วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

8 เคล็ดลับเปลี่ยนเช้าวันจันทร์...เป็นวันสดชื่น





โดยเฉพาะอย่างยิ่งมนุษย์เงินเดือนที่มีอาการอีเดียดวันจันทร์ พอจะถึงวันจันทร์ทีไร พาลจะครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดหัวตัวร้อน เพราะนั่นหมายความว่าวันหยุดสุดสัปดาห์อันแสนหอมหวานกำลังจะหมดไป แล้ววันที่การทำงานดำเนินไปอย่างแสนสาหัสมากที่สุดในรอบสัปดาห์กำลังจะเริ่ม ขึ้นนั่นเอง

ขอต้อนรับคุณกลับสู่โลกแห่งความจริงด้วยเคล็ด ลับรีเฟรชพลังงาน 8 ประการให้กลับมาฟิตปั๋ง ดึ๋งดั๋ง พร้อมสู้กับภยันตรายที่แฝงมาในรูปแบบความเบื่อหน่ายนานา เริ่มจาก....


1.ร่ายลิสต์ งานจิปาถะ จุกจิกจุ๊กจิ๊ก ร้อยแปดพันอย่างที่จะต้องทำในสัปดาห์นี้ซะตั้งแต่เย็น วันอาทิตย์
เขียนลงสมุดออร์กาไนเซอร์หรือจดลงปาล์ม เรียงลำดับความยาก-ง่าย หรืองานเร่งด่วน-งานที่ไม่มีเดดไลน์ เพื่อความสะดวกสบายในการเริ่มต้นงานที่ได้รับมอบหมายในสัปดาห์นี้ อาทิ เขียนหมายการประชุมให้เรียบร้อย, จัดการอีเมลในเมล บ๊อกซ์ซะที่ต้องเขียนตอบกลับก็จัดการให้สิ้นซาก การจัดการกับสิ่งเบ็ดเตล็ดเล็กน้อยเหล่านี้ในอารมณ์สบาย ๆ ไม่ต้องรีบเร่ง จะช่วยให้คุณผ่อนคลาย ขึ้นและสามารถควบคุมทุกอย่างไม่ให้ยุ่งเหยิงได้ตลอดสัปดาห์


2.มีเหมือนกันประเภทที่เกลียด วันอาทิตย์พอ ๆ กับเกลียดเช้าวันจันทร์ หากคุณเป็นประเภทนี้ ยิ่งต้อง ทำลิสต์สิ่งที่ต้องทำไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้วหา กิจกรรมเบา ๆ ทำในวันอาทิตย์ เพื่อไม่ให้รู้สึกเหนื่อยจนกระทั่งเกิดอาการ ‘ล้า’ ในวันรุ่งขึ้น ที่ต้องทำลิสต์ไว้ก่อนอื่นก็เพื่อเป็นการค่อย ๆ ปรับทัศนคติของคุณให้รู้สึกดี ขึ้นกับวัน อาทิตย์ ให้คุณรู้สึกปล่อยวางกับวันหยุดสุดสัปดาห์อย่างแท้จริง เพราะ ถ้าคุณวางแผนทุกสิ่งทุกอย่างไว้เสร็จสรรพแล้ว คุณจะได้ไม่รู้สึกว่ามีอะไรมาบีบรัดความรู้สึกของคุณอีกต่อไป


3.ทำความสะอาดโต๊ะทำงาน ตั้งแต่บ่าย ๆ วันศุกร์ได้เลย ข้อนี้สำคัญไม่ใช่เล่น อย่าเผลอมองข้ามไป ส่วนมากช่วงเวลาสุดท้ายของการทำงานในสัปดาห์นั้น ๆ จะไม่ค่อยมีงานยุ่งมากแล้ว ใช้เวลาช่วงนี้ทำความสะอาดพื้นที่ทำงานของคุณดีกว่า แยกงานหรือเอกสารที่สำคัญ ๆ ให้เรียบร้อยสะอาดตา อะไรที่ควรจะทิ้งได้ก็ทิ้งซะจะได้ไม่รกหูรกตารกใจอีกต่อไป อัพเดทลิสต์งานใหม่ ๆ ที่จะต้องลงมือในวันจันทร์ การเคลียร์พื้นที่แบบนี้จะ ทำให้คุณปลอดโปร่งโล่งสบาย เมื่อกลับมาทำงานต่อในวันจันทร์หน้า คุณจะได้โฟกัสกับงานตรงหน้าอย่างเดียวไม่มีเรื่องหงุดหงิดกวนใจ


4. มาถึงกลยุทธ์ด้านสุขภาพกันบ้าง เริ่มต้นวันด้วยการออกกำลังกายแบบเบา ๆ วิ่งอยู่ กับที่สัก 100 ที ก่อนออกจากบ้านหรือวิ่งเหยาะ ๆ เบา ๆ สัก 30 นาทีในสวนสาธารณะระหว่างทางไปออฟฟิศ การออกกำลังกายเป็นวิธีที่ชัวร์มากที่สุดที่จะทำวันจันทร์หม่น ๆ ของคุณให้สดใสได้ มีการวิจัยพบว่า การออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายหลั่งสาร ‘เซโรโทนิน’ สู่สมองของคุณ ซึ่งสารเคมีตัวนี้ จะป้องกันไม่ให้คุณซึมเศร้ามัวหมองได้ จากนั้นเพิ่มระดับดีกรีการออกกำลังกายให้เพิ่มขึ้น จากแค่วิ่งเหยาะ ๆ ก็เพิ่มระดับเป็นวิ่งแบบจริงจังสัก 30 นาทีจนเหงื่อออก เพียงครึ่งชั่วโมงก็เพียงพอสำหรับ การบริหารกล้ามเนื้อหัวใจ ให้หัวใจได้สูบฉีดเสียบ้าง ผลพลอยได้อีกอย่างที่คุณจะได้ก็คือ คุณจะมีผิวพรรณเปล่งปลั่งเป็นยองใย ก็ถ้าคุณมีผิวพรรณที่ผุดผาดขนาดนั้น แล้วยังเหนื่อยหน่ายอยู่ได้อีกก็ให้ มันรู้ไป


5. รับประทานอาหารเช้าที่ดีต่อสุขภาพกันเถอะ หลายคนมองข้ามว่าอาหารเช้ามักไม่สำคัญทั้งที่นักโภชนาการก็ออกมาประกาศปาว ๆ แล้วว่า มื้อเช้าคือมื้อที่สำคัญที่สุดสำหรับทุกคน การที่คุณเลี่ยงมื้อเช้า (จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็แล้วแต่) จะทำให้คุณรู้สึกเฉื่อยชาและสติสตังไม่อยู่กับเนื้อ กับตัว ทางที่ดีควรเพิ่มคุณค่าในอาหารเช้าด้วยจะดีกว่า อาหารที่จะกระตุ้นให้คุณคึกคักมีพลังตลอดทั้งเช้าวันทำงาน ได้แก่ ไข่เจียวใส่ผักนี่แหละค่ะ ง่าย ๆ แต่ล้นเหลือด้วยคุณค่าทางโภชนาการ, ข้าวโอ๊ต, ลูกเกด แต่ถ้าไม่กลัวอ้วน ก็ลองทานชีส เพราะในชีสมีขุมพลังงานอยู่มาก พวกผลไม้ต่าง ๆ ก็ดีไม่น้อย


6.จบกลยุทธ์ด้านสุขภาพ ก็อย่าลืมใส่ใจกับข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวที่ประดับอยู่บนตัวคุณ เสื้อผ้าหน้าผม อันนี้คุณผู้ชายอาจจะไม่คุ้น ถ้าต้องมาใส่ใจเป็นพิเศษกับเรื่องพวกนี้ แต่ก็อย่าละเลยค่ะ
คุณ ๆ ขา เชื่อหรือไม่ว่าการแต่งตัวมีผลต่อสภาพของอารมณ์คุณจริง ๆ สำหรับการเริ่มต้นในเช้า วันจันทร์ลองคิดแบบตั้งใจจริงจังว่าคุณจะใส่ชุด ไหนในวันจันทร์ดี สร้อยสีอะไร ตุ้มหูคู่ ไหนจะแมตช์กัน เนกไท รองเท้า เอา ให้เฟี้ยวฟ้าวหล่อ-สวยมั่นกัน เป็นแถว ๆ เวลาคุณก้าวเดินออกจากบ้านแล้วให้รู้สึกดีที่จะได้ไป พบเจอผู้คน แต่งตัวให้รู้สึกว่าคุณเป็นจุดสนใจ (ในทางชื่นชม) แก่ผู้พบเห็น จัดเตรียมตั้งแต่ตอน กลางคืน รีดให้เรียบตรวจดูความเรียบร้อย เพราะถ้าตื่นเช้ามาล่ก ๆ จัดเสื้อผ้าในเวลาเร่งรีบแบบนั้น จะทำคุณประสาทเสียเอาเปล่า ๆ


7.นัดเพื่อน ๆ ทานมื้อกลางวัน หรือทำอาหารกลางวันมาทานเอง
การได้นัดเจอเพื่อน หรือหวานใจในตอนกลางวันจะทำให้คุณรู้สึกตื่นเต้นขึ้นในตอนเช้า ถ้าเรื่องเงินเป็นปัจจัยใหญ่ในการนัดทานอาหารก็ลองตื่นเช้ากว่าเดิมอีกหน่อย แล้วทำอาหารจากบ้านไปเอง หาสวนสาธารณะใกล้ออฟฟิศนั่งกินกลางวันกัน หรืออาจจะหาที่เหมาะ ๆ ในออฟฟิศนั่นแหละ แต่อย่าเม้าท์เพลินจนเลยเวลาพักซะล่ะ มิเช่นนั้นล่ะได้เครียดของจริงแน่ ๆ แต่ถ้าไม่มีเวลาพัก จริง ๆ อาจจะเลื่อนเป็นช่วงคอฟฟี่เบรกตอนบ่าย 3 โมงก็ยังดี


8. ชาสารพัดความสุข ชาเขียวที่ชงสด ๆ ร้อน ๆ จะทำให้คุณสดชื่นระหว่างวันได้ดี
ไม่น่าเชื่อ การดื่มชาจากถ้วยอุ่น ๆ ตามแบบพิธีการดื่มชาในสมัยโบราณ มีคุณสมบัติช่วยทำให้ผ่อนคลาย ได้ในตัวของมันเอง โดยเฉพาะชาเขียว ซึ่งผลการวิจัยบอกว่าชาเขียวมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่เป็นสารป้องกันมะเร็งและโรคอื่น ๆ ได้ ที่ หลาย ๆ คนน่าจะทราบกันดีอยู่แล้ว อย่าให้มันเป็นแค่กระแสที่พัดมาวูบไป เพราะเจ้าชาเขียวมีประโยชน์อนันต์จริง ๆ ถ้าเบื่อแล้วลองเลือกหยิบชาสมุนไพร จะเป็นชามะนาวหรือชาเป๊ปเปอร์มิ้นท์ก็ได้ เลือกเอา ที่มีกาเฟอีนน้อยที่สุด เพราะตอนนี้คุณกำลังบำบัดอาการเบื่อโลกอยู่ ถ้ายิ่งรับกาเฟอีนเข้าไปเยอะ ก็จะยิ่งมีผลเสียในระยะยาวเข้าไปใหญ่


ลองปฏิบัติแบบจริงจังดู ไม่แน่ว่า...วันจันทร์อาจกลายเป็นวันที่คุณรอให้มาถึงเร็วที่สุดก็เป็นได้!

ชีวิตเราเปรียบเสมือนเกมโยนบอล 5ลูก




หากชีวิตเราเปรียบ เสมือนเกมโยนบอล 5ลูก สลับกันไปในอากาศคล้ายนักเล่นกล บอลทั้ง 5 เปรียบได้กับ งาน, ครอบครัว, สุขภาพ, เพื่อน และจิตใจ เราคงต้องบอกว่า

งาน นั้นคงต้องเป็นลูกบอลยาง ซึ่งแม้ว่าเราจะพลาดพลั้งทำตกกี่ครั้ง มันก็สามารถที่จะกระเด้งกระดอนกลับมาให้เรานำกลับมาเล่นต่อได้

แต่บอลอีก 4 ลูกที่เหลือ คือ ครอบครัว สุขภาพ เพื่อน และจิตใจนั้นเป็นเช่นลูกแก้ว การพลาดพลั้งทำลูกใดลูกหนึ่งตกไปนั้น แม้เป็นเพียงแค่รอยถลอก รอยตำหนิเล็กๆ รอยหัก แหว่ง หรือแตกละเอียด
ก็ล้วนแต่เป็น สิ่งที่เราไม่สามารถแก้ไขให้มันกลับมาเป็นลูกแก้วที่แววใสดังเดิมได้

ดังนั้นเราจึงควรระลึกอยู่เสมอว่า..... ชีวิตเราคือ.....การต่อสู้ประคับประคองบอลทั้ง 5 ลูก ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงให้สมดุลมากที่สุด.....ทำอย่างไรน่ะหรือ ??

อย่าง แรก.....

** จงอย่าประเมินค่าของตัวเองให้ต่ำต้อย โดยการเปรียบเทียบกับคนอื่น พึงระลึกเสมอว่าเราทุกคนล้วนแตกต่างกัน และทุกคนก็มีความพิเศษเป็นของตนเองโดยเฉพาะ อย่าปล่อยให้ชีวิตผ่านไปอย่างไร้ค่า โดยการปล่อยเวลาให้ผ่านไป

** จงคิดว่าทุกๆ วันที่ผ่านพ้นไปคือส่วนหนึ่งของชีวิตเรา อย่าเพิ่งละความพยายามเมื่อเจอปัญหา

** จงจำไว้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะจบสิ้นเมื่อคุณทิ้งความพยายามของคุณเอง อย่ากลัวที่จะยอมรับว่าเราไม่ใช่คนที่สมบูรณ์พร้อมในทุกอย่าง เพราะการหลงตัวเองจะเปรียบเสมือนผมเส้นบางๆ ที่บังตาไม่ให้คุณมองเห็นผู้คนรอบข้าง

** จงอย่ากลัวการเสี่ยง เพราะมันคือโอกาสที่คุณจะได้เรียนรู้ถึงความกล้าหาญ อย่าทิ้งความรักไปจากชีวิต โดยการบอกว่ามันไม่มีทางที่จะหาพบ หนทางที่ง่ายที่สุดที่จะได้รับ

...ความรักคือการรู้จักให้ และการรักษาความรักที่ดีที่สุดคือ ...การให้อิสระกับมัน

จำไว้ว่า ยิ่งคุณพยายามไขว่คว้ามันไว้กับตัวคุณมากเท่าไร มันก็ยิ่งจะจากไปจากคุณได้เร็วเท่านั้น ...อย่าพิจารณาชีวิตของคุณเร็วเกินไป จนคุณลืมที่จะนึกว่าคุณมาจากที่ไหนและ... คุณกำลังจะไปที่ใด พึงตระหนักว่าความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่มนุษย์เราต้องการคือ... ความประทับใจ

** จงอย่ากลัวการรับรู้ หรือเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ความรู้นั้นไร้น้ำหนัก...แต่เป็นทรัพย์สมบัติอันมีค่าที่มันจะติดตัวคุณไป และจะไม่มีใครที่สามารถขโมยมันไปจากคุณได้ ** จงใช้เวลาและคารมอย่างระมัดระวัง เพราะทุกสิ่งที่ผ่านไปจะไม่สามารถย้อนกลับคืนมาได้ เหมือนสายน้ำที่ไม่มีวันจะไหลย้อนกลับ

** จงรู้ว่า ชีวิตไม่ใช่การแข่งขัน แต่ชีวิตคือ.. การเดินทางคือ...การสัมผัสรับรู้ในแต่ละก้าวที่เดินไป

** และสุดท้าย จงจำไว้ว่า ความดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง

♣ รักทางไกล ทำอย่างไรให้ไปรอด ♣



ที่เคยได้ยินว่าความ รักต้องการความใกล้ชิด แนบสนิทกันตลอดเวลานั้นไม่จริงเสมอไป ที่รักกันเป็นคู่ปาท่องโก๋ มีกันและกันอยู่ในลมหายใจตลอดเวลา ก็ใช่ว่าจะรักกันเช่นนั้นได้ยืนยาว เพราะฉะนั้น เมื่อถึงคราวที่ความรักต้องอยู่ห่างจากอก ด้วยเหตุผลของชีวิตต่าง ๆ นานา จะแค่ข้ามโรงเรียน ข้ามบริษัท ข้ามจังหวัด หรือข้ามประเทศ ในเมื่อขึ้นชื่อว่ารักแล้ว แค่ระยะทางหาใช่อุปสรรคไม่ เพียงแค่เกิดสะดุดและขัดข้องทางเทคนิคเท่านั้น แต่ถ้ามีวิธีการรับมือกับความรักที่อยู่ห่างไกล เรื่องหัวใจก็ไม่ใช่ปัญหา แค่คุณปรับหัวใจให้ชินกับระยะทางด้วยการ...

วางแผนชีวิต

จะช่วยลดอาการฟุ้งซ่านและความคิดถึงได้เป็นอย่างดี แถมยังได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันมากกว่ามานั่งปล่อยลมหายใจแห่งความคิดถึงให้ ฟุ้งไปวัน ๆ ระหว่างที่ยุ่งวุ่นวายกับการจัดการชีวิตของตัวเอง ก็ ขีดปฏิทินนับวันเวลาที่จะได้เจอคนรักไปด้วย นอกจาก นั้นก็อาจจะหาอะไรทำเพื่อจะทำให้คิดถึงคนรัก หรือเพราะได้เขาหรือเธอคนนั้นเป็นแรงบันดาลใจ เป็นการคิดถึงอย่างมีเป้าหมาย การรอคอยก็จะไม่เปล่าเปลี่ยวอีกต่อไป

ตั้งกฎระหว่างกัน

ในการที่จะคุยกับคนใหม่ หรือเปิดรับใครเข้ามา ไม่ใช่ข้อห้าม เพราะบางทีการห่างไกลกัน แล้วยังมัวเห็นแก่ตัวเอง ไม่ให้ใครผ่านเข้ามาในชีวิตของ อีกฝ่ายเลย นอกจากอึดอัดแล้ว ก็อาจดีแตกได้ง่ายมาก เพราะความห่างไกลหาใช่ความสัมพันธ์นั้นจะเปราะบางลง หากแต่คือบทพิสูจน์ข้อหนึ่ง ดังนั้นการตั้งกฎขึ้นมา จึงถือเป็นการทดสอบการเคารพและ การซื่อสัตย์ต่อทั้งตัวเองและต่อคนรัก และเป็นการเปิดโอกาสให้กันอย่างแฟร์ ๆ ทั้งสองฝ่าย ลองตั้งกฎที่เปิดโอกาสให้ขนาดนี้แล้วยังผิดกฎ กติกา มารยาทแล้ว ก็คงต้องปล่อยให้ระยะทาง (และความไม่มั่นคงทางจิตใจ) ชนะความรักครั้งนี้ไปเถอะ

ขัดใจเมื่อไหร่ให้รีบเคลียร์

ก็ขนาดใกล้กันแล้วทะเลาะขัดใจกันยังอันตรายอยู่ นับประสาอะไรกับการอยู่ห่างไกลกันขนาดนี้ เห็นทีต้องรีบเคลียร์ให้ไวที่สุด อย่าปล่อยให้ค้างเนิ่นนาน เพราะยิ่งไกลหูไกลตากันอยู่แล้ว จะมีอะไร ผ่านเข้ามาที่จิตใจต่างก็ว้าวุ่นกันอยู่ก็ไม่รู้

แบ่งปันเรื่องราวในชีวิตประจำวัน

ห่างแต่ตัว...หัวใจใกล้ รับรู้เรื่องราวของกันและกันผ่านช่องทางการสื่อสารที่มีอยู่มากมายประดามี เสมือนอยู่ด้วยกันตลอดเวลา แถมเวลาหงุดหงิด เพราะต้องการเวลาส่วนตัวก็ยังมีอีกต่างหาก แม้คุณจะต้องเดินอยู่คนเดียว แต่ก็รับรู้ไว้อยู่กับตัวและหัวใจไว้ได้เลยว่า คุณไม่ได้โดดเดี่ยว เพราะคนรักคุณอยู่ในใจและใกล้ชิดกันตลอดเวลา ไม่แพ้ใคร บอกเล่าเรื่องราว สิ่งที่พบเจอในแต่ละวันด้วยกัน ไม่ว่าจะฟ้าร้อง ลมแรง แดดเปรี้ยง ฝนตก หรือว่าหนาว จับใจ จะหิว หรือจะอิ่ม อ้วนขึ้น ผอมลง บอกเล่ากับเขาหรือเธอ ให้ต่างคนต่างได้จินตนาการถึงกันและกัน

อย่าถือสาเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ

จริงอยู่ที่ทุกครั้งที่เกิดเรื่องบาดหมางหัวใจเมื่อไหร่ เป็นต้องรีบเคลียร์ในทันใด แต่ก็ใช่ว่าจะยึดถือทุกเรื่องทุกสิ่งเป็นประเด็นสำคัญไปเสียหมด ไม่เช่นนั้นรักจะยิ่งขม ด้วยสาเหตุจากทั้งระยะทางบวกกับทัศนคติ ปล่อยวาง ทำใจ และยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น มองอะไรให้เป็นเรื่องขำ ๆ เพราะจริง ๆ ก็เรื่องขำทั้งนั้น เมื่อมองย้อนกลับมา หากแต่อารมณ์ ณ ขณะนั้นมันนำพาให้คุณเดือดดาลไปก่อนแล้ว โกรธข้องหมองใจอยู่คนเดียว เสียสุขภาพจิตเปล่า ๆ คนไกลเขาไม่รู้หรอก

กระชับสัมพันธภาพกับคนรอบข้างของคนรัก

ถึงตัวเขาหรือเธอจะไม่อยู่ใกล้ ๆ แต่ความสัมพันธ์และสายใยต่าง ๆ ที่เขามีกับครอบครัว หรือเพื่อน ๆ ก็ยังคงต้องสานต่อโดยคนรักที่เป็นตัวแทนเขาได้ ทำให้หายคิดถึงแถมมิตรภาพและสายสัมพันธ์ยังอบอวลด้วย และในวันที่เขาหรือเธอกลับมา คนรู้ใจของชีวิตทุก ๆ คน ก็ยังอยู่เหมือนเดิม ไม่เสื่อมสลายและห่างหายไปไหนเลย

มองโลกในแง่ดี แง่จริง ไม่กลิ้งกลอกหลอกตัวเอง

เชื่อมั่นในตัวเองและในความรัก แม้จะได้ยินมาหลายปากว่า “รักแท้แพ้ระยะทาง” เสมอ โอ้ฟังอย่างนี้เห็นทีใจฝ่อตั้งแต่ยังไม่ถ่อเดินทาง ให้คิดว่าล้านคน ล้านคู่ก็ล้านรายละเอียด ใช่ว่าทุกความรักที่มีระยะทางมากั้นขวาง ไว้จะจบลงแบบแซดเศร้าเสมอไป คุณต้องดึงพลังความเชื่อมั่นออกมาบริหารจัดการความรักระยะทางไกลแบบฉบับของ คุณเอง พอใจในวิถีชีวิตของคุณ โดยที่อย่าไปเอาบรรทัดฐานที่คุณตั้งขึ้นเองมาวัดตัดสินความรักของคุณ

ให้ความคิดถึงได้ทำงาน และเป็นแรงผลักดันให้ความมั่นคงและเชื่อใจของกันและกันได้ไหลลื่น เพิ่มรสชาติของความรักให้กลมกล่อม มีคิดถึง มีตื่นเต้น มีห่วงหา เพราะบางทีบางครั้งความรักที่ไกลห่าง ก็อาจเพิ่มประสิทธิภาพของความรักได้ลงตัวกว่าความใกล้ชิด ใช้ “ที่ ว่าง” ระหว่างกันให้เป็นประโยชน์

สร้างอุปนิสัยผู้ประสบชัยชนะ




อริสโตเติล กล่าวไว้ว่า ...

"เราเป็นเช่นที่เรากระทำ หากต้องการประสบชัยชนะ ก็จงกระทำให้ติดเป็นนิสัย"

นี่คือข้อพิสูจน์ว่า หากเราต้องการจะเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในงานอาชีพเราก็จะต้องฝึกฝนตนเอง สร้างอุปนิสัยให้เป็นคนที่กระทำสิ่งใด ๆ แล้ว จะต้องประสบชัยชนะเสมอไป

อุปนิสัยที่จะต้องสร้างสม เพื่อให้เคยชินกับการประสบความสำเร็จ คือ

คาดการณ์ล่วงหน้า ลงมือก่อนใคร ๆ
คน ที่นิ่งเฉยรอให้เหตุการณ์ต่าง ๆ มาถึงตัวก่อนจะตัดสินใจกระทำสิ่งใด คือ
คน ที่รอจนเกิดปัญหาจึงลงมือแก้ แต่ถ้าเราคิดว่าอนาคตจะต้องเป็นเช่นไร
และ ลงมือกระทำในสิ่งที่ถูกต้องก่อนใคร ๆ ความสำเร็จย่อมเกิดขึ้นได้บ่อย ๆ

เริ่มงานพร้อมภาพสุดท้ายในใจ
เริ่มงาน ในวันนี้ พร้อมจินตนาการว่าจุดสิ้นสุดของงาน คือความสำเร็จจะเป็นเช่นไร
เพื่อ จะได้ก้าวเดินแต่ละขั้นเพื่อจุดมุ่งหมายที่ปลายทางคือชัยชนะ

จัดลำดับขั้นตอนอย่างถูกต้อง
ความ สำเร็จมิใช่เกิดจากโชค การทำงานหนัก หรือความชาญฉลาด หากแต่จะต้องเริ่มจากจุดที่ถูกต้อง หมายความว่าจะต้องเลือกขั้นตอนการทำงานตามลำดับควมสำคัญ ลงมือปฏิบัติโดยให้ความสามารถ ความเพียรพยายาม และโชค เป็นองค์ประกอบูก

คิดว่าจะชนะ แล้วจะชนะ
การทำงานใด หากไม่มีความมั่นใจตั้งแต่ต้น ย่อมไม่อาจจะชนะได้ ผู้ที่จะประสบความสำเร็จจะต้องคิดคเสมอว่า เราจะชนะ เราจะชนะและชัยชนะย่อมเป็นของผู้นั้นี

เข้า ใจเขา เพื่อเขาจะเข้าใจเรา
ในการติดต่อสื่อสารกับบุคคล อื่น ตั้งใจฟังเพื่อให้เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด
เมื่อรู้ถึงความต้องการของ เขาแล้ว ก็จะสามารถสร้างความเชื่อถือ ความสัมพันธ์
และความมีเหตุผลที่ จะทำให้เขาเข้าใจในตังเรา

รวมพลัง
ตะเกียบ ทั้งแท่งมีควาแข็งแกร่งเท่าไม้ทั้งต้น ฉันใด การรวมตัวกันทำงานเป็นทีม
ย่อม สร้างความได้เปรียบกว่าผู้ที่ทำงานเพียงหนึ่งหรือสองคน ฉันนั้นท่

ลับมีดให้คมตลอดเวลา
หมายความ ถึงการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทั้งร่างกาย จิตวิญญาณ ความคิด สังคมและอารมณ์

วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เผย Apple พร้อมส่ง iPhone รุ่นใหม่ 24 ล้านเครื่องภายในปีนี้

เผย Apple พร้อมส่ง iPhone รุ่นใหม่ 24 ล้านเครื่องภายในปีนี้



มีรายงานข่าวออกมาจากแหล่ง ข่าว Digitimes ว่า Foxconn บริษัทเทคโนโลยีสัญชาติไต้หวันได้เตรียมที่จะทำการส่ง iPhone เจนเนอร์เรชั่นใหม่ออกมาประมาณ 4.5 ล้านเครื่องภายในปลายเดือนมิถุนายนนี้ และประมาณ 19.5 ล้านเครื่องจนถึงสิ้นปี 2010



โดย Apple จำหน่าย iPhone จำนวนมากทุกครั้งที่มีการเปิดตัว แต่จำนวน 24 ล้านเครื่องที่มีการแพลนกันไว้นี้ ถือว่าเป็นตัวเลขที่ไม่น้อยเลยทีเดียว เมื่อเทียบกับยอดจำหน่าย iPhone รุ่นแรกที่มีการเปิดจำหน่ายมาตั้งแต่ปี 2007 ที่ ณ ตอนนี้มียอดเกิน 50 ล้านเครื่องเล็กน้อย โดยแหล่งข่าวยังได้กล่าวถึงรายละเอียดเกี่ยวกับ iPhone ในเวอร์ชั่นล่าสุดนี้อีกว่า จะใช้ชิพประมวลผล ARM Cortex A8 และมีแรมเมมโมรี่ขนาด 512 เมกกะไบท์ ซึ่งมีขนาดมากกว่า iPhone 3GS รุ่นปัจจุบันถึง 2 เท่า โดยจะมีแผงควบคุม in-plane switching (IPS) คล้ายกับที่ใช้ใน iPad ซึ่งจะมีขนาดบางกว่าปกติ 33 เปอร์เซ็นต์ ทำให้มีเนื้อที่มากพอที่จะเพิ่มพื้นที่ให้กับแบตเตอรี่ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นได้ โดย iPhone รุ่นใหม่นี้ คาดว่าจะมีการเปิดตัวในวันที่ 7 มิถุนายนนี้ ภายในงานการประชุม Worldwide Developers Conference ที่จะจัดขึ้นที่เมืองซานฟรานซิสโก

การดูทีวีบอกนิสัยอะไร

วางแผนดูทีวีตามรายการไว้แน่นอน
คุณเป็นคนวางแผนชีวิตไว้อย่างดี มีความสามารถในการดำเนินธุรกิจ และมักจะประสบความสำเร็จอย่างสูง

ดูทีวีไปกินของจุกจิกไปด้วย
คุณ เป็นคนที่ชอบเอาเวลาพักผ่อนมารวมกับทีวี ความสุขที่ยิ่งใหญ่ของคุณอยู่ที่ได้คบหาสมาคมกับผู้คนและมีสัมพันธภาพที่ดี ยิ่งกับเพื่อฝูงและเพื่อนบ้าน

ชอบเปลี่ยนช่องบ่อยๆ
คุณเป็นคนที่มักชอบ แสวงหาสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ ใฝ่หาสิ่งที่น่าสนใจแปลกๆจากที่มีอยู่ตลอดเวลา ต้องการความก้าวหน้า และมีความทะเยอทะยานสูง

ดูช่องไหนก็ผูกขาดอยู่ช่องเดียว
ไม่ ยอมจะเปลี่ยนช่องใหม่ตามความต้องการของคนอื่น แสดงว่าคุณเป็นคนแน่วแน่ เมื่อตั้งเป้าหมายอะไรไว้ก็จะทำให้ถึงที่สุด ไม่ยอมให้อะไรมาเป็นอุปสรรคขัดขวาง

ดูทีวีบนเตียงนอน
คุณไม่ถือว่าการดูทีวี เป็นเรื่องซีเรียสจริง คุณดูทีวีเพื่อต้องการพักผ่อนจากการเคร่งเครียดกับงานประจำวัน คุณอาจมีงานที่ตื่นเต้นที่จะต้องทำให้เสร็จลุล่วงไป จึงเอาทีวีมาช่วยบรรเทาสมองที่คิดคำนึงถึงงานอยู่

ดูข่าวและสารคดีเป็นส่วนใหญ่
เป็น นักแสวงหาความจริง เป็นคนที่ซีเรียสจริงจัง คุณต้องการใช้เวลาดูทีวีเพื่อรวบรวมข่าวสารต่างๆ คุณดำเนินชีวิตจากสมองมากกว่าหัวใจ

ชอบดูเกมโชว์
คุณจะมีความอบอุ่นใจเมื่อ ได้เกี่ยวข้องสมาคมกับคนอื่นๆ และเข้าได้ดีกับทุกคน ในชีวิตคุณชอบเล่นเกมและกีฬาเป็นประจำ เพราะไปไปสัมผัสกับผู้คน

ชอบใช้เวลาในการดูทีวีมาก
สิ่ง ที่ต้องการอันยิ่งใหญ่ของคุณคือผู้คน ซึ่งช่วยกระตุ้นจิตใจคุณให้คึกคัก คุณมีความสุขอย่างยิ่งที่อยู่ท่ามกลางเพื่อนฝูงและครอบครัว ดังนั้นคุณจึงชอบใช้เสียงและภาพจากทีวีเพื่อให้คุณเกิดความมั่นใจอย่างแท้ จริง

คำถามจิตวิทยาทายใจ..ไขความลับ

เริ่มอ่านแบบทดสอบได้เลย..แต่ห้าม..แอบอ่านเฉลยนะ

เดี๋ยวจะ ไม่ตรงน้ะจ๊ะ..**

1. กำลังเดินไปตามทางเดิน แล้วเห็นอะไรอยู่รอบตัว
ก. ป่าทึบ มองขึ้นข้างบนแทบไม่เห็นท้องฟ้า
ข. ทุ่งข้าวโพดเหลืองอร่ามตัดกับสีขอบฟ้า
ค. เนินเขาสีเขียว เห็นภูเขาอยู่ลืบๆ

2. เห็นอะไรตกอยู่ข้างๆ เท้า
ก. กระจก
ข. แหวน
ค. ขวด

3. เก็บมันขึ้นมาไหม

ก. เก็บ
ข. ไม่เก็บ

4. เดินต่อไปเจอแหล่งน้ำ แหล่งน้ำที่ว่าคือ...
ก. ทะเลสาบใส
ข. น้ำตก
ค. ลำธาร

5. กุญแจที่จมอยู่ในน้ำซึ่งกำลังจะเก็บขึ้นมานั้นมีลักษณะอย่างไร
ก. กุญแจบ้าน
ข. กุญแจโบราณ
ค. กุญแจล็อคเกอร์เล็กๆ

6. ต่อมาเจอะบ้านหลังหนึ่ง บ้านหลังนั้นเป็นบ้านแบบไหน

ก. แมนชั่นหรูแบบละแวกฮอลลีวู้ด
ข. กระท่อมพร้อมสนามหญ้า
ค. ปราสาทสวยโทรมๆ

7. แล้วทำยังไงต่อ
ก. มองเข้าไปทางหน้าต่าง
ข. เข้าไปสำรวจ
ค. ไม่สน... แล้วเดินต่อไป

8. ทันใดนั้นก็มีบางอย่างกระโจนใส่ ทำให้ตกใจ สิ่งนั้นคือ

ก. หมี
ข. พ่อมด
ค. เหยื่อที่ใช้ตกปลา

9. ด้วยความตกใจจึงวิ่งไปจนถึงกำแพงมีประตูคุณจึงมองลอดรูกุญแจก็เลยเห็น

ก. สวนเขียวขจีในบริเวณบ้านหลังหนึ่ง
ข . บ่อน้ำกลางทะเลทราย
ค. ชายหาดและเกลียวคลื่น

---------------------------------

เฉลยคำถาม

คำถามที่ 1 ทัศนคติเกี่ยวกับตัวเอง
ก. คนอื่นมองว่าเป็นคนที่น่าสนใจ เพราะปกปิดตัวตนที่แท้จริงเพื่อนๆ รัก เพราะ
เป็นนักฟังที่ดี
ข. เป็นคนฉลาด ซื่อสัตย์ และน่ารักเป็นมิตรกับทุกคน และไม่ค่อยมีเรื่องกับใคร
แถมยังเป็นตัวแทนของความร่าเริง สนุกสนาน ใครๆ จึงมักจะเข้ามาพูดคุยด้วย
ค. เป็นคนติดดิน และผู้คนรัก เพราะนิสัยเป็นคนตรงๆ นี่แหละ คือนักไกล่เกลี่ย
ปัญหา เพราะจะรับฟังความของทั้งสองฝ่ายก่อนตัดสินว่าใครถูกใครผิด

คำถามที่ 2 ลักษณะของคู่รักที่มองหา
ก. แฟนต้องเป็นคนที่จะร่วมชีวิตกันในอนาคต แต่ควรเปิดใจให้กว้าง เพราะที่

สมบูรณ์ตามแบบอาจไม่ค่อยมีเสน่ห ์มากนัก
ข. ป็นคนโรแมนติก ยามรักจะทุ่มเทเพื่อถนอมรักไว้ให้ดีที่สุด เพราะเชื่อว่ารัก
แท้จะคงอยู่ตลอดกาล และอยากให้แฟนห่วงใยดูแลเสมอ
ค. ชอบคนที่กล้าแสดงความเก่ง ทะเยอทะยาน และจริงจัง ฉะนั้นพวกหล่อ/สวยอย่าง
เดียว น่ะไม่ผ่าน

คำถามที่ 3 ความพร้อมที่จะผูกมัดกับใครซักคน
ก. ถ้าใช่ก็ได้เลย

ข. ดูใจกันไปเรื่อยดีกว่า

คำถามที่ 4 รักซึมลึกขนาดไหน
ก. จริงจังกับความสัมพันธ์เอามากๆ ถ้าพบคนที่ใช่จะรักสุดหัวใจ
ข. เพศตรงข้ามคิดว่าเซ็กซี่มาก เพราะหว่านเสน่ห์เก่งชาย/หญิงหลายขโยงจึงพากัน
หลงใหล
ค. ทักษะการจีบเป็นเลิศ จึงเปลี่ยนคู่ควงได้ไม่ซ้ำหน้า

คำถามที่ 5 ความสำคัญของการศึกษา
ก. การศึกษาสำคัญน้อยกว่าโลกภายนอกที่รออยู่เบื้องหน้า ลึกๆ แล้วอาจจะอยากเริ่ม

ทำงาน และออกมาอยู่เอง
ข. การศึกษาสำคัญที่สุด อยากเรียนหนักๆ จะได้ซึมซับความรู้ไว้ให้มากที่สุดเท่า
ที่จะมากได้
ค. อาจจะไม่ชอบเรียน แต่มีความคิดดีๆ มากมาย เชื่อสัตชาตญาณ และสมองของตัวเอง
ฉะนั้น อาจลงเอยด้วยอาชีพที่ไม่เหมือนใคร

คำถามที่ 6 งานเหมาะๆ
ก. มีเป้าหมายเยอะ และพยายามทำทุกอย่างสุดๆ งานที่ชอบจึงต้องเป็นงานที่ได้แสดง
พลัง ปรารถนาความสำเร็จอย่างที่สุด
ข. ยึดหลักความเป็นจริงในการเลือกอาชีพ และมุ่งมั่นจะเติบโตในสายงานที่เลือก
ค. อาชีพที่ฝันไว้เป็นไปได้ยากในชีวิตจริง น่าจะมองๆ หาอะไรใกล้ตัวทำไปก่อนดี
กว่าไม่งั้นอาจเศร้า

คำถามที่ 7 ความสำเร็จมีความหมายแค่ไหน
ก. กลัวล้มเหลว เลยไม่กล้าเริ่มต้น จงอย่าเพิ่งยอมแพ้เสียตั้งแต่ยังไม่ลงมือทำ
ข. มั่นใจว่าตัวเองจะประสบความสำเร็จ เพราะจะไม่มีสิ่งไหนมากั้นขวางได้
ค. ความสำเร็จไม่ใช่เรื่องใหญ่ พอใจในสิ่งที่มีอยู่ และชอบที่จะอยู่กับคนที่รัก
มากกว่า จะทุ่มชีวิตไปกับการงาน หรือดำรงตำแหน่งสูง

คำถามที่ 8 กลัวอะไรมากที่สุด
ก. กลัวที่จะไม่มีใครให้พึ่ง หรือกลัวเลี้ยงตัวเองไม่ได้
ข. กลัวในสิ่งที่ตัวเองควบคุมไม่ได้ ดังนั้นเพื่อกลบเกลื่อนเลยใช้อำนาจบาตรใหญ่
เกิน ไปบ้าง
ค. เป็นห่วงภาพลักษณ์ของตัวเองในสายตาคนอื่นเอามากๆ จึงพยายามสุดชีวิตที่จะได้
รับการยอมรับจาก ผู้คน ต้องเชื่อในการตัดสินใจของตัวเองบ้างแล้ว

คำถามที่ 9 ตัวตนคือ...
ก. เป็นผู้ใหญ่มีความคิดความอ่าน ซื่อสัตย์ กล้าแสดงความเห็น ผู้คนจึงมาขอคำ

ปรึกษาในเรื่องต่างๆ แต่อาจแย่ถ้าเจอปัญหาที่ต้องใช้หัวใจมิใช่สมอง
ข. ต้องการความเป็นส่วนตัวมากๆ เพราะชอบอยู่กับความคิดของตัวเอง และมักจะแว่บ
หายยามเข้าตาจน แต่จะรู้สึกดีขึ้นถ้าระบายกับคนที่ไว้ใจซะบ้าง
ค. เป็นคนที่เต็มที่กับชีวิต และกล้าแสดงออก แต่เดาอารมณ์ยาก และเปลี่ยนความคิด
ได้เรื่อยๆ บางครั้ง เหมือนมหาสมุทร...สงบได้...แต่ไม่นาน

11 สิ่งดีๆ ... ดีเลยทีเดียว


เคล็ดลับสร้างความมั่นใจใน ที่ทำงาน

สาวทำงาน

ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ความมั่นใจเป็นส่วนประกอบสำคัญอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จได้ การทำงานก็เช่นกันเวิร์คกิ้งมัมคนไหนที่ไม่ค่อยจะมั่นใจในตัวเองสักเท่าไร ซึ่งอาจจะมาจากหลายสาเหตุ เช่น เปลี่ยนที่ทำงานใหม่ ได้รับตำแหน่งใหม่ ได้รับมอบหมายให้ความมั่นใจมาทำลายความสามารถของคุณ มาเริ่มสร้างความมั่นใจในที่ทำงานตั้งแต่ตอนนี้กันดีกว่าค่ะ เพื่อความสำเร็จที่รอคุณ

1. เป็นตัวของตัวเอง การพยายามทำอะไรที่ ไม่ใช่ตัวคุณ จะทำให้คุณขาดความมั่นใจไปไม่น้อย

2. อย่าเปรียบเทียบตัวเองกับใคร โดยเฉพาะกับคนที่เหนือกว่าเพราะจะยิ่งทำให้คุณท้อแท้และหมดความมั่นใจ

3. เชื่อมั่นและยอมรับในความสามารถของตนเอง เพราะถ้าแม้แต่ตัวคุณยังไม่ยอมรับ แล้วคุณจะมีความมั่นใจได้อย่างไร

4. มั่นใจด้วยการแต่งกาย คุณอาจจะต้องตื่นเช้าขึ้นอีกนิด พิถีพิถันเรื่องการแต่งกายอีกสักหน่อย เพราะบุคลิกที่ดีจะช่วยให้คุณมั่นใจขึ้นมาอีกเป็นกอง

5. จัดลำดับความสำคัญของงาน เพื่อจะได้ทำงานทุกอย่างให้เสร็จตามเวลาที่กำหนด และไม่ว่าใครจะถามว่างานไปถึงไหนแล้วคุณก็จะสามารถตอบได้ทันทีอย่างมั่นใจ

6. ตั้งเป้าหมายในการทำงานและพยายามทำให้ได้ แล้ว ความมั่นใจก็จะเป็นของคุณ

7. จดบันทึกเรื่องสำคัญๆ ในแต่ละวันเอา ไว้กันลืม เพื่อที่คุณจะได้ไม่พลาดงานที่สำคัญๆ ไป

8. อัพเดทข้อมูลใหม่ๆ ที่เกี่ยวกับงานอยู่เสมอ เพื่อที่คุณจะได้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพรวมทั้งหาความรู้เพิ่ม เติมเพื่อเพิ่มทักษะในการทำงานของคุณให้มากขึ้น

9. ฝึกสมาธิเพื่อให้มีสติ สามารถรับมือกับปัญหาต่างๆ ที่เข้ามาอย่างใจเย็นและรอบคอบ

10. หาวิธีคลายเครียดให้ตัวเอง เพราะการ ทำงานด้วยความเคร่งเครียดเจ้าอารมณ์ นอกจากจะได้ทีมงานที่ไม่มีคุณภาพแล้วยังทำให้ผู้ร่วมงานไม่อยากให้ความร่วม มือด้วย แล้วสุดท้ายคนที่ขาดความมั่นใจก็คือตัวคุณเอง

11. นัดสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงานหรือลูกน้องบ้าง จะได้รู้ว่าพวกเขามีความรู้สึกอย่างไรกับคุณ เพื่อที่คุณจะได้นำมาปรับปรุงตนเองให้เป็นที่ยอมรับ เมื่อคุณเป็นคนที่ยอมรับ ความมั่นใจก็จะตามมาเองค่ะ

12. มองโลกในแง่ดี พยายามคิดบวกเข้าไว้ จะช่วยให้คุณมีความมั่นใจมากขึ้น

13. ไม่หนีปัญหา จำเอาไว้ว่ายิ่งคุณแก้ ปัญหาได้มากเท่าไหร่ คุณก็จะมีประสบการณ์ในการทำงานมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งจะทำให้คุณมีความมั่นใจในการทำงานมากขึ้นด้วย

14. อย่าใส่ใจกับคำนินทาว่าร้าย การรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นเป็นสิ่งที่ดีถ้ามันจะช่วยให้คุณสามารถปรับ ปรุงตัวเองและการทำงานให้ดีขึ้น แต่ถ้าเป็นคำพูดนินทาว่าร้ายก็อย่าไปใส่ใจเพราะมันจะบ่อนทำลายความมั่นใจของ คุณ

15. ยอมรับความผิดพลาดแล้วจำเอาไว้เป็นบทเรียน การเฝ้าคิดแต่ความผิดของตนเองจะทำให้ความมั่นใจลดน้อยลง

มะเขือเทศ แดงนี้มีดี

มะเขือเทศ จัดเป็นผลไม้ (หลายคนคิดว่าน่าจะเป็นผักมากกว่า) ที่คู่กับความสวยความงามของผู้หญิงมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ทั้งการบำรุงภายนอกและการกินเพื่อให้สวยจากภายใน ซึ่งประโยชน์จากมะเขือเทศ ก็มีมากมายจริงๆ ที่คุณแม่ตั้งครรภ์ไม่ควรมองข้ามหรือเขี่ยทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย


สีแดงในมะเขือเทศ มีดีอย่างไร
ที่มะเขือเทศมีสีแดง เพราะมีสารไลโคฟีนหรือแคโรทีนอยด์ ซึ่งช่วยป้องกันมะเร็งบางชนิด ในมะเขือเทศยังมีโพแทสเซียม เบต้าแคโรทีน วิตามินซี วิตามินอี และให้พลังงานต่ำ (ไม่อ้วนแน่นอน)

สิ่งที่ทำให้มะเขือเทศเป็นผลไม้คู่ความสวยงาม
เป็นเพราะว่า มะเขือเทศผลกลางๆ 1 ผล มีวิตามินซีครึ่งหนึ่งของส้มโอทั้งผล และมีวิตามินเอ 1 ใน 3 ของวิตามินเอทั้งหมดที่ร่างกายต้องการใน 1 วัน

ผลการพิสูจน์ประโยชน์จากมะเขือเทศ

* ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา จึงนำไปใช้เป็นยารักษาโรคบริเวณปากที่เกิดจากเชื้อราได้
* สารไลโคฟีน ลดการเกิดมะเร็งลำไส้ และมะเร็งต่อมลูกหมากได้ (ฝากบอกถึงคุณพ่อบ้านว่า การกินมะเขือเทศ 10 ครั้ง : สัปดาห์ ช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากได้ 45%)
* มีกรดอะมิโนที่ชื่อ กลูตามิค เป็นกรดที่ช่วยเพิ่มรสชาติอาหาร (ทำให้เจริญอาหารได้เป็นอย่างดี เป็นตัวเดียวกับที่อยู่ในผงชูรส)
* มะเขือเทศที่อุดมไปด้วยวิตามินซีและเอช่วยให้ผิวพรรณสดใสจากภายใน เลือดไหลเวียนดี แต่ถ้าอยากให้ผิวหน้าอ่อนนุ่ม ชุ่มชื่นก็ฝานบางๆ และนำมาแปะไว้บนใบหน้าสัก 15 นาที หรือจะคั้นน้ำสดๆ มาทาหน้า จะช่วยลดริ้วรอยได้ค่ะ

เส้นบางๆระหว่างผู้หญิงดีๆกับผู้หญิง โง่



ตั้งแต่พายุเข้ามา
จนมันพัดออกไป
แน่นอนมันย่อมทำความ เสียหายเอาไว้
คงต้องใช้เวลาเช็ดทำความสะอาดซักหน่อย

ตัวพายุคงไม่มีปัญหา
เพราะพอพัดมา
แน่นอน
ย่อมอ่อนกำลัง และจางหายไป

แต่คนนี่ซิ ที่โดนพายุเข้าทำร้าย
ใจคงบอบช้ำ

บอกตรงๆ
มันเริ่มไม่เชื่อใจ เค้าเหมือนก่อน
มันกังวล มัน......
บอกไม่ถูก

ในใจก็พยายามบอกตัวเอง ว่า
พายุ ที่เค้ามามันแค่เล็กน้อยเอง
ไม่ใช่เฮอริเคนซักหน่อย
ใจเราต้องเหมือนเดิมซิ

แต่ก็นั่นแหละบอกไม่ ถูก

เค้าบอกเราว่า
เค้าเล่าให้เพื่อนฟัง แล้ว
กับ เรื่องที่เกิดขึ้น

เพื่อนเค้าก็ตกใจ
แล้วถามใหญ่เลย
ว่าเราเป็นไง

คนของเราก็บอกไม่มี อะไรสบายมาก
บอกแล้วสบายใจซะอีก

เพื่อนเค้าก็เลยบอกว่า
ผู้หญิงดีๆแบบนี้หายาก

ฟังแล้วตอนแรกดีใจจัง
แต่แล้วจู่ๆๆ

คำว่า "โง่"
ก็ผุดขึ้นมา

จนตอนนี้เริ่มไม่แน่ใจ แล้วว่า
ที่เราทำไป เป็นเพราะ
เราเป็นผู้หญิงที่ดีหรือเป็นผู้หญิงที่โง่ กันแน่

เพราะ คนดีกับคนโง่
เราว่ามัน ห่างกันด้วยเส้นบางๆเส้นเดียว

ใช่ว่าจะรักใครง่ายๆ

ใช่ว่าจะรักใครง่ายๆ

เคยมองรอบๆ ตัวกันบ้างไหม

วันพุธที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ข้ามวันนี้ไปสู่วันที่ดีกว่า

เด็กดีดอทคอม ::   ข้ามวันนี้ไปสู่วันที่ดีกว่า; tags: ความรัก , วัยรุ่น , แฟน , หัวใจ ข้ามวันนี้ไปสู่วันที่ดีกว่า

มีหลายคนที่คิดว่าไม่อยากที่จะตัดใจลืมหรือเดินออกจากอดีตมา เพราะเหตุผลที่ว่า “เสียดายเวลา” ที่คบกันมา

ลอง นึกดูนะคะว่า ระหว่างคุณกับเค้าเคยยิ้มให้กับความรักครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ถ้านึกไม่ออกล่ะก็ แสดงว่า เวลาที่ผ่านมาชีวิตของเราจมอยู่แต่กับความทุกข์ จนนึกภาพความสุขไม่ออก

หากยังฝืนจมอยู่กับอดีตด้วยเหตุผลของการเสียดายเวลาที่คบกันมาเนิ่นนาน โดยไม่คิดเลยว่าเวลาหมุนผ่านไปเสมอทุกๆวัน ไม่ว่าจะเป็นวันนี้ พรุ่งนี้และวันต่อๆไป ถ้าปล่อยเวลาผ่านไปโดยไม่ตัดใจ ทุกๆ ที่ผ่านไปก็จะกลายเป็นเพียงวันเก่าๆ ที่น่าเสียดาย และเวลาที่น่าเสียดายก็จะเพิ่มขึ้นๆ

ลองคิดดูให้ดีๆ แล้วจะพบว่าจริงๆ แล้ว วันคืนในอดีตไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรให้กับเราเลย นอกจากมีไว้ให้นึกถึง อาจจะทำให้เรายิ้มได้บ้าง แต่ทำให้เราคาดหวังไม่ได้

เด็กดีดอทคอม ::   ข้ามวันนี้ไปสู่วันที่ดีกว่า; tags: ความรัก , วัยรุ่น , แฟน , หัวใจ

ข้ามวันนี้ไปสู่วันที่ดีกว่า

เราจะไปหวังว่าวันหนึ่ง วันเหล่านั้นจะกลับาหรือจะไปเฝ้าฝันว่าความสุขเหล่านั้นยังคงเป็นปัจจุบัน หรือหลอกตัวเองว่าตอนนี้ทุกอย่างยังคงเป็นเหมือนเดิม … หรือจะยังไงก็แล้วแต่ แต่นั้นก็เป็นแค่การหลอกตัวเองทั้งนั้น ยอมรับเถอะว่าทุกอย่างได้ผ่านไปแล้วและจบไปแล้ว ความทรงจำเป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น เวลาที่ผ่านมาไม่ว่าจะ 1 ปี 5 ปี หรือกี่สิบปี ก็ไม่ได้มีความหมายมากไปกว่าหนึ่งวันข้างหน้าที่เราจะต้องมีชีวิตใหม่ ที่เราจะต้องเริ่มต้นใหม่กับผู้คนอีกมากมาย

สิ่งที่ดีที่สุดคือการที่เราต้องอยู่กับปัจจุบันเพื่อที่จะสร้างอนาคตให้ตัว เองได้อยู่ในอนาคตที่ดี เวลา 10 ปี กับวันคืนที่เคยหวานชื่น ไม่ได้ยิ่งใหญ่ไปกว่า 1 วัน แห่งการเริ่มต้น 1 วันแห่งการแปรเปลี่ยนชีวิตของเรา ทั้งชีวิต ให้ดีกว่าที่เคยเป็นมา

ลองคิดทบทวนดูให้ดีนะคะ ... ถ้าหากจะเสียดายเวลา จงอย่าเสียดายเวลาที่คบกันมา แต่ให้เสียดายเวลาในวันข้างหน้าที่จะอดทนคบไปทั้งที่ไม่มีอะไรดีขึ้น นึกดูดีๆ ว่าเสียดายอนาคต ดีกว่าไหม”

เด็กดีดอทคอม ::  ข้ามวันนี้ไปสู่วันที่ดีกว่า; tags: ความรัก ,  วัยรุ่น , แฟน , หัวใจ

บอกลากันซะที...กับอาการปวดประจำเดือนอันแสน จำเจ

สาวๆ ทุกคนคงจะคุ้นเคยกันดีกับอาการปวดประจำเดือน ทำให้ในช่วงนั้นของเดือน หงุดหงิดใจ รำคาญคนรอบๆ ข้างบ้าง เกิดอารมณ์ฉุนเฉียวบ้าง แต่ความจริงแล้ว อาการปวดประจำเดือนไม่ใช่เรื่องผิดปกติใดๆ เลยค่ะ เพียงแต่เป็นอาการที่เกิดจากมดลูกมีการบีบรัดตัวอย่างรุนแรงเท่านั้น แถมยังเป็นผลดีต่อสุขภาพของเราอีกด้วย เพราะระบบต่างๆ ในร่างกายจะทำงานเป็นปกติ แต่ถ้าสาวๆ บางคนมีอาการปวดประจำเดือนอย่างรุนแรง โดยไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีนั้น อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพกาย และสุขภาพจิตได้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยค่ะ ทีนี้เราลองมารู้จักอาการปวดประจำเดือนและวิธีบำบัดในสไตล์สบายอารมณ์กันดี กว่าค่ะ คราวนี้ก็สามารถสนุกไปกับกิจกรรมต่างๆ ในวันนั้นของเดือนได้ซะทีค่ะ


มารู้จักผู้หญิงในวันนั้นของเดือน
- ปวดเมื่อยตามร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณหลัง ท้องน้อย และปวดศีรษะด้วย
- รู้สึกตึง และเจ็บบริเวณหน้าอก และเต้านม
- น้ำหนักเพิ่มขึ้น มีอาการอยากรับประทานอาหารเพิ่มขึ้น มีลมในกระเพาะ
- มีสิวขึ้น
- อารมณ์หงุดหงิดง่าย โกรธง่าย เครียดและวิตกกังวล
- ครั่นเนื้อ ครั่นตัว ไม่สบายตัว อันเนื่องมาจากระดับฮอร์โมนเพศลดลงจากระดับปกติ


ดูแลง่ายตัวเองง่ายๆ ในช่วงมีประจำเดือน

1. รับประทานเมนูปลาเพื่อเพิ่มแคลเซียมให้กับร่างกาย และดื่มนมมากๆ จะช่วยลดอาการปวดท้องน้อย ปวดหลัง และลดอาการหงุดหงิดได้ผลมากนอกจากนี้ควรรับประทาน วิตามินซี วิตามินดี และโปรตีน เพื่อเสริมในช่วงเสียเกลือแร่ ทำให้ร่างกายไม่เหน็ดเหนื่อยจนเกินไป หรือจะจิบน้ำขิง ชาสมุนไพรร้อนๆ ช่วยให้ผ่อนคลาย อารมณ์ดี

2. รักษาอุณหภูมิร่างกายให้ปกติ ไม่ควรอาบน้ำที่เย็นเกินไป หรือร้อนเกินไป เนื่องจากระดับฮอร์โมน ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ อาจจะทำให้เกิดอาการป่วยเป็นไข้ร่วมด้วย

3. การทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นให้สะอาดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อทำให้เกิดสมดุลทางร่างกาย และจิตใจ และสวมใส่เสื้อผ้าเนื้อเบาสบาย ไม่รัดจนเกินไป

4. การเปลี่ยนผ้าอนามัยทุกๆ 2-3 ชั่วโมง เพื่อลดความอับชื้น การหมักหมมและกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์


เคล็ดลับสบายๆ คลายปวดประจำเดือน

ผ่อนคลายด้วยกลิ่น
ปล่อยอารมณ์ สร้างบรรยากาศผ่อนคลายไปกับวิธีการกลิ่นบำบัด โดยนำเอาเมล็ดข้าวสาร ข้าวเหนียว หรือธัญพืชต่างๆ มาคั่วไฟอ่อนๆ จนเกือบสุก แล้วนำมาใส่ถุงผ้าเล็กๆ หรือขวดแก้ว แล้วนำมาทาบที่ท้องน้อย กลิ่นของข้าวหรือธัญพืชจะช่วยให้ผ่อนคลายจากอาการปวดได้ อาจจะผสมน้ำมันอะโรม่าต่างๆ ได้ตามชอบ อาจจะเปิดเพลงเพราะๆ ฟังสบายๆ ไปด้วยก็ดีนะคะ

เมนูโปรดลดปวดได้
สาวๆ ควรเลือกรับประทานผักและผลไม้สด เพราะมีวิตามินและเกลือแร่ น้ำมันมะกอก ข้าวกล้องและนม แต่ไม่ควรรับประทานอาหารจำพวกไขมัน เนื้อสัตว์ ไส้กรอก เนยแข็ง เนยเหลว ข้าวขัดสี ส่วนสาวที่ชื่นชอบกาแฟและแอลกอฮอล์ก็ควรงดนะคะ


สมุนไพรจีนก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถช่วยสาวๆ คลายปวดได้อย่าง "ตังกุย" ที่อุดมไปด้วย วิตามินบี 1 บี 6 บี 12 กรดโฟลิก และไบโอติน มีคุณสมบัติในการต้านการบีบตัวของกล้ามเนื้อมดลูก รวมทั้งสามารถช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต บำรุงเลือด และฟอกเลือด ทำให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ

เทคนิคมองโลกในแง่ดี

คนไทยสมัยนี้เครียดกันง่ายจัง วันๆ หนึ่งต้องพบกับความทุกข์ใจ ไม่สบายใจ กังวลใจ กันหลายๆ ครั้ง ไม่ เหมือนกับคนไทยสมัยโบราณที่กว่าจะเกิดความเครียดขึ้นมาได้ โน่น..ต้องมีเสือบุกเข้ามากินวัว โจรบุกเข้ามาปล้น ถึงจะเกิดความเครียดกันทีหนึ่ง เรียกว่าวันๆ หนึ่งแทบจะไม่รู้จักความเครียดกันเลย ใบหน้าคนไทยสมัยก่อนจึงมีแต่รอยยิ้ม พวกฝรั่งซึ่งเป็นคนมาจากวัฒนธรรมอื่นมาเห็นเข้าพากันแปลกใจว่าทำไมคนไทย อารมณ์ดีกันจัง ก็เลยตั้งชื่อว่าให้ว่า "สยามเมืองยิ้ม"
นอก จากนี้คนไทยยังมีวิธีคิดที่ได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนา ให้รู้จักคิดปล่อยวาง คิดให้สบายใจ ในยามที่ต้องพบกับปัญหาหนักๆ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งปัจจุบันนี้ยังเหลือร่องรอยวิธีคิดเหล่านี้อยู่ในนิสัยคนไทยทั่วๆ ไปบ้าง แต่บางคนก็ลืมไปแล้ว หรือคนรุ่นใหม่อาจจะไม่รู้จัก วันนี้เครือข่ายฯจึงขอนำวิธีคิดเหล่านี้นำมาปรับปรุงแก้ไขให้มีความเป็นพุทธ และ ให้มีความทันสมัย เหมาะกับคนยุคปัจจุบันมากขึ้น นำเสนอเป็นเทคนิควิธีคิดมองโลกในแง่ดีสำหรับคนยุคไอที ดังต่อไปนี้

ยามพบอุปสรรคในการทำงาน
ไม่ เป็นไร..เอาใหม่ : คำพูดนี้สำคัญมากครับ เอาไว้ใช้อุทาน เวลาท่านต้องประสบกับปัญหาความล้มเหลวในการทำงานหรือ เจอข้อผิดพลาดอะไรขึ้นมาอย่างไม่คาดฝัน หรือ เวลาเพื่อนร่วมงานทำงานผิดพลาด คำพูดนี้จะเป็นเครื่องปลอบใจและให้กำลังใจได้เป็นอย่างดี คำว่า "ไม่เป็นไร" เป็นคำที่ทำให้จิตใจปล่อยวางจากปัญหา ไม่ถูกบีบคั้นจากปัญหา คำว่า "เอาใหม่" เป็น คำพูดที่ปลุกคุณธรรมข้อ "วิริยะ" แปลว่า เพียรสู้งาน ปลุกใจให้เราคิดสู้ปัญหา ไม่ท้อถอย

ยามพบกับเหตุการณ์ร้ายที่ไม่พึงปรารถนา
โชคดีนะ เนี่ย : ไม่ว่าคุณเจอะเจอกับความทุกข์กายทุกข์ใจอะไรในชีวิตประจำวัน ให้คิดเสียว่าสิ่งเลวร้ายที่เราต้องประสบทุกๆ ครั้ง มันไม่ได้ร้ายกาจจนถึงที่สุดแม้สักอย่างเดียว มันเป็นความ"โชคดี"ของเราจริงๆ ที่ไม่เจอหนักกว่านี้
ยกตัวอย่าง
เดิน หัวชนเสาหัวปูด อุทานว่า "อูย ! ..โชคดีนะเรา หัวยังไม่แตก" โดนตัดเงินเดือน พูดกับตัวเองว่า "เขาไม่ไล่เราออก ก็บุญแล้ว ถือว่ายังโชคดีนะเนี่ย" ทำกาแฟร้อนๆ หกรดขากางเกง พูดกับตัวเองว่า "เหอ..ๆ โชคดี ที่มันไม่หกรดเป้ากางเกงเรา"

ยามมีปัญหากับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
เขา ยังดีนะ : เวลาคุณมีปัญหากับเพื่อนมนุษย์ เช่นเพื่อนร่วมงาน คนข้างบ้าน ฯลฯ เช่น บางคนอาจจะทำงานไม่ถูกใจ บางคนอาจจะทำอะไรผิดใจคุณ หรือ บางคนอาจจะมีเจตนาไม่ดีกับคุณ ให้คิดเช่นเดียวกันว่าสิ่งที่เขาทำนั้นมันก็ยัง ไม่ได้ร้ายกาจถึงที่สุดกับคุณแต่อย่างใด มันยังมีแง่ดีๆ ให้เราคิดถึงเขาอยู่เสมอ
ยกตัวอย่าง
คนข้างบ้านนินทาเรา เราก็บอกกับตัวเองว่า โอ้... นี่เขายังดีนะที่ไม่ถึงกับมาดักทำร้ายเรา มีคนมาขโมยปากกาที่โต๊ะทำงานเราไป เราก็คิดว่า เจ้าขโมยนี่ยังดี ที่ไม่ยกเครื่องคอมพ์เราไป สาวหักอก เราก็คิดว่า เธอยังดีนะเนี่ย ที่ไม่ควงคู่แข่งมาเย้ยเราให้เจ็บใจหนักไปกว่านี้ เพื่อนร่วมงานเอาเปรียบ เราก็คิดว่า เขาก็ยังดีที่ไม่ใส่ร้ายป้ายสีเราข้างหลัง

เทคนิคคิดเมื่อเจอปัญหาต่างๆ ในชีวิตประจำวัน
เอ๊ะ...! ตรงนี้เราได้อะไร : เป็นการตั้งคำถามเพื่อให้จิตตั้งแง่คิดเพื่อมุ่งหาความรู้ทันทีที่ได้พบกับ ปัญหาต่างๆ ในชีวิตประจำวัน อาทิเช่น นาย ก. เดินตกท่อ ขาแข้งถลอก นาย ก. ทั้งๆ ที่เจ็บปวด กลับตั้งคำถามขึ้นมาในใจว่า เราเดินตกท่อตรงนี้ เราได้อะไร ! เท่านั้นเองคำตอบต่างๆ ก็พรั่งพรูออกมามากมาย อาทิเช่น
ก. เราได้ดูแลรักษาตัวเองอีกแล้วดีจัง ไม่ได้ดูแลตัวเองมานาน
ข. เราได้บทเรียนซาบซึ้งกับคำว่า "อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน จะจนใจเอง" (เคยเดินมาดีๆ ทุกวัน วันนี้ใครกันดันมาเปิดฝาท่อ)
ค. มันทำให้เราได้ไอเดียเกี่ยวการทาแถบสีสะท้อนแสงตรงขอบท่อ เพื่อคนจะได้สังเกตเห็นได้แต่ไกลๆ
วิธี คิดเช่นนี้จะทำให้เรารู้สึกเลยว่า ชีวิตนี้มีแต่ได้ ไม่มีเสีย คือ แม้ว่าเราจะพบกับสิ่งที่ไม่น่าพึงปรารถนาก็ตาม แต่ถ้าหากว่าเรารู้จักตั้งคำถามเช่นนี้เป็นนิสัย เราก็จะได้สิ่งที่ดีๆ มากมายจนบางครั้งเราอาจจะต้องนึกขอบคุณที่ได้เจอกับปัญหาบ่อยๆ เลยทีเดียว
ยัง มีวิธีคิดมองโลกในแง่ดีอีกมากมายหลายวิธี ซึ่งเครือข่ายชาวพุทธกำลังค้นคว้าหาข้อมูลจากพระไตรปิฎก เพื่อประยุกต์เป็นวิธีคิดนำมาเสนอท่านโอกาสต่อไป

รู้จัก ไมเกรน ดีหรือยัง?

ไมเกรนเป็นอาการ ปวดหัวที่พบได้บ่อย พบได้ทุกวัยและพบมากในช่วงอายุ 10-30 ปี โรคนี้มักเป็นๆหายๆ เรื้อรัง สร้างความรำคาญทรมานและทำให้เสียงานได้

ปวดหัวอย่างไรถึงเป็นไม เกรน

มีอาการนำมาก่อนที่จะปวด ประมาณ 15-20 นาที เช่น เห็นแสงวูบวาบเป็นสีเหลืองๆ ตามัว คลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย บางรายมีอาการหงุดหงิด ง่วงนอนมาก หรือมีอาการทางจิต เช่น วิตกกังกล ซึมเศร้า แต่อาการเหล่านี้ไม่พบในทุกรายที่ปวดไมเกรน

มักมีอาการปวดหัวข้างเดียว(หรือ 2 ข้าง) บริเวณขมับหรือเบ้าตา บางคนอาจปวดท้ายทอยได้ มักปวดแบบตุบๆ และจะปวดในระดับกลางถึงมาก แต่ถ้าปวดพอรำคาญน้อยๆ โอกาสเป็นไมเกรนจะน้อย นอกจากนั้นอาการปวดแบบไมเกรนนั้น เมื่อหายปวดจะหายสนิท โดยในช่วงที่ปวดจะปวดนาน 2-4 ชั่วโมง หรือนาน 2-3 วัน

มีอาการร่วมขณะปวดหัว ซึ่งแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน เช่น เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ท้องเดิน รู้สึกเย็นตามปลายมือปลายเท้า กลัวแสง เป็นต้น

ไมเกรนเกิดจากอะไร

ยังไม่มีการยืนยันสาเหตุที่แน่นอน เชื่อว่าเกิดจากการมีปัจจัยกระตุ้นให้เส้นประสาทในสมองหลั่งสารบางอย่างออก มาและสาร พวกนี้ไปทำให้เส้นเลือดขยายตัว การที่เส้นเลือดขยายตัวนี้เองทำให้เกิดอาการปวดหัวไมเกรน

สาเหตุที่กระตุ้นให้เกิด การปวด

สิ่งกระตุ้นจะแตกต่างกันไปในแต่ละคน เช่น

อยู่ในที่มีเสียงดัง อากาศร้อนหรือเย็นเกินไป มีแสงสว่างจ้า
การใช้ สายตาเพ่งดูอะไรนานๆ
การสูดดมกลิ่นฉุนๆ เช่น ควันบุหรี่
การอดนอนหรือ นอนมากเกินไป
หิวจัดหรือกินอาหารผิดเวลา
ความเครียดทางอารมณ์
การ ถูกกระแทงแรงๆที่ศีรษะ
อิทธิพลของฮอร์โมนเพศ มีประจำเดือน หรือก่อนมีประจำเดือน การใช้ยาคุมกำเนิด
อาหารบางชนิด เช่น กาแฟ เนยแข็ง ช็อกโกแลต นมเปรี้ยว เหล้า เบียร์ อาหารทะเล อาหารทอด ผงชูรส ผลไม้รสเปรี้ยวอย่าง ส้ม มะนาว เป็นต้น

ไมเกรนรักษาอย่างไร

ที่สำคัญคือ ควรสังเกตตัวเองว่า อะไรที่กระตุ้นให้เกิดอาการปวดแล้วหลีกเลี่ยงสิ่งนั้น

การรักษาด้วยยา

การใช้ยาขณะมีอาการ ควรใช้ให้เร็วที่สุด ถ้าใช้ตอนที่ปวดหัวมากแล้ว มักจะไม่ค่อยได้ผล ถ้าปวดไม่มาก หรือคาดการณ์ล่วงหน้าว่า จะเกิดอาการปวดให้กินยาพาราเซตามอล หรือแอสไพรินทันทีเพื่อป้องกันและบรรเทาอาการและพักผ่อนในที่มืดและเงียบๆ สักครู่ ถ้าวิธีดังกล่าวไม่ได้ผล ควรรีบปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร

การใช้ยาพวกเออร์กอตตามีน เช่น คาเฟอร์กอต(Cafergot) โพลีกอต(Polygot) เพื่อรักษาอาการปวดศีรษะไมเกรน ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์หรือเภสัชกรคำแนะนำวิธีใช้ยานี้ มีดังนี้

ให้รับประทานยาทันทีที่มีอาการ 1-2 เม็ด ถ้าไม่หายให้ซ้ำได้อีก 1 เม็ด ทุก 30 นาที แต่ไม่เกิน 6 เม็ดต่อวันและ10 เม็ดต่อสัปดาห์

ไม่ควรทานเกินขนาดเพราะอาจเกิดพิษจากยา เช่น เส้นเลือดปลายมือปลายเท้าหดตัวรุนแรงจนขาดเลือด หรือหากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน จะทำให้มีอาการปวดหัวเรื้อรังได้

ห้ามใช้ในหญิงคั้งครรภ์

ห้ามใช้ในผู้ที่เป็นโรคตับ โรคไต โรคหัวใจขาดเลือดและเส้นเลือดตีบ

มียาที่ใช้ป้องกันการเกิดหรือไม่ ในบางรายที่มีอาการปวดบ่อยๆ ปวดรุนแรง อาจจำเป็นต้องใช้ยาป้องกันลดความถี่หรือความรุนแรง แต่เนื่องจากเป็นยาที่มีผลข้างเคียงและมีข้อห้ามใช้หลายประการจึงควรปรึกษา แพทย์หรือเภสัชก่อนใช้

**ข้อพึงระวัง

อาการปวดศีรษะบ่อยๆ อาจเป็นอาการแสดงของปัญหาที่รุนแรงได้และการใช้ยาแก้ปวดนานๆอาจได้รับพิษจาก ยาได้ ในกรณีนี้ไม่ควรใช้ยารักษาเองแต่ควรปรึกษาแพทย์

คนเราจะกลั้นใจตายได้ไหม ?

ถ้าคนที่อ่านอยู่เคยได้อ่านตำนานพระนางสร้อยดอกหมากที่กลั้น ใจตายเพราะน้อยใจพระเจ้าสายน้ำผึ้งคงจะสงสัยว่าคนเราจะกลั้นใจตายได้จริง ๆ หรือ

โดยปรกติเราไม่ต้องคิดเลยเวลาหายใจ เพราะมันเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ อย่างไรก็ตามเราอาจเปลี่ยนแปลงจังหวะการหายใจของเราได้เมื่อต้องการ แต่ก็เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น ตัวอย่างเช่น การเป่าลูกโป่ง การผิวปากเรายังสามารถกลั้นลมหายใจได้ในช่วงสั้น ๆ และบางคนซึ่งฝึกฝนมาอย่างดีอาจกลั้นหายใจได้นานหลายนาทีร่างกายของเรายังมี กลไกป้องกันความผิดพลาดที่เรียกว่า Failsafe ซึ่งไม่ยอมปล่อยให้เราหยุดหายใจนานเกินไปเป็นอันขาด บางครั้งพ่อแม่วิตกทุกข์ร้อนมากว่า ลูกเล็กซึ่งอาละวาดเอาแต่ใจด้วยการกลั้นหายใจอาจทำอันตรายกับตนเองจนถึงแก่ ชีวิตได้ ถึงแม้ว่าบางคนพยายามกลั้นหายใจ จนหน้าเขียวเป็นลมหมดสติไปแต่ทันทีที่ตกอยู่ในสภาพนั้น กลไกเฟลเซฟจะกระตุ้นให้ระบบการหายใจของร่างกายเริ่มทำงานอีกครั้งหนึ่ง

ถ้าพิจารณาจากข้อมูลนี้ คนปรกติก็ไม่น่าจะกลั้นใจตายได้นะ

ทารกแรกเกิดหายใจประมาณ ๑ ครั้งทุกวินาทีหรือ ๖๐ ครั้งต่อนาที เมื่อโตขึ้นหน่อยทารกหายใจประมาณ ๔๐ ครั้งต่อนาที ส่วนเด็กโตจะหายใจช้าลงกว่าทารกเล็กน้อย และผู้ใหญ่หายใจประมาณ ๑๕-๒๐ ครั้งต่อนาที นั่นคือหายใจหนึ่งครั้งทุก ๔-๕ วินาที ช่วงนอนหลับร่างกายค่อนข้างนิ่งเคลื่อนไหวน้อย จึงต้องการปริมาณออกซิเจนลดลง จังหวะหายใจจะค่อย ๆ ช้าลงและสม่ำเสมอ

ความรู้ข้อนี้ได้นำมาใช้ประโยชน์ในเรือดำน้ำ ระหว่างช่วงสงครามโลกทั้งสองครั้งโดยบรรดาลูกเรือต้องถูกสั่งให้นอนหลับมาก เท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อใช้อากาศภายในลำเรือให้น้อยที่สุด

สัตว์ประเภทต่าง ๆ หายใจในอัตราช้าเร็วต่างกัน โดยทั่วไปสัตว์เล็กหายใจเร็วกว่าสัตว์ใหญ่ ตัวอย่างเช่น ในช่วงพักผ่อนหนูหายใจในอัตรา ๑๐๐-๒๐๐ ครั้งต่อนาที นกกระจอก ๙๐ ครั้งต่อนาที แมว ๒๐-๓๐ ครั้ง สุนัข ๑๕-๒๕ ครั้ง ม้า ๕ ครั้ง และช้างหายใจในอัตราเท่ากับม้า

ศูนย์ควบคุมการหายใจ ( Respiratory Center) ภายในก้านสมองตรงฐานสมอง ทำหน้าที่ควบคุมดูแลการหายใจเซลล์กลุ่มนี้คอยตรวจสอบระดับออกซิเจน และคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดอย่างต่อเนื่อง เมื่อใดก็ตามที่ระดับคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้น ศูนย์ควบคุมการหายใจจะสั่งกล้ามเนื้อที่เกี่ยวเนื่องกับการหายใจ ให้ทำงานเพิ่มขึ้นหรือเร็วขึ้นหรือทั้งสองอย่าง จนกว่าปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ส่วนเกินจะถูกขับออกมาโดยปอด และกลไกของร่างกายกลับคืนสู่สภาพปรกติ

ความหมาย ดาวบนขอบหนังสือพิมพ์


หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ เริ่มพิมพ์สัญลักษณ์ดาวบนขอบหนังสือพิมพ์มาตั้งแต่สมัยที่หนังสือพิมพ์ฉบับ นี้ยังใช้ชื่อว่า เสียงอ่างทอง

จุดประสงค์ก็เพื่อให้รู้ว่าเป็นหนังสือพิมพ์กรอบบ่ายหรือกรอบเช้า หนังสือพิมพ์กรอบบ่าย(ฉบับของวันรุ่งขึ้น) จะมีดาวหนึ่งดวง หนังสือพิมพ์กรอบเช้า (ฉบับของวันนั้น) จะมีดาวสองดวง

ต่อมาเทคโนโลยีการพิมพ์และการขนส่งก้าวหน้ารวดเร็วมากขึ้น หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ พยายามเสนอข่าวให้ทันเหตุการณ์และสนองตอบต่อการรับรู้ข่าวสารของผู้อ่านใน แต่ละภูมิภาคให้มากที่สุด

ดังนั้นหนังสือพิมพ์ของวันหนึ่ง ๆ จะมีหลายฉบับ (version)เช่นนี้ จำนวนดาวที่พิมพ์ไว้เป็นเครื่องหมายให้ผู้เกี่ยวข้องสังเกตจึงมีหลายดวง ซึ่งจำนวนดาวแต่ละดวงมีความดังนี้

1 ดาว คือ ฉบับที่จำหน่ายในภาคอีสาน
2 ดาว คือ ฉบับที่จำหน่ายในภาคเหนือ
3 ดาว คือ ฉบับที่จำหน่ายในภาคใต้
4 ดาว คือ ฉบับที่จำหน่ายในกรุงเทพ กรอบบ่าย
5 ดาว คือ ฉบับที่จำหน่ายในภาคกลาง
6 ดาว คือ ฉบับที่จำหน่ายในกรุงเทพ กรอบเช้า

แต่ทั้งนี้จำนวนดาวที่หน้าปกและเนื้อในอาจไม่จำเป็นต้องมีจำนวนเท่ากัน ตัวอย่างเช่น บางฉบับหน้าหนึ่งมีหกดาว แต่เนื้อในมีแค่สองดาว ที่เป็่นเช่นนี้เพราะข่าวที่เป็นข่าวส่วนกลางอ่านได้ทั้งประเทศไม่ว่าอยู่ ภูมิภาคไหน เช่น ข่าวบันเทิง ข่าวการศึกษา จะมีเนื้อหาเหมือนกัน สามารถใช้เพลต (แม่พิมพ์) เดียวกันได้ เช่นอาจนำเพลตของฉบับภาคเหนือมาใช้ ในขณะที่หน้าหนึ่งหรือหน้าอื่น ๆที่เป็นข่าวเฉพาะในภูมิภาคจะใช้เพลตเฉพาะของตน

สำหรับหนังสือพิมพ์ข่าวสด มีดาวทั้งที่ขอบหนังสือพิมพ์ด้านล่างและด้านบน สอบถามได้ความว่า ดาวที่ด้านบน หากมีหนึ่งดาวคือ ฉบับกรอบบ่าย สองดาวคือ ฉบับกรอบเช้า

ส่วนกลุ่มดาวที่ด้านล่างเป็นรหัสเฉพาะเกี่ยวกับการ พิมพ์และการจัดส่ง ไม่ได้เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกความแตกต่างของเนื้อข่าวแต่อย่างใด

วิธีป้องกันและกำจัดแมลง

แมลง, แมลงสาบ, ยุง, แมลงวัน,  วิธีป้องกันและกำจัดแมลง

วิธีป้องกันและกำจัดมด

- หาเศษผ้าที่ไม่ใช้แล้วมาตัดเป็นชิ้น ๆ ความยาวพอประมาณ ชุบกับน้ำมันเครื่องพอหมาดหรือจาระบีแล้วนำมาพันรอบขาตู้หรือโต๊ะ หรือจะใช้ปูนขาวใส่ภาชนะรองที่ขาตู้ก็ได้ และหากพบมดไต่ขึ้นมาตามรอยแตกร้าวของคอนกรีต ให้ใช้น้ำมันก๊าดเทลงไปในร่อง มดก็จะไม่โผล่หน้าขึ้นมาให้เรารำคาญใจอีกนาน

- ใช้แป้งฝุ่นสำหรับทาป้องกันเห็บหมัดของสุนัขหรือแมวมาโรยตามพื้นหรือบริเวณ ที่มดขึ้น เมื่อมดเดินผ่านก็จะเกิดการระคายเคืองและตายในเวลาอันรวดเร็ว หรืออาจฝานมะนาวเป็นแผ่นบางๆ มาไปวางในบริเวณที่มดขึ้นก็ได้

- หากพบว่ามีมดขึ้นอยู่ในขวดน้ำตาลหรือขนมปังที่ใส่อยู่ในกระป๋อง ให้เราปิดฝาขวดหรือกระป๋องนั้นให้สนิท จากนั้นให้ออกแรงเขย่าเพียงเล็กน้อย แล้วเปิดฝาทิ้งไว้หรือนำไปผึ่งแดดสักครู่ มดตัวน้อยตัวนิดก็จะพากันหนีออกมาเอง

- ในกรณีที่พบรังมด ให้ใช้น้ำที่แช่หน่อไม้สดหรือหน่อไม้ดองเปรี้ยวราดไปที่รัง มดจะอพยพไปอยู่ที่อื่นทันที แต่ถ้าต้องการกำจัดให้สิ้นซาก ให้ใช้การบูรและยาสูบอย่างละ 1 ส่วน นำไปแช่น้ำตั้งไฟให้เดือด จากนั้นเอาไปราดที่รัง มดก็จะตายและไม่กล้ามาทำรังอีกแน่ๆ

วิธีกำจัดแมลงสาบ นำขวดแก้วที่มีปากค่อนข้างกว้างสักหน่อย มาใส่น้ำแกงจืดหรือน้ำต้มยำที่เหลือจากการรับประทานอาหาร (ใส่ประมาณครึ่งขวด) แล้วนำไปวางไว้บริเวณซอกหรือมุมห้องภายในบ้านโดยวางให้ชิดติดกับผนัง เพื่อล่อให้แมลงสาบที่ไต่ตามฝาผนังลงมากินน้ำแกงในขวดโดยไม่สามารถปีนกลับ ขึ้นมาได้

วิธีกำจัดแมลงวัน ใช้น้ำเชื่อมหรือน้ำหวานที่เข้มข้น 3 ส่วน ผสมกับพริกไทยป่น 1 ส่วน นำไปตั้งไว้ในบริเวณที่มีแมลงวันชุกชุม หากแมลงวันแวะเข้ามากินน้ำเชื่อมแล้วก็จะตายแบบหวานเย็นในเวลาไม่นานนัก

วิธีไล่ยุง นำเปลือกส้มเขียวหวานที่ตากแห้งดีแล้ว มาจุดไฟให้เป็นควันเพื่อไล่ยุง เปลือกส้มจะมีกลิ่นหอมสดชื่นและไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพเหมือนยาฆ่าแมลง หรือจะใช้ผลมะกรูดผ่าซีกทาตามร่างกาย ยุงก็จะไม่กล้าเข้าใกล้

นอกจากนี้ ยังช่วยให้ผิวนุ่มอีกด้วย หรือจะห่อการบูรด้วยผ้าแล้วนำไปวางไว้ตามมุมห้องหรือใต้โคมไฟ กลิ่นของการบูรจะทำให้ยุงหนีออกจากห้องไป

เคล็ดลับการนอนหลับอย่างเต็มที่

การนอน, นอน, หลับ, เคล็ดลับ,  เคล็ดลับการนอน

๑. อย่าเข้านอนเพราะว่า ถึงเวลานอนแล้ว: แต่จงเชื่อนาฬิกาในตัวคุณเอง โดยสังเกตจากร่างกายจะสื่อให้ทราบเมื่อถึงเวลา อย่างเช่น การหาวนอน อาการแสบตา ความรู้สึกประเภท "ลานหมด" หัวจะทิ่มลงท่าเดียว หนังตาเริ่มหย่อน ความรู้สึกว่าจะหลับแล้ว แต่ถ้าคุณพลาดสัญญาณต่างๆ เหล่านี้ไปแล้ว คุณจะต้องรอไปอีกอย่างน้อย ๒-๓ ชั่วโมง กว่าที่จะให้ร่างกายง่วงขึ้นอีกครั้ง เพราะคนเราต่างมีความรู้สึกง่วงนอนต่างกัน เพราะฉะนั้นถ้าง่วงนอนแล้วก็ควรนอนเลย... เพื่อจะได้ไม่เกิดอาการนอนไม่หลับ

๒. อย่านอนผิดเวลาทุกวัน: อย่างถ้าคุณรับประทานอาหารเวลาเดิม ก็แนะนำว่าควรเข้านอนเวลาเดิมเป็นประจำ อย่างเช่น ปกตินอน ๔ ทุ่ม ก็ขอให้นอน ๔ ทุ่มทุกวัน มิฉะนั้นจะเกิดความเสี่ยงที่จะง่วงนอนผิดเวลา

๓. ทดลองหลับแวบเดียว: อย่างเช่น คุณนั่งบนเก้าอี้โซฟา มือหนึ่งถือช้อนกาแฟ ตรงปลายเท้าของคุณวางจานโลหะไว้ ๑ ใบ เมื่อเผลอหลับ มือนั้นก็จะปล่อยช้อนหล่นลงมาบนจานโลหะ ส่งเสียงดัง มันเป็นการปลุกให้คุณตื่น คำอธิบายเมื่อหลับตา คุณจะสามารถตัดข้อมูล ไม่ให้เข้าสู่สมองได้ถึง ๙๐ เปอร์เซ็นต์ ซึ่งควรฝึกวันละหลายๆ ครั้ง

๔. พักกลางคัน: เป็นการพักเพื่อลดความเหนื่อยล้า ง่ายๆ ด้วยการ นั่งสบายๆ อยู่บนโต๊ะทำงานของคุณ หนุนศีรษะบนแขนที่ไขว้กัน หรือ นอนท่าเหยียดยาว หลับตาและปล่อยตัวตามสบาย สัก ๕ นาที

๕. สะสมการนอน "ช่วงสั้น" ในวันทำงาน: ถ้าจะให้นั่ง หลับเวลาทำงานก็คงดูไม่เหมาะสม คุณก็เปลี่ยนเป็นเก็บสะสมความอยากนอนของคุณไว้ เพื่อวันหยุดสุดสัปดาห์ คุณจะได้นอนพักผ่อนได้อย่างเต็มอิ่ม ใช้หนี้ความเหนื่อยล้าตลอดทั้งสัปดาห์

๖. งดออกกำลังกายในตอนเย็นหลังเลิกงาน: ความเข้าใจผิดๆ จากการเล่นกีฬาหลังเลิกงาน จะทำให้เหนื่อยจนคุณอยากจะนอน คุณเข้าใจผิด เพราะการออกกำลังกายช่วงหัวค่ำจะทำให้ร่างกายสดชื่นตื่นตัวตากหาก

๗. ฝึกชี่กง (ลมปราณ): ชี่กงเหมาะมากสำหรับสงบความคิด จิตใจ และขจัดความอ่อนเพลีย ในไม่ช้าคุณจะเรียนรู้ที่จะทำท่าที่ชวนให้ง่วงนอนเป็น

๘. รับประทานอาหารค่ำแต่หัวค่ำ: แต่ควรหลีกเลี่ยงการเข้านอน "ขณะยังย่อยอาหารอยู่ ควรรอให้ผ่านไปสัก ๒-๓ ชั่วโมงหลังอาหารมื้อนี้ แล้วจึงค่อยนอน

๙. เดินย่อยอาหารมื้อค่ำ: เป็นการรอเวลาจากข้อ ๘ ในการรอเข้านอน...

๑๐. เครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ กาแฟ น้ำชา: เป็นตัวทำลาย ความง่วง... และบางครั้งระบบเผาผลาญบางคนต้องใช้เวลา ๑๒- ๒๔ ชั่วโมงเพื่อกำจัดกาแฟเพียงถ้วยเดียว

๑๑. การหาว: จะช่วยผ่อนคลายได้ และทำให้อยากนอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้า ได้ยืดแขนยืดขาด้วย

๑๒. ดื่มเครื่องดื่มชาสมุนไพร: ที่มีคุณสมบัติในการ กล่อมประสาทอย่าง ชาคาโมมายล์ ลาเวนเดอร์.จะช่วยให้นอนหลับได้

๑๓. ลดปริมาณอาหาร และ กลูไซด์ (อินทรีย์สารในคาร์โบไฮเดรต) : มื้อ ค่ำ หลีกเลี่ยงน้ำตาล ของหวานที่หวานจัด น้ำผึ้ง น้ำอัดลม เพราะเสี่ยงที่จะเสริมให้โลหิตมีปริมาณกลูโคสต่ำกว่าปกติในตอนกลางคืน

๑๔. รับประทานแอปเปิ้ล ผักกาดหอม และผลิตภัณฑ์จากนม: อาหาร เหล่านี้เป็นเพื่อนกับความง่วง เพราะประกอบด้วยสารหลักใน ตัวยาที่ออกฤทธิ์ วิตามินและเอ็นไซม์ที่เป็นสื่อกลางช่วยให้ง่วงเหงาหาวนอน ควรเลือกผลิตภัณฑ์จากนมที่ย่อยได้ง่ายที่สุด อย่างโยเกิร์ต (นมเปรี้ยว) นมข้น และเนยแข็งสีขาว ดีกว่าพวกเนยแข็งที่ไขมันสูงและผ่านการหมักเชื้อ สำหรับอาหารค่ำ ควรเลือกอาหารจำพวกปลานึ่ง ผักนึ่ง และผลไม้ที่ย่อยง่าย หลีกเลี่ยงอาหาร ที่มีไขมัน ผลิตภัณฑ์จากหมู เนื้อ เครื่องเทศและเครื่องปรุงรส

๑๕. ก่อนนอนอย่าดื่มน้ำมากเกินไป: ตั้งแต่เวลา ๑๘ นาฬิกาเป็นต้นไปจงลดการบริโภคของเหลว แต่ระหว่างวันควรดื่มน้ำมากๆ ค่ะ

๑๖. เสียงรบกวน: เสียงรบกวนจากสภาพแวดล้อมต่างๆ ลดทอนการนอนหลับ ลองหาสำลีอุดหูหรือติดกระจกซ้อนสองชั้น ปูพรมตลอดห้อง ใช้เพดานเก็บเสียง...

๑๗. หัวเราะวันละหลาย ๆ ครั้ง: หัวเราะเป็นการรักษาสมดุลของระบบประสาท สำหรับบางคน "หัวเราะนาทีเดียวมีค่าเท่ากับการผ่อนคลายร่างกาย ๒๕ นาทีเต็ม"

๑๘. ที่นอนเป็นเรื่องสำคัญ : เลือกฟูก ขนาดที่นอน ขนาด ๑๖๐ คูณ ๒๐๐ ซ.ม. กว้างกว่าฟูกมาตรฐานขนาด ๑๔๐ คูณ ๑๙๐ ซ.ม. หรือไม่ก็ไปหาฟูกแบบอเมริกัน เลือกตามชอบใจว่าจะเป็น คิงไซส์ ขนาด ๑๙๐ คูณ ๒๐๐ ซ.ม. หรือแคลิฟอร์เนียนคิงไซส์ ขนาด ๑๘๐ คูณ ๒๑๐ ซ.ม.

๑๙. ตรวจสอบทิศทาง สำหรับการวางเตียงนอน: คือให้ศีรษะหันไปทางทิศเหนือ เท้าไปทางทิศใต้ตามทิศทาง ของคลื่นแม่เหล็กโลก และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง อย่าให้ศีรษะหันไปทางทิศตะวันออก

๒๐. สีผนังห้องนอน: การใช้สีฟ้ากลางๆ เป็นสีสำหรับ การนอนที่ดีที่สุด

๒๑. แสงสว่าง: ลดไฟฟ้าในห้องนอนของคุณ หรือปิดตาสักครู่ก่อนดับไฟ จะช่วยให้ร่างกายปรับความสมดุลง่ายขึ้น โดยช่วงเวลาเปลี่ยนแปลงคือ ๒-๓ นาที และปฏิบัติกลับกันในตอนเช้า

๒๒.ไม่ควรนำต้นไม้ใบเขียวไว้ในห้องนอน: เพราะต้นไม้ที่ อยู่ภายในห้องนอนจะมาแย่งออกซิเจนเรา ถ้าอยากได้ต้นไม้มาตั้งในห้องนอนจริงๆ ก็ควรเป็นต้นไม้ปลอมดีกว่า...

๒๓. วารีบำบัด: สปาบางแห่งเสนอวิธีบำบัดที่ช่วย สำหรับการนอนหลับ ประกอบด้วยการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ โดยการแช่น้ำในอ่างที่ผสมหัวน้ำมันดอกลาเวนเดอร์ จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย ๒๔. อุณหภูมิภายในห้องนอน: ควรให้อุณหภูมิอยู่ระหว่าง ๒๐ ถึง ๒๕ องศาเซลเซียส

๒๕. ควบคุมการหายใจ: ร่างกายเพิ่มการหายใจในระดับทรวงอกเอง หายใจเข้าช้าๆ และลึกๆ โดยใช้ท้องแบบสบายๆ ไม่ต้องฝืน และต่อเนื่องกัน จากนั้นหายใจออกแล้วหยุดไว้สองวินาที ก่อนหายใจใหม่อีกครั้ง การหยุดช่วงสั้นๆ ทำให้ระบบประสาทสงบลง ให้ปฏิบัติการหายใจในท่านอนเหยียดยาวก่อนนอน

๒๖. น้ำมันหอม : ระเหยผสมลงไปในน้ำมันฐาน หรือครีมที่เป็นกลาง ถ้าชอบจะเพิ่มน้ำมันหอมระเหย (ดอกลาเวนเดอร์ ดอกมาร์จอแลน ดอกบาซิลิก หรือเนโรลี) โดยหยดผสมไปกับน้ำมันฐาน (น้ำมันหอม ระเหยมากที่สุด ๕ เปอร์เซ็นต์ น้ำมันฐานถ้าเป็นไปได้ ใช้ชนิดบริสุทธิ์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ตามธรรมชาติ) โดยใช้นวดตัว และเน้นที่เท้า กลุ่มเส้นประสาท เส้นโลหิต หรือต่อมน้ำเหลือง เทคนิคอื่นในการคลายเครียดได้แก่ การใช้ฝ่ามือทั้งสองนวด โดยกางนิ้วออก นวดศีรษะเบาๆ ไล่จากคางขึ้นไปถึงหน้าผาก แล้วย้อนกลับลงมาที่ท้ายทอย คุณนวดที่หางตาได้ด้วยเช่นกัน

๒๗. ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ: วิธีนี้ช่วยลดภาวะตึงเครียด สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับ การนอนง่ายคือ บังคับควบคุมความรู้สึกของสายตาและไม่คิดอะไรขณะนอนหลับ ระบบสัมผัสทั้ง ๕ ของเราจะได้พักผ่อนเต็มที่ เริ่มต้น จากการมอง การรับกลิ่น การรับรส การสัมผัส และสุดท้ายการได้ยิน

๒๘. อาบน้ำร้อน: การทำเช่นนี้มี ปฏิกิริยากล่อมประสาทให้ง่วงนอน (สำหรับแปดในสิบหน) วิธีการคือ เพิ่มอุณหภูมิให้สูงขึ้นจาก ๓๕ ถึง ๓๙ องศาเซลเซียส และคุณสามรถเติมสมุนไพร สกัดลงในอ่างน้ำร้อนได้ แต่เพื่อความเพลิดเพลินเท่านั้น เพราะมีเพียงความร้อนเท่านั้นที่ทำปฏิกิริยา คุณเพียงแต่แช่เท้าในน้ำร้อนก็ได้ ซึ่งจะต่อเนื่องถึงอุณหภูมิของร่างกาย และมีผลผ่อนคลายกลุ่มร่างแหเส้นประสาท เส้นโลหิต หรือหลอดน้ำเหลือง ให้ปฏิบัติก่อนเข้านอน

๒๙. วางมือทั้งสองข้างบนหน้าท้อง: ความร้อนจากมือช่วยผ่อนคลาย อวัยวะภายในช่องท้องที่ขวางการไหลเวียนพลังงาน

๓๐. อย่าคาดหมายล่วงหน้า: พยายามอย่านึกคิดล่วงหน้าถึงการนัดหมาย เพราะว่าความกังวล จะทำให้คุณนอนไม่หลับ

๓๑. ผ่อนคลายตัวเองด้วยการหลับตา: จินตนาการถึงการอาบน้ำ ฝักบัวเย็นฉ่ำที่ราดรดลงมาจากศีรษะแล้วไหลไปตามลำคอ นำพาความเครียดทั้งวัน ที่ผ่านมาให้ไหลไปตามทางน้ำ หรือใช้วิธีหายใจลึกๆ ผสานกับการคิดแต่ในแง่ดี ("ฉันยอมหลับอย่างวางใจ" "ฉันรู้สึกผ่อนคลาย เต็มที่")

๓๒. บอกเลิกกิจกรรมทุกอย่าง: ๓ ชั่วโมงก่อนนอน ที่คร่ำเคร่งและใช้สติปัญญา หยุดอ่านหนังสือถ้ามันจุดจินตนาการของคุณให้ทำงาน ผลักดันให้ฝันหรือใช้ความคิดใคร่ครวญ

เมื่อ “รักเรา” ไม่ใช่ที่หนึ่ง



เมื่อ “รักเรา” ไม่ใช่ที่หนึ่ง

การ ไม่ได้เป็นที่ “หนึ่ง” ในใจคนที่เรารักนั้น
ไม่ ได้ เป็นเรื่องที่น่าเศร้าเสมอไป
การเป็นที่สอง ในใจเขานั้น ย่อมดีกว่าการเป็นที่สาม ที่สี่
หรือถึงแม้ว่า . . . เราจะเป็นที่สุดท้าย
แต่มันก็ยังดีกว่า การที่เราไม่ได้อยู่ในใจเขาคนนั้นเลยไม่ใช่หรือ

จงยิ้มให้ความรัก และ รักต่อไปเถอะ

แม้ ว่า . . . รักนั้นอาจไม่ใช่ที่หนึ่ง
จนกว่าที่เรา จะบอกกับตัวเองว่า . . .
“เราทนอีกต่อไป ไม่ได้แล้ว
เรา เหนื่อยกับรัก ที่เป็นเช่นนี้เหลือเกิน”

การรักใครสักคนนั้น . . .
ง่ายกว่าการ ตัดใจ จากใครสักคนนัก
การสบตา จากใครสักคนนั้น . . .
ย่อมมีความสุข กว่าการหลบตาใครสักคน เป็นแน่แท้

จะ มีสักกี่คน ที่สามารถทำให้เรายิ้มได้ . . .
. . . อย่างสุดหัวใจ และเศร้าได้อย่างสุดหัวใจ

อย่า . . . โทษเขา ที่ไม่ได้รักเรา
อย่า . . . โทษพรหมลิขิตที่ทำให้เราเจอกัน แต่ไม่ได้ทำให้เรารักกัน
อย่า . . . โทษหัวใจตัวเองที่ไปรักเขา
อย่า . . . โทษกาลเวลาที่ทำให้เราเจอกันช้าไป
จง มีความสุข และยิ้มให้กับสิ่งต่าง ๆ เถอะ

ยิ้มให้กับคนที่ เขาไม่รักเรา . . .

เพราะ อย่างน้อยเขาก็คือ คนที่ได้รับความรักจากเรา

ยิ้มให้กับ พรหมลิขิต ที่ทำให้เราเจอกันถึงแม้เราจะไม่ได้รักกัน . . .
เพราะ อย่างน้อยพรมลิขิต ก็ยังได้ทำให้เราได้รู้จักกัน

ยิ้มให้กับหัวใจตัวเอง ที่ไปรักเขา . . .
เพราะ อย่างน้อยหัวใจของเรา ก็ยังได้เรียนรู้กับความรัก

ยิ้มให้กับกาลเวลา ที่ทำให้เราเจอกันช้าไป . . .
เพราะ อย่างน้อย ก็ยังทำให้เราได้เจอกัน

เราควรดีใจ ไม่ใช่หรือ ที่อย่างน้อยเรายังยิ้มให้กับคนที่เรารักได้

คุณอ่อนโยนแค่ไหน?

เจ้าหญิงนิทราถูกแม่มดใจร้ายทำให้เธอต้องหลับไหลชั่วนิรันดร์ เจ้าหญิงนิทราได้หลับอยู่กลางป่ามานาน มีเจ้าชายผู้สง่างามองค์หนึ่งทราบข่าวและกระวีกระวาดที่จะไปปลุก เจ้าหญิงให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง ถ้าคุณเป็นเจ้าชายองค์นั้น คุณจะทำอย่างไร ?

A. เขย่าตัวเจ้าหญิงนิทราเบา ๆ

B. ใช้ความอบอุ่นจากมือตัวเองทำให้ร่างกายของเจ้าหญิงอุ่นขึ้น และตบเบาๆ ที่ศีรษะ

C. ป้อนเหล้าไวน์ให้เธอโดยวิธีปากต่อปาก

D. สวดมนต์ภาวนาชนิดหามรุ่งหามค่ำ

เด็กดีดอทคอม :: คุณอ่อนโยนแค่ไหน?;  tags: ทายนิสัย, นิสัย, อ่อนโยน, นิทาน, ดูดวง, ทายใจคุณอ่อน โยนแค่ไหน?

เฉลย
ค้นหาความอ่อนโยนของคุณที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน

A. คุณเป็นคนที่แทบจะไม่มีความอ่อนโยนใจดีเลย มิหนำซ้ำยังชอบแกล้งคนอื่นอีกด้วย โดยเฉพาะเมื่อคุณรู้สึกอิจฉาริษยา คุณสามารถทำได้ทุกอย่างที่จะทำให้อีกฝ่ายเจ็บปวด และเดือดร้อน


B. คุณมีความอ่อนโยนใจดีที่ทุ่มเทและพยายาม แต่บางครั้งก็ยึดติดกับบางอย่างมากเกิน ไปจนอาจจะดูเหมือนคนเย็นชาไปได้ นอกจากนี้ อารมณ์ของคุณยังโลเลและขึ้น ๆ ลง ๆ ง่าย


C. คุณก็มีความอ่อนโยนใจดีไม่น้อย การแสดงออกถึงความรัก ก็ดูมีศิลปะทีเดียว แต่ความ อ่อนโยนใจดีส่วนใหญ่ของคุณนั้น มีไว้สำหรับแสดงไว้ให้คนอื่น ๆ ดูมากกว่า และคุณจะ ทำตัวเป็นคนอ่อนโยนใจดีเป็นพิเศษเมื่อมีคนอื่นเห็นชัด ๆ


D. คุณมีจิตใจที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนใจดี เพียงแต่แสดงออกไม่เก่งเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้ว คุณมีความอ่อนโยนมากกว่า 3 ประเภทที่กล่าวมาแน่ ๆ


คนชอบนอนกลางวันสมองบรรเจิดจินตนาการ

สงสัยทางโนบิตะได้มาอ่านบทความในเรื่องนี้คงทำให้เขามีแรง บันดาลใจในการนอนมากขึ้น เพราะจากการวิจัยล่าสุดเผยว่า คนที่ชอบฝันกลางวันจะเป็นการช่วยฟิตสมองให้เกิดจินตนาการมากยิ่งขึ้น เพราะสิ่งที่วาดฝันเอาไว้บนวิมานในอากาศจะเป็นการกระตุ้นให้เกิดความคิด สร้างสรรค์มากมาย

นอนกลางวัน, นอน,  สมอง,  จินตนาการ, ความรู้รอบตัว, การนอน

ผลวิจัยใหม่ระบุแม้อาจทำให้ใจลอยจากงานไปบ้าง แต่แท้จริงแล้วการฝันกลางวันช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ของคนเรา สำหรับงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยอีสต์ แองเกลีย ยืนยันว่า การฝันกลาง วันเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นกระบวนการความ คิดที่เปิดทางให้สมองสร้างการเชื่อมโยงใหม่ๆ แต่แทนที่จะจดจ่อกับสภาพแวดล้อมปัจจุบันรอบข้าง การฝันกลางวันทำให้สมองเป็นอิสระเพียงพอจะคิดถึงความคิดรูปธรรมและจินตนาการ ไหลลื่น ส่งผลให้คนเราสามารถจินตนาการในสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง ด้าน เทเรซา เบลตัน นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยอีสต์ แองเกลีย เมืองนอริช อังกฤษ เริ่มสนใจเรื่องฝันกลางวันตอนที่อ่านเรียงความของเด็กประถม แม้เบลตันสนับสนุนให้นักเรียนเขียนสิ่งที่อยากเขียน แต่เธอกลับต้องประหลาดใจว่าเรื่องราวเหล่านั้นขาดแรงบันดาลใจโดยสิ้นเชิง 'เรียงความเหล่านั้นค่อนข้างน่าเบื่อและไร้จินตนาการ ราวกับว่าเด็กๆ ติดอยู่กับวิธีคิดที่ถูกตีกรอบ แม้เราพยายามให้เด็กคิดอย่างสร้างสรรค์ แต่กลับดูเหมือนว่าพวกเขาไม่รู้วิธีการที่จะทำแบบนั้น' หลังจากตรวจดูตารางเวลาประจำวันของเด็กอยู่หลายเดือน เบลตันได้ข้อสรุปว่าอย่างน้อย

ส่วนหนึ่งที่เป็นต้นเหตุของการขาดแคลนจินตนาการคือ การไม่มีเวลาว่าง ซึ่งหมายถึงช่วงเวลาที่ปราศจากสิ่งเร้าให้ทำกิจกรรมหรือสิ่งเร้าด้านอารมณ์ เลย เบลตันสังเกตว่า ทันทีที่เด็กเหล่านั้นเริ่มเบื่อ พวกเขาจะหันไปหาทีวีโดยไม่ต้องคิด และภาพเคลื่อนไหวสะกดความคิดของเด็กให้หยุดนิ่ง 'เป็นปฏิกิริยาตอบสนองโดยอัตโนมัติ การดูทีวีเป็นสิ่งที่เด็กๆ ทำเมื่อไม่รู้จะทำอะไร' ปัญหาจากพฤติกรรมนี้คือ การจำกัดไม่ให้สมองเด็กฝันกลางวัน เนื่องจากเด็กมักไม่ค่อยเบื่อเมื่ออยู่ใกล้ๆ ทีวี เด็กจึงไม่เคยเรียนรู้วิธีใช้จินตนาการเพื่อสร้างความบันเทิงให้ตนเอง

'ความสามารถในการฝันกลางวันเปิดโอกาสให้คนเราเติมเต็มเวลาว่าง ด้วยกิจกรรมที่น่าสนุกสนานเพลิดเพลินที่ทำที่ไหนก็ได้ แต่ปัญหาก็คือ ทักษะนี้ต้องการการปฏิบัติจริง ทว่าเด็กมากมายไม่เคยได้ทำมาก่อน' โจนาธาน ชูเลอร์ นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ขานรับว่า ถ้าสมองไม่ได้ท่องเที่ยว ความคิดก็จะถูกพันธนาการกับสิ่งที่ทำอยู่ ในขณะนั้น 'ในทางตรงข้าม คุณสามารถใช้เวลาท่องเที่ยวด้วยความคิดและจำลองสถานการณ์ในรูปแบบอื่นๆ เพราะระหว่างการฝันกลางวัน ความคิดของคุณจะเป็นอิสระไร้ขีดจำกัดอย่างแท้จริง'

ในรายงานที่กำลังจะเผยแพร่ออกมาเร็วๆ นี้ การวิจัยของชูเลอร์แสดงให้เห็นว่า คนที่ฝันกลางวันทำคะแนนการทดสอบความคิดสร้างสรรค์ได้มากกว่าคนอื่นๆ 'การฝันกลางวันเกี่ยวข้องกับรูปแบบการคิดที่ผ่อนคลาย ที่คนเราเต็มใจคิดถึงไอเดียที่ดูเหมือนน่าหัวเราะหรือไกลจากความจริง' เบลตัน กล่าว

ทาครีมบำรุงอย่างถูกวิธี…เผยผิวสวยใสไปอีก นาน

เรื่อง : สิริพร


สมัยนี้มีครีมบำรุงผิวให้เลือกมากมายหลายชนิด แต่ละชนิดก็มีคุณสมบัติแตกต่างกัน เช่น ลดรอยตีนกา ยกกระชับผิว คืนความชุ่มชื่น ลดเลือนจุดด่างดำ ฯลฯ แล้วเคยสงสัยไหมคะว่า ในการทาครีมแต่ละครั้ง เราควรจะใช้ครีมปริมาณเท่าใด เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด...ที่สำคัญไม่เปลืองสตางค์ในกระเป๋า เพราะหากใช้อย่างถูกวิธี ก็จะช่วยประหยัดไปได้เยอะทีเดียว

1. การทาครีมบนใบหน้า ปริมาณครีมที่ใช้แต่ละครั้งต้องให้พอเหมาะ เพราะถ้าใช้น้อยเกินไป ก็จะเห็นผลช้า ทามากเกินไป ก็จะทำให้หน้ามัน ควรใช้ครีมประมาณ 1 ข้อนิ้ว / การทาครีม 1 ครั้ง เริ่มแต้มครีมที่บริเวณ 5 จุด คือ หน้าผาก จมูก แก้มทั้งสองข้าง และคาง โดยใช้นิ้วกลางและนิ้วนางเกลี่ยจากส่วนกลางไปยังส่วนข้าง ซ้ายออกซ้าย ขวาออกขวา ตามด้วยแนวสันจมูก ใต้โพรงจมูก คาง และหน้าผาก เว้นบริเวณรอบดวงตาไว้

2. การทาครีมรอบดวงตา ใช้เนื้อครีมประมาณ 1 เมล็ดถั่วเขียว โดยใช้นิ้วนางในการทา เพราะน้ำหนักกดเบาที่สุด โดยทาครีมไล่ตามแนวโครงกระดูกเบ้าตา จะเริ่มที่หัวตาหรือหางตาก่อนก็ได้ จากนั้นทาวนไปรอบ ๆ ดวงตา และควรวนไปในทิศทางเดียวกันทั้งสองข้าง

3. การทาครีมบริเวณลำคอ ใช้เนื้อครีมเท่ากับที่ทาใบ หน้า โดยเริ่มทาจากบริเวณที่กว้างที่สุดของลำคอ คือ บริเวณฐานลำคอแล้วใช้ปลายนิ้วค่อย ๆ ลูบไล้ขึ้น ไม่ควรทาลง เพราะจะทำให้ผิวบริเวณลำคอหย่อนยาน

4. การทาครีมบริเวณหน้าอก ใช้ครีมที่เหลือจากลำคอ ทาลูบไล้ในช่วงอกต่อไป โดยการใช้ปลายนิ้วลูบไล้เพียงเบา ๆ และวนให้ทั่วแผ่นอก แล้วค่อยไล่ทาไปที่หน้าท้องและส่วนหลัง

5. การทาครีมบริเวณแขน ควรทาครีมที่บริเวณต้นแขนด้านท้องแขน แล้วทาวนขึ้นหลังแขน โดยการใช้ปลายนิ้วลูบไล้เพียงเบา ๆ เพื่อให้เนื้อครีมซึมซับเข้าสู่ผิว

6. การทาครีมบริเวณขาและเท้า ควรเริ่มต้นที่ต้นขา แล้วค่อยวนไปที่ปลายขา เน้นบริเวณหน้าแข้งทั้งสองข้าง เพราะบริเวณนี้ผิวค่อนข้างแห้งที่สุด และไม่ควรลืมทาครีมที่บริเวณเท้าทั้งสองข้าง ทาทั้งหลังเท้าและฝ่าเท้า พร้อมทำการนวดให้ทั่วอุ้งเท้า เพื่อเพิ่มการไหลเวียนโลหิต

8 วิธีง่ายๆช่วยสมองรับงานหนัก




บ่อยครั้งที่พอสมองตื้อ คิดอะไรไม่ออก หรืออารมณ์ไม่ดี หลายคนมักจะเป็นประเภทรำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง ดังนั้น ถ้าวันนี้ใครรู้สึกว่าสมองแล่นช้า ลองสลับหยุดนิ่ง ก่อนจะหันไประเบิดอารมณ์ใส่เพื่อน หรือหาทางออกจากอะไรๆ รอบตัว ลองมาเช็กและรีเฟรชระบบภายในร่างกายกันก่อน ด้วย 8 วิธีที่ทำได้ในออฟฟิศ

- เพิ่มประสิทธิภาพในการประสานงานสมอง : เขียนเลข 8 ในอากาศ ด้วยมือทั้งสองข้าง ข้างละ 5 ครั้ง โดยเริ่มจากด้านซ้ายของเลขก่อน แล้วเขียนวนไปให้เป็นเลข 8 วิธี นี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการอ่าน การทำความเข้าใจดีขึ้น และทำให้สมองด้านซ้ายและด้านขวาประสานงานกัน

- หล่อเลี้ยงสมองด้วยน้ำเปล่า : วางขวดน้ำไว้ใกล้ๆ โต๊ะของคุณเป็นประจำ และคอยจิบทีละน้อย
วิธีนี้จะช่วยให้จิตใจและร่างกายของคุณตื่น ตัวตลอดเวลา สมองเปิดว่าง สามารถรับสารหรือข้อมูลได้ดี เพราะน้ำจะช่วยปรับสารเคมีที่สำคัญในสมองและระบบประสาท ถ้าเวลาที่รู้สึกเครียด จึงควรจิบน้ำเพื่อให้ร่างกายได้รับน้ำเพื่อไปหล่อเลี้ยงระบบของร่างกาย

- นวดใบหูกระตุ้นความเข้าใจ : นั่งพักสบายๆ แตะปลายนิ้วทั้งสองข้างที่ใบหู เคลื่อนนิ้วไปยังส่วนบนของหู จากนั้นบีบนวดและคลี่รอยพับของใบหูทั้งสองข้างออก ค่อยๆ เคลื่อนนิ้วลงมานวดบริเวณอื่นๆ ของใบหู ดึงเบาๆ เมื่อถึงติ่งหู ดึงลง ให้ทำซ้ำกัน 2 ครั้ง
วิธีนี้ จะช่วยกระตุ้นการได้ยิน และทำให้ความเข้าใจดีขึ้น เพราะเป็นการคลายเส้นประสาทบริเวณใบหูที่เชื่อมสมอง

- บริหารกล้ามเนื้อหัวไหล่ : ใช้มือซ้ายจับไหล่ขวา บีบกล้ามเนื้อให้แน่นพร้อมหายใจเข้า จากนั้นหายใจออกและหันไปทางซ้ายจนสามารถมองไหล่ซ้ายของตัวเอง จากนั้นสูดลมหายใจลึกๆ วางแขนซ้ายลงบนไหล่ขวา พร้อมกับห่อไหล่ ค่อยๆ หันศีรษะกลับไปตรงกลางและเลยไปด้านขวา จนกระทั่งสามารถมองข้ามไหล่ของคุณได้ ยืดไหล่ทั้งสองข้างออก ก้มคางลงจรดหน้าอกพร้อมกับสูดลมหายใจลึกๆ เพื่อให้กล้ามเนื้อของคุณได้ผ่อนคลายเปลี่ยนมาใช้มือขวาจับไหล่ซ้าย บ้าง และทำซ้ำกันข้างละ 2 ครั้ง
วิธี นี้จะช่วยบริหารกล้ามเนื้อตรงส่วนลำคอและไหล่ การได้ยิน การฟัง และช่วย ลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อที่เกิดจากการนั่งโต๊ะทำงานเป็นเวลานานอีกด้วย

- นวดจุดเชื่อมสมอง : วางมือข้างหนึ่งไว้บนสะดือ มืออีกข้างหนึ่งใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้วางบนกระดูกหน้าอกบริเวณ ใต้กระดูกไหปลาร้า และค่อยๆ นวดทั้งสองตำแหน่งประมาณ 10 นาที
วิธีนี้จะช่วยลดความงงหรือสับสน กระตุ้นพลังงาน และช่วยให้มีความคิดแจ่มใส

- บริหารขา : ยืนตรงให้เท้าชิดกัน ถอยเท้าซ้ายไปข้างหลัง โดยยกส้นเท้าขึ้น งอเข่าขวาเล็กน้อยแล้วโน้มไปข้างหน้าเล็กน้อย ก้นของคุณจะอยู่ในแนวเดียวกับส้นเท้าขวา สูดลมหายใจเข้าและผ่อนออก ในขณะที่ปล่อยลมหายใจออกนี้ ค่อยๆ กดส้นเท้าซ้ายให้วางลงบนพื้นพร้อมกับงอเข่าขวาเพิ่มขึ้น หลังเหยียดตรง สูดลมหายใจเข้าแล้วกลับไปตั้งต้นใหม่อีกครั้ง เปลี่ยนจากขาข้างซ้ายเป็นข้างขวา ทำแบบเดียวกันทั้งหมด 3 ครั้ง การบริหารท่านี้เหมาะสำหรับปรับปรุงสมาธิ รวมทั้งช่วยเพิ่มความเร็วในการอ่านหนังสือ และยังช่วยให้กล้ามเนื้อต้นขา และกล้ามเนื้อน่องผ่อนคลายอีกด้วย





- กดจุดคลายเครียด : ใช้นิ้ว 2 นิ้ว กดลงบนหน้าผากทั้งสองด้าน ประมาณ กึ่งกลางระหว่างขนคิ้ว และตีนผม กดค้างไว้ประมาณ 3 - 10 นาที วิธีนี้จะช่วยคลายความ ตึงเครียดและเพิ่มการหมุนเวียนโลหิตเข้าสู่สมอง

- บริหารสมองด้วยการเขียน : เขียนเส้นขยุกขยิกด้วยมือทั้งสองข้างพร้อมๆ กัน ลายเส้นที่เขียนอาจจะดูเพี้ยนๆ แต่ได้ผลดีต่อระบบสมองเป็นอย่างดีทีเดียว วิธีนี้จะช่วยให้เกิดการปรับปรุงการประสานงานของสมอง ด้วยการทำให้สมองทั้งสองซีกทำงานพร้อมกัน และเพิ่มความชำนาญด้านการสะกดคำ คำนวณดี และรวดเร็วขึ้น อีกด้วย

+++ Hamster +++

+++ Playlist +++


MusicPlaylistRingtones
Create a playlist at MixPod.com

+++ coming soon +++