เราเรียนรู้ จากความผิดพลาด และหาทางออกใหม่ๆ
ให้กับชีวิตได้เสมอ

ขอเพียงแต่ให้กล้าลงมือ กล้าก้าว และกล้าที่จะผิดพลาด

Toshiba เผย Satellite T130 ใหม่ โน้ตบุ๊กตัวแรกที่รองรับเทคโนโลยี 4G LTE

Toshiba-Satellite-T130_1

หลังจากที่ Samsung นำเสนอข่าวเปิดตัวเน็ตบุ๊กใหม่ LTE-packing N150 ได้ไม่นาน คู่แข่งคนสำคัญอย่าง Toshiba ก็พร้อมแล้วที่จะเผยโน้ตบุ๊กใหม่ ที่ใช้เทคโนโลยีในการเชื่อมต่อ 4G (LTE) Long Term Evolution ในงาน Mobile World Congress เมือง Barcelona ประเทศ สเปน

Satellite T130 มาพร้อมกับความเร็วในการดาวน์โหลดที่สูงถึง 16Mbps (มากกว่า 3G ที่เริ่มต้นเพียง 7.2Mbps) โดย LTE เป็นบรอดแบรนด์ที่สามารถเพิ่มความเร็วได้สูสุดถึง 100Mbps เลยทีเดียว

Toshiba-Satellite-T130_2

Toshiba ได้ปรับปรุง T130 ให้ ใช้ขุมพลังหน่วยประมวลผล Intel Ultra-Low Voltage (ULV) ซีพียูประหยัดพลังงานที่มาพร้อมกัน 4 รุ่น คือ ULV743, SU2700, SU3500, SU4100 ทั้งหมดมีความเร็วในการประมวลผล 1.3GHz โดย LTE ultra-portable โน้ตบุ๊กตัวนี้มีคุณสมบัติพิเศษที่ขนาด 13.3 นิ้ว จอแสดงผลแบบ TruBrite LED backlit ซึ่งมีความละเอียดมากสุด 1366×768 พิกเซล หน่วยความจำแรมเป็นแบบ DDR3 ที่ให้เราสามารถเพิ่มความแรงได้มากถึง 8 GB ทั้งนี้ T130 ยังมาพร้อมกับความจุฮาร์ดดิสก์ 500GB

โตชิบา CULV โน้ตบุ๊กแนวสปอร์ต ยังมีความสามารถพิเศษในการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11n และ Bluetooth 2.1+EDR ทั้งยังเพิ่มการสำรองไฟให้กับแบตเตอรี่โน้ตบุ๊กที่ใช้งานได้นานกว่า 11 ชั่วโมง และมีน้ำหนักเพียง 1.8 กิโลกรัม ใช้แบตเตอรี่จำนวน 6 ก้อน

T130 4G LTE ยังทำงานบนระบบปฏิบัติการ Windows 7 และมีความหนาเพียง 22.2 มิลลิเมตร หรือ (0.87 นิ้ว) สำหรับราคาและความสามารถอื่นๆ เพิ่มเติมนั้น คงต้องรออัพเดทข่าวกันต่อไปครับ

Toshiba-Satellite-T130_3

ที่มา : notebookcheck.net

สิบแง่คิดดีๆสำหรับชีวิต ประจำวัน



สิบแง่คิดดีๆสำหรับชีวิตประจำวัน

1. Stay out of trouble

จง หลีกห่างจากความยุ่งยาก เพราะถ้าตกลงไปแร้วมันขึ้นมาได้ยาก .


2. Aim for greater heights.

มอง เป้าหมายให้สูงๆหน่อย เผื่อเหนียวเอาไว้ พลาดไปเดี๋ยวเดือดร้อน


3. Stay focused on your job.

ทำ ความชัดเจนในเป้าหมายของงานที่ทำ ผิดเป้าหมายแล้วจะเหนื่อย

4. Exercise to maintain good health.

ออก กำลังกายสม่ำเสมอเพื่อสุขภาพ เพราะไม่มีใครช่วยเราได้

5. Practice team work.

ต้องเล่น กันเป็นทีม เพื่อเสริมพลัง

6. Rely on your trusted partner to watch your back. Take your time trusting others.

ให้เพื่อนร่วมงานที่ดีคอยช่วยสังเกตุงานเรา และเราก็แบ่งเวลาไปช่วยเพื่อนด้วย

7. Save for rainy days.

ใช้ทรัพยากรเผื่อเหลือเผื่อ ขาดไว้ด้วยในยามฉุกเฉิน

8. Rest and relax.

มีเวลาหยุดพักผ่อนและบันเทิงบ้าง ให้รางวัลกับตัวเอง

9. Always take time to smile.

ยิ้มเสมอในทุกสถานะการณ์ เดี๋ยวดีเอง

AND

และ

10. Realize that nothing is impossible.

รู้ไว้ว่า ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้

This should make you smile:

และ นี่จะทำให้คุณยิ้มออก...

THE SENILITY PRAYER : Grant me the senility to forget the people I never liked anyway, the good fortune to run into the ones I do, and the eyesight to t! ell the difference.

คำอธิษฐานของ ผู้อาวุโส : ให้ฉันชราลงเถอะ ฉันจะได้จำคนที่ฉันไม่ชอบไม่ได้ เป็นโชคดีของฉันแล้วที่ผ่านวัยมาจนวันนี้และได้เห็นความเปลี่ยนแปลงแห่ง ชีวิต

Now,give this to a bunch of your friends if you can remember who they are!!!

ส่ง ข้อความนี้ต่อไปให้เพื่อนๆอีก ถ้าคุณยังจำได้ว่ามีใครเป็นเพื่อน

Always Remember:

จำไว้เสมอว่า:

You don't stop laughing because you grow old, you grow old because you stop laughing!!!

คุณไม่หยุด หัวเราะเพราะคุณแก่ขึ้น

แต่คุณแก่ลงเพราะคุณหยุดหัวเราะ

+++ Hamster +++

+++ Playlist +++


MusicPlaylistRingtones
Create a playlist at MixPod.com

+++ coming soon +++