วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

โยคะร้อน เพื่อสุขภาพ

ช่วงนี้ใครๆ ก็หันมาเอาใจใส่สุขภาพกันทั้งนั้น การออกกำลังกายก็เป็นหนทางหนึ่งที่ช่วยเสริมสุขภาพของเรา ให้แข็งแรงยิ่งขึ้น สำหรับใครที่กำลังอยากที่จะใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์และดีต่อสุขภาพ ขอแนะนำ โยคะร้อน เพราะนอกจากท่าจะง่ายกว่าโยคะทั่วไปแล้ว ยังมีความร้อนเข้ามาช่วยให้กล้ามเนื้อเราผ่อนคลาย ทำให้ทำท่าต่างๆ ได้ง่ายขึ้นอีกด้วย



6 ท่าง่ายๆ สำหรับฝึกโยคะร้อน

. ท่า 1 Half Moon ยืนตัวตรง ยืดแขนขึ้นสูงเหนือศีรษะ ค่อยๆ เอนตัวไปทางซ้าย ค้างไว้ (ภาพ 1)
. ท่า 2 Back Bend ยืนตรง หันหน้าไปทางซ้าย ยืดแขนขึ้นสูงเหนือศีรษะ ค่อยๆ เอนไปข้างหลัง ค้างไว้ (ภาพ 2)
. ท่า 3 Forward Bend ยืนตรง หันหน้าไปทางขวา ค่อยๆ ก้มตัวลง จนหัว ชิดเข่า (สำหรับคนเพิ่งเริ่มหัด ก้มลงเท่าที่จะทำได้) ค้างไว้ (ภาพ 3)
. ท่า 4 Triangle Post ยืน ตรง กางแขน ก้าวขาขวามาทางด้านข้าง เท้ายึดพื้นเอาไว้ ค่อยๆ โน้มตัวไปทางขวา แขนซ้ายชี้ขึ้นบนทำมุมตรงกับแขนขวา ปลายนิ้วมือขวาจรดพื้น วางชิดด้านหลังเท้าขวา ค้างไว้ (ภาพ 4)
. ท่า 5 Twisting Triangle Post ยืนตรงหันหน้าไปทางขวา ก้าวเท้าซ้ายออกไป ค่อยๆ บิดตัวมาทางด้านหน้า วางมือขวาไว้ทางด้านนอกข้างเท้าซ้าย แขนซ้ายชี้ขึ้นบนทำมุมตรงกับแขนขวา ค้างไว้ (ภาพ 5)
. ท่า 6 Bow Post นอนราบกับพื้น กางแขนออกทั้งสองข้าง ขาชิดกัน ค่อยๆ ยกหน้าอกและขาขึ้นช้าๆ ค้างไว้ (ภาพ 6)


ข้อควรรู้ก่อนฝึกโยคะ
1. ต้องปรับความเข้าใจก่อนว่า การฝึกโยคะ จะต้องทำเท่าที่เราทำได้ อย่าพยายามฝืน ควรเริ่มทำช้าๆ ก่อน เพราะจะได้รับรู้ว่าตรงไหนตึง ตรงไหนเจ็บ หากทำเร็วๆ กระชากแรงๆ โดยที่ไม่รู้ว่ากล้ามเนื้อของเรายืดได้มากน้อยแค่ไหน อาจเกิดอาการเคล็ดขัดยอกขึ้นได้
2. ก่อนฝึก ควรกินอาหารมาก่อนอย่างน้อย 3 ชั่วโมง เพราะการฝึกโยคะร้อนต้องมีการขยับตัวแน่นอน ซึ่งถ้าหากกินอาหารแล้วมาฝึกโยคะเลย จะทำให้รู้สึกอึดอัด เวลาพับตัวท้องจะถูกกด อาจทำให้เกิดอาการหน้ามืด มึนหัว
3. ระหว่างวันควรดื่มน้ำให้เยอะ เพราะการฝึกโยคะร้อน ร่างกายจะเสียเหงื่อมาก อีกทั้งการดื่มน้ำเยอะๆ จะช่วยป้องกันการเป็นตะคริวได้ด้วย

Tips : ทุกท่าควรค้างไว้นานเท่าที่จะทนได้ หรือประมาณ 30 วินาที ถึง 1 นาทีฝึก


โยคะร้อนแล้วได้อะไร

- เมื่อฝึกโยคะอย่างสม่ำเสมอ ร่างกายจะมีการปรับสมดุลให้ดีขึ้น อย่างเช่น จะมีการปรับสมดุลในเรื่องของเลือด เลือดจะไหลเวียนได้ดีขึ้น ส่งผลให้เมตาบอลิซึ่มดีขึ้น ทำให้ร่างกายไม่อ้วน หุ่นดี
- ผิวพรรณเปล่งปลั่ง การฝึกโยคะร้อนก็คือการออกกำลังกาย จะมีเหงื่อออกมากขึ้น เกิดการขับถ่ายของเสียออกมาทางผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณสดใสเปล่งปลั่งขึ้นตามลำดับ

ล้างพิษและถอนพิษด้วยตำลึง

ตำลึง, ล้างพิษ, ถอนพิษ,  สมุนไพร, COCCINIA GRANDIS VOIGHT

"ตำลึง ไม้เลื้อยที่ชาวไทยรู้จักดีเพราะปลูกง่าย เลี้ยงง่าย พบเห็นได้ทั่วไป ในสมัยก่อนที่บ้านเรือนชาวไทยยังมีพื้นที่กว้างขวาง ดำเนินชีวิตแบบพอเพียง พึ่งพาอาศัยพืชผักผลไม้ที่ปลูกอยู่รายรอบบ้านนำมาทำเป็นอาหาร ตำลึงเปรียบได้ดั่ง "ผักสวนครัว รั่วกินได้" ของชาวไทยอย่างแท้จริง เพราะไม่ว่าจะหันมองไปทางไหนทุกริมรั้วบ้านก็มักมียอดอ่อนๆ ของผักตำลึงโบกพลิ้วปลิวไสวไปตามแรงลมให้เห็นจนชินตา ประโยชน์ของตำลึงนอกจากจะปลูกเป็นผักสวนครัว นำมาปรุงอาหารรับประทานได้โดยง่ายแต่สุดแสนเอร็ดอร่อยเป็นที่ถูกใจใครหลายๆ คนในครอบครัวแล้ว ตำลึงยังถือเป็น "ยาเย็น" ที่มีฤทธิ์ทาง สมุนไพรนานาประการ ไม่ว่าเป็นดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ ใช้เป็นยารักษาอาการแพ้โดยทั่วไป ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ฯลฯ และยังมีอีกหนึ่งสรรพคุณของตำลึงซึ่งไม่ควรมองข้าม นั่นคือ ฤทธิ์ในด้านการล้างพิษ ซึ่งครอบคลุมทั้งการล้างพิษภายในและการล้างพิษภายนอกร่างกายเลยทีเดียวค่ะ

จะขอพูดถึงการล้างพิษภายนอกร่างกายกันก่อนนะคะ ตำลึงหรือที่มีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า Coccinia grandis Voight สามารถนำมาใช้เป็นยาทาภายนอก เพื่อแก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย ผื่นคัน หรือการอักเสบทางผิวหนังที่เกิดการระคายเคืองเนื่องจากสารเคมีตกค้าง อาทิ เครื่องสำอางชนิดต่างๆ ได้ โดยการนำใบตำลึงสด ๑ กำมือมาล้างให้สะอาด บดจนละเอียด แล้วผสมน้ำ (ที่อุณหภูมิปกติ) ลงไปเล็กน้อย จากนั้นจึงคั้นเอาน้ำสมุนไพรที่ได้มาทาในบริเวณที่มีอาการ หลังจากน้ำสมุนไพรแห้ง ก็ทาซ้ำบ่อยๆจนกว่าจะหาย นับเป็นวิธีการล้างพิษทั่วไปที่เกิดขึ้นกับผิวหนัง โดยที่เราไม่ต้องพึ่งพาการใช้ยาเคมีใดๆ เลย นอกจากนี้ ในตำรายาสมุนไพรยังกล่าวถึงการใช้เอทิลแอลกอฮอล์ หรือ แอลกอฮอล์ที่สามารถรับประทานได้ ชนิดที่มีความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ไม่เกิน ๔๐ เปอร์เซ็นต์ (เข้มข้นมากกว่านี้อาจทำให้ผิวหนังแห้ง หรืออักเสบ) มาเป็นส่วนผสมลงในใบตำลึงบดละเอียดแทนการใช้น้ำธรรมดา (โดยปกติแล้วชาวบ้านส่วนใหญ่นิยมใช้เหล้าขาว) ซึ่งวิธีนี้ทำให้ได้ฤทธิ์ในการรักษาที่เข้มข้นยิ่งขึ้นกว่าเดิม เพราะมีเอทิลแอลกอฮอล์ที่เปรียบเสมือนตัวกลาง ช่วยสกัดสารที่อยู่ในใบตำลึงให้ออกมาได้มากขึ้น แต่อาจมีการตรวจสอบเบื่องต้นเสียก่อนว่า ผิวหนังเราแพ้เอทิลแอลกอฮอล์หรือไม่ ด้วยการนำน้ำสมุนไพรที่ได้มาพอกสังเกตดูอาการขั้นต้นก่อนที่ใต้ท้องแขน ซึ่งเป็นผิวหนังส่วนที่อ่อนที่สุดในร่างกาย เพียงไม่เกิน ๓-๔ ชั่วโมง ก็จะรู้ผลแล้วล่ะค่ะ แต่หากอาการเจ็บป่วยของท่านไม่อยู่ในขั้นรุนแรง หรือ เป็นโรคร้าย เช่น งูสวัด ก็ไม่จำเป็นต้องใช้เอทิลแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสมแต่อย่างใด เพียงแค่น้ำเปล่าหรือใบตำลึงบดสดๆ เพียงอย่างเดียวก็สามารถล้างพิษออกทางผิวหนังได้แล้ว คล้ายๆ กับการใช้ประโยชน์จากว่านหางจระเข้นั่นเองค่ะ

ประโยชน์ของตำลึงยังมีอีกมาก ในด้านการล้างพิษ เรายังสามารถนำตำลึงมารับประทานเพื่อล้างพิษหรือถอนพิษที่เข้าสู่ร่างกายจาก การรับประทานอาหารได้อีกด้วย

TIP :: ทำภาพถ่าย ให้เป็นภาพวาด !!

1. เปิดรูปที่ต้องการมา 1 รูป

โดยเข้าไปที่ File >> Open... >> โฟลเดอร์ที่เก็บรูป >> เลือกรูป >> Open

1

2

3


2. Copy Layer ขึ้นมา 1 เลเยอร์

โดยกด Ctrl + J หรือจะทำตามภาพก็ได้ !!

4


3. ไปที่เมนู Filter >> Stylize >> Find Edges [ตามภาพ]

5


พอกดตามขั้นตอนที่ 3 แล้ว จะได้ภาพแบบนี้

6


4.เปลี่ยนค่า Layer จาก Normal เป็น Overlay

แล้วเปลี่ยนค่า Opacity จาก 100 เป็น 80

7


5. ไปที่เมนู Filter >> Blur >> Gaussian Blur...


6. ตั้งค่าเป็น 1 - 1.5 ตามความเหมาะสม แล้วกด OK

9


7. ไปที่เมนู Filter >> Stylize >> Diffuse...


8. เลือก Normal แล้ว กด OK


9. ได้ภาพวาดของเราตามต้องการแล๊ว ว ว .

การผูกเชือกรองเท้าแนวๆ














ทำไมบางคน ถึงได้ใจทุกข์รอนอยู่เสมอ

ทำไมบางคนถึงทุกข์ร้อน วิตกกังวล กระวนกระวาย ไม่สบายใจ ไม่ปลอดโปร่งอยู่เสมอ

คำตอบง่ายมาก เพราะเขาแบกความคิดและความรู้สึกหลายอย่างเอาไว้ ไม่ปลดปล่อย ไม่ปรับเปลี่ยน จนกระทั่งมันกลายเป็นขยะหรือคราบสกปรกเกาะติดหัวใจ เวลามีอะไรมากระทบหรือสัมผัสกับความรู้สึก ก็จะมีคราบเปื้อนเหล่านี้เข้าไปเจือปน ความสดใสที่ควรจะมี จึงมีได้ไม่เต็มที่

ทำไมเราจึงปล่อยให้ใจเป็น "ถังขยะ" ล่ะ

คำตอบก็คือ เราไม่ค่อยรู้ตัวหรอก ว่าเราแอบทิ้งขยะลงไปในใจของเราเอง หรือมีใครทิ้งขยะลงมาในหัวใจของเราบ้าง ถ้าเราไม่หมั่นสำรวจ บางทีเราอาจมีขยะรกเรื้อหัวใจอยู่มากมายเลยก็ได้ อะไรบ้าง ที่เป็นขยะหัวใจ

1. ความไม่พอใจ

มีหลายเรื่องเลยนะ ในชีวิต ที่เราไม่พึงพอใจ ถ้าจะแบ่งให้กว้างที่สุดเพื่อให้เห็นภาพ สิ่งที่ทำให้เราไม่พอใจมีอยู่ 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ ไม่พอใจคนอื่น กับไม่พอใจตัวเอง ไม่พอใจคนอื่นเกิดได้มากกว่าความไม่พอใจในตัวเอง เพราะธรรมชาติของคน ย่อมรักตัวเองมากกว่าคนอื่น ย่อมโทษคนอื่นก่อนโทษตัวเอง ย่อมเห็นความผิดของคนอื่นได้ก่อนและได้ชัดกว่าความผิดของตนเอง

ขณะเดียวกันเราต่างก็รู้ว่า โลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ มีเกิน มีขาด จนกว่าจะค่อยๆ ปรับปรุงพัฒนาให้มีความพอดีได้ จึงจะเข้าใกล้ความสมบูรณ์แบบมากที่สุด ฉะนั้น เราควรมองด้านดีของกันและกันให้มากกว่าด้านที่บกพร่อง

ถ้าเราเริ่มจากมองด้านดีของกัน และกันแล้ว ความพึงพอใจ และความนับถือในกันและกันก็จะเกิด ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่สร้างสรรค์...กว่าการจับผิดกัน แล้วนำไปสู่ความไม่พอใจ

2. ความผิดหวัง

2 สิ่งที่ไม่ควรตั้งความหวังไว้สูงนัก คือหวังว่าเรื่องบางเรื่อง เหตุการณ์บางเหตุการณ์ หรือคนบางคนในอดีตจะย้อนกลับมา กับหวังว่าอนาคตจะเป็นไปตามที่เราวาดหวังเสียทุกประการ อดีตเป็นสิ่งที่ยากจะเรียกหาให้ย้อนกลับคืนมาเป็นเหมือนเดิม ดีที่สุดคือใช้อดีตเป็นบทเรียน ให้สติ ให้เราเรียนรู้ทั้งโอกาสและความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้น เพื่อให้วันนี้และวันข้างหน้า ดีกว่าอดีตที่เคยเป็น

ส่วนอนาคตย่อมเปลี่ยนแปลงไปตาม เหตุปัจจัย ไม่สามารถบังคับบงการให้เป็นไปตามความหวังของเราได้เสียทั้งหมด แต่พอจะคาดการณ์ได้ว่าน่าจะเป็นอย่างไร กระนั้นก็ตาม หากไม่เป็นไปอย่างที่คาดการณ์ ก็อย่าได้ทุกข์ร้อนเสียใจ และปล่อยความคาดหวังบนความไม่แน่นอนแบบนี้ให้เป็นขยะรกอารมณ์

3. ความอิจฉาริษยา

ขยะอย่างหนึ่งที่รกใจคนที่สุด ก็คือความอิจฉาริษยาคนอื่น โดยไม่ทันเฉลียวว่า ทุกครั้งที่เราอิจฉาริษยาใครก็ตาม ความนับถือตัวเองของเราก็เสื่อมถอยลงไปด้วย เพราะการจะรู้สึกอิจฉาหรือริษยาใครนั้น ย่อมมีพื้นฐานมาจากความรู้สึกว่าเขาดีหรือได้ดีกว่าเรา เราจึงอิจฉาเขาเป็นพัลวัน

จงหยุดอิจฉา แล้วมองให้เห็นว่า การที่คนอื่นได้ดีหรือมีดีกว่าเรานั้น เป็นสิ่งที่น่ายินดี ควรยินดีกับเขา และปรับเปลี่ยนโน้มน้าวตัวเองให้ทวีความดีดั่งที่เขามีจนเราอิจฉา

4. ความยึดมั่นถือมั่น

ขยะที่เพิ่มพูนความรกเรื้อ รุงรังให้ใจได้เป็นอย่างดีอีกประการหนึ่งคือ ความยึดมั่นถือมั่น คิดว่านั่นก็คนของฉัน นี่ก็บ้านของฉัน รถของฉัน คนรักของฉัน ตำแหน่งของฉัน ฯลฯ จนไม่สามารถปล่อยวาง ?สิ่งนอกตัว? เหล่านั้นลงได้

ส่วนใหญ่พบว่า จิตจะปรุงแต่งไปเอง ว่าสิ่งนี้ฉันรัก สิ่งนี้ฉันเป็นเจ้าของ ใครก็เอาไปจากฉันไม่ได้ พอไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ ก็ผูกพันหน่วงเหนี่ยว ยังคงเสียดาย เสียใจ และปรุงแต่งจิตเพิ่มเข้าไปว่าฉันนี้แสนทุกข์ระทม

ลองยอมรับความจริงดูบ้างไหม ว่าอะไรๆ ในโลกนี่ก็ไม่ใช่ของเราอย่างถาวรทั้งสิ้น แม้กระทั่งร่างกายของเรานี้ แท้ก็เป็นแค่ของยืมมา ใช้ได้ชาตินี้ชาติเดียว เดี๋ยวก็เสื่อม ก็แก่ ก็ป่วย ก็ตาย ต้องคืนร่างกายสังขารนี้สู่สภาพดิน น้ำ ลม ไฟ เน่าเปื่อยผุพังไป สิ้นความสวยความหล่อ ตลอดจนลาภยศสรรเสริญทั้งปวง

5. ความกลัว

ใจหลายคน รุงรังไปด้วยความกลัว กลัวเขาจะไม่รัก กลัวเงินจะหมด กลัวฝนจะตก กลัวนายจ้างจะเลิกจ้าง กลัวเพื่อนร่วมงานจะได้ดีกว่า กลัวไม่ก้าวหน้า ไม่ได้โบนัส ฯลฯ

กลัวไปทำไม เรื่องบางเรื่องเราตัดสินเองไม่ได้ อยู่นอกเหนือจากการควบคุม ซึ่งกลัวไปก็เท่านั้น ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นสักนิด บางเรื่องแทบไม่มีวันมาถึงในชีวิต ก็กลัวล่วงหน้า กลัวจนประสาทเสีย

จงพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับทุกคน และทุกสิ่งในชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี ซึ่งต้องเริ่มจากการทำแต่สิ่งที่ดี โปร่งใส ไม่เป็นแผลติดตัวที่ต้องปิดบังซ่อนเร้น และจงขจัดความกลัวออกไปจากใจ เพื่อให้เกิดความมั่นใจที่จะใช้ชีวิตของเราให้สมศักดิ์ศรี เพื่อที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพื่อทำให้ชีวิตนี้ดีกว่าเดิม


6. ความอยาก

จง "อยาก" ให้พอดีกับกำลังกาย กำลังทุน และกำลังสติปัญญาของตัวเอง อย่าอยากจนเกินกำลัง เพราะจะทำให้สิ้นกำลังได้ง่าย แล้วกลายเป็นคนพ่ายแพ้ อ่อนแอ หมดสิ้นความทะเยอทะยานอยากในชีวิต

ความทะเยอทะยานอยากเหมือนรถ แต่ใจเราคือคนขับ รถแล่นด้วยความเร็วกำลังดี เราก็ได้ประโยชน์ จอดอยู่เฉยๆ ก็นิ่งอยู่กับที่ แต่หากแล่นฉิวจนเกินควบคุม ก็อันตรายกับชีวิต ฉะนั้น ใจต้องเป็นนายของความทะเยอทะยานอยาก ขับเคลื่อนความทะเยอทะยานอยากโดยควบคุมได้

ทำอย่างไรให้ใจสะอาด

เริ่มจากปล่อยวางสิ่งต่างๆ ลง อย่ายึดติดยึดถือให้มากนัก แล้วอยู่กับปัจจุบัน อะไรที่อยู่กับเรา เป็นของเรา ย่อมอยู่กับปัจจุบันของเราด้วย นั่นคือสิ่งจริงแท้แน่นอน การปล่อยวางสิ่งต่างๆ ลง เท่ากับการเทขยะทิ้ง การอยู่กับปัจจุบัน เท่ากับการปิดฝาถังขยะ ไม่เปิดรับขยะใหม่ๆ ให้ใจต้องสกปรกรกรุงรังอีก เพื่อมีเวลาทำความสะอาดหัวใจให้ผ่องใส เบิกบาน

ใจ...แท้จริงผ่องใสด้วยตัวของ มันเอง แต่คนที่เป็นเจ้าของหัวใจต่างหาก ที่ชักนำสิ่งต่างๆ มาปะพอก จนใจนั้นหมดสภาพ ฟื้นหัวใจให้กลับไปผ่องใสดังเดิมกันเถิด ปัดฝุ่นและคราบเขม่าทั้งหลาย แล้วเปิดทางให้หัวใจได้หายใจ เต้น และรู้สึกด้วยตัวของมันเอง

อย่าไปบงการหัวใจมาก เพราะแทนที่จะเป็นหัวใจ มันจะกลายเป็นถังขยะแทน

ภาพจาก
http://www.yenta4.com/cutie/view_img.php?d_id=1624&cate_id=6

วันนี้เข้าใจตัวเองแล้วหรือยัง







+++ Hamster +++

+++ Playlist +++


MusicPlaylistRingtones
Create a playlist at MixPod.com

+++ coming soon +++