วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

วันมาฆบูชา



วันมาฆบูชา



ความ หมาย
วันมาฆบูชาหมายถึง การบูชา ในวันเพ็ญเดือน ๓ เนื่องในโอกาสคล้าย วันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์

ความสำคัญ
วันมาฆบูชา เป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ มีเหตุการณ์อัศจรรย์ที่ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าจำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ โดยมิได้นัดหมายกันพระสงฆ์ ทั้งหมดเป็นพระอรหันต์

ผู้ได้อภิญญา ๖และเป็นผู้ที่ได้รับการอุปสมบท โดยตรงจากพระพุทธเจ้า ในวันนี้พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ ในที่ประชุมสงฆ์เหล่านั้น ซึ่งเป็นทั้งหลักการอุดมการณ์และวิธีการปฏิบัติที่ นำไปใช้ได้ทุกสังคม มีเนื้อหา โดยสรุปคือให้ละความชั่วทุกชนิด ทำความดี ให้ถึงพร้อมและทำจิตใจให้ผ่องใส

ประวัติ ความเป็นมา
๑. ส่วนที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ ๙ เดือนขณะนั้นเมื่อเสร็จพุทธกิจแสดงธรรมที่ถ้ำสุกรขาตาแล้ว เสด็จมาประทับที่วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ ประเทศอินเดียในปัจจุบัน วันนั้นตรงกับวันเพ็ญ เดือนมาฆะหรือเดือน ๓ในเวลาบ่ายพระอรหันต์สาวกของพระพุทธเจ้า มาประชุม พร้อมกัน ณ ที่ประทับของพระพุทธเจ้า นับเป็นเหตุอัศจรรย์ ที่มีองค์ประกอบสำคัญ ๔ ประการ คือ
๑. วันนั้นเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓
๒. พระสงฆ์จำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้ นัดหมาย
๓. พระสงฆ์ทั้งหมดเป็นพระอรหันต์ผู้ได้อภิญญา ๖
๔. พระสงฆ์ทั้งหมดเป็นผู้ได้รับการอุปสมบท โดยตรงจาก พระพุทธเจ้า

เพราะเหตุที่มีองค์ประกอบสำคัญดังกล่าว จึงมีชื่อเรียก อีกอย่างหนึ่งว่า วันจาตุรงคสันนิบาต และในโอกาสนี้ พระพุทธเจ้า ได้แสดงโอวาทปาติโมกข์ ในที่ประชุมสงฆ์เหล่านั้น ซึ่งถือได้ว่าเป็นการประกาศหลักการอุดมการณ์ และวิธีการปฏิบัติทางพระพุทธศาสนา

การถือปฏิบัติวันมาฆบูชาในประเทศไทย
พิธีวันมาฆบูชานี้ เดิมทีเดียวในประเทศไทยไม่เคยทำมาก่อน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอธิบายไว้ว่าเกิดขึ้นในสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยทรงถือตามแบบของโบราณบัณฑิตที่ได้นิยมกันว่า วันมาฆะบูรณมี พระจันทร์เสวยฤกษ์มาฆะเต็มบริบูรณ์เป็นวันที่พระอรหันต์สาวกของ พระพุทธเจ้า ๑,๒๕๐ รูป ได้ประชุมกันพร้อมด้วยองค์ ๔ ประการ เรียกว่า

จาตุรงคสันนิบาตพระพุทธเจ้าได้ตรัสเทศนาโอวาทปาติโมกข์ ในที่ประชุมสงฆ์เป็นการ ประชุมใหญ่ และเป็นการอัศจรรย์ในพระพุทธศาสนา นักปราชญ์ จึงถือเอาเหตุนั้นประกอบ การสักการบูชาพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวก ๑,๒๕๐ รูปนั้น ให้เป็นที่ตั้งแห่งความ เลื่อมใสการประกอบพิธีมาฆะบูชา ได้เริ่มในพระบรมมหาราชวังก่อน


ในสมัย รัชกาลที่ ๔ มีพิธีการพระราชกุศลในเวลาเช้า พระสงฆ์ วัดบวรนิเวศวิหารและ วัดราชประดิษฐ์ ๓๐ รูป ฉันในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เวลาค่ำ เสด็จออกทรงจุด ธูปเทียนเครื่อง มนัสการแล้ว พระสงฆ์สวดทำวัตรเย็นเสร็จแล้ว สวดมนต์ต่อไปมี สวดคาถาโอวาทปาติโมกข์ด้วยสวดมนต์ จบทรงจุดเทียนรายตามราวรอบพระอุโบสถ ๑,๒๕๐ เล่ม มีการประโคมอีกครั้งหนึ่งแล้วจึงมีการเทศนา โอวาทปาติโมกข์ ๑ กัณฑ์เป็นทั้งเทศนาภาษาบาลีและ ภาษาไทย เครื่องกัณฑ์ มีจีวรเนื้อดี ๑ ผืน เงิน ๓ ตำลึง และขนมต่าง ๆ เทศนาจบพระสงฆ์ ซึ่งสวดมนต์ ๓๐ รูป สวดรับการประกอบพระราชกุศลเกี่ยวกับ วันมาฆบูชาในสมัยรัชกาลที่ ๔ นั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะเสด็จออกประกอบพิธีด้วยพระองค์เองทุกปีมิได้ขาด สมัยต่อมามีการเว้นบ้าง เช่น รัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จออกเองบ้าง มิได้ เสด็จออกเองบ้างเพราะมักเป็นเวลาที่ประสบกับเวลาเสด็จประพาส หัวเมืองบ่อย ๆ หากถูกคราวเสด็จไปประพาสบางปะอินหรือพระพุทธบาท พระพุทธฉาย พระปฐมเจดีย์ พระแท่นดงรัง ก็จะทรงประกอบพิธีมาฆบูชา ในสถานที่นั้น ๆ ขึ้นอีก ส่วนหนึ่งต่างหากจากในพระบรมมหาราชวังเดิมทีมีการประกอบพิธีในพระบรมมหาราช วัง ต่อมาก็ขยายออกไป ให้พุทธบริษัทได้ ปฏิบัติตามอย่างเป็นระบบสืบมาจนปัจจุบัน มีการบูชา ด้วยการเวียนเทียน และบำเพ็ญกุศลต่าง ๆ ส่วนกำหนดวันประกอบพิธีมาฆบูชานั้น ปกติตรงกับวันเพ็ญ เดือน ๓ หากปีใด เป็นอธิกมาส คือ มีเดือน ๘ สองหนจะเลื่อนไปตรงกับวันเพ็ญเดือน ๔

การเดินทางของชีวิต


นานมาแล้ว...มีพระราชา ผู้ซึ่งบอกกับคนขี่ม้าของเขาว่า
....ถ้าเขาสามารถขี่ม้าไปครองพื้นที่ได้มากเท่าไรก็ตาม
พระราชาจะยกที่ดินนั้นให้กับเขา คนขี่ม้าจึงควบม้าของเขาไปอย่างรวดเร็ว เพื่อครอบครองที่ดินให้มากเท่าที่จะทำได้
เขาเร่งควบม้าไปเรื่อยๆ เร็วเท่าที่ม้าจะรับไหว ....... เมื่อเขาหิวหรือเหนื่อย เขาจะไม่หยุดควบม้า เพราะเขาต้องการครอบครองดินแดนให้มากเท่าที่จะเป็นไปได้

เมื่อมาถึงจุดหนึ่งเขาหมดแรง และกำลังจะตาย

เขาจึงถามตัวเองว่า.... " ทำไมเราถึงกดดันตัวเองอย่างหนักเพื่อให้ได้ครอบครองผืนดิน?
ตอนนี้เรากำลังจะตายและเราก็ต้องการเพียงแค่ที่ดินเล็กๆ เพื่อฝังศพตัวเอง "

เรื่องข้างต้นก็เหมือนการเดินทางของชีวิตพวกเรา....

พวกเราผลักดันตัวเองอย่างทุกวันเพื่อให้ได้เงินมากๆ
มีอำนาจ และเป็นที่ยอมรับ พวกเราละเลยที่จะดูแลสุขภาพของตัวเอง และคนรอบข้าง....

เราไม่มีแม้เวลาที่จะให้กับครอบครัว และชื่นชมกับสิ่งสวยงามรอบตัว หรือแม้กระทั่ง งานอดิเรกที่เรารัก
เราก็ไม่มีแม้เวลาที่จะทำมัน วันหนึ่งเมื่อเรามองกลับไป ....
พวกเราจะตระหนักว่า สิ่งที่ต้องการนั้น จริง ๆ
เรากลับไม่ได้มันมาทั้งๆที่มันอยู่ใกล้เสียเหลือเกิน .....

แต่สิ่งที่เราขวนขวาย และพยายามไขว่คว้า มันกลับไม่ได้ให้อะไรกับชีวิตเราเลย....
แต่เมื่อเราไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้กับสิ่งที่เราพลาดไปในชีวิต ไม่ใช่การสร้างเงิน สร้างอำนาจ หรือการยอมรับ ชีวิตไม่ใช่การทำงาน งานเป็นสิ่งสำคัญเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้เราสนุกกับความงาม และความพึงพอใจของชีวิต แต่ชีวิตคือ ความสมดุลของงานและการเล่น ครอบครัวและเวลาส่วนตัว ...จงตัดสินใจว่าจะสร้างสมดุลให้กับชีวิตคุณอย่างไร?

กำหนดลำดับความสำคัญของคุณเอง ตระหนักว่าอะไรที่คุณสามารถยอมรับได้

จงตัดสินใจด้วยสัญชาตญาณของตัวคุณเอง....
ความสุขคือ ความหมายและจุดมุ่งหมายของชีวิต ดังนั้น...

สร้างมันง่าย ๆ โดยทำในสิ่งที่คุณต้องการจะทำ และซาบซึ้งกับธรรมชาติ ชีวิตนั้นเปราะบาง ชีวิตนั้นสั้น
ใช้ชีวิตอย่างสมดุล ในสไตล์ของคุณเอง และสนุกกับมัน

มองดูสิ่งที่คุณคิด : มันจะกลายเป็นคำพูด
มองดูคำพูดของคุณ : มันจะกลายเป็นการกระทำ
มองดูการกระทำของคุณ : มันจะกลายเป็นนิสัยติดตัว
มองดูนิสัยของคุณ : มันจะกลายเป็นบุคลิก
มองดูบุคลิกของคุณ : มันจะกลายเป็นโชคชะตา
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ตัวคุณที่จะกำหนดตัวคุณเอง

ใครสักคน


การที่เราจะคบหาหรือรู้จักใครสักคน

ไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตาม

สิ่งหนึ่งที่ควรท่อง ควรจำไว้อยู่เสมอก็คือ

“คน” เป็นสิ่งมีชีวิต

ที่มีทั้งด้านบวก และด้านลบ อยู่ในนั้น

อย่าตั้งใจกับคนหนึ่งคนมากเกินไป

เพราะไม่มีใครอยากเป็นต้นเหตุของความล้มเหลว

อย่าคาดหวังกับ คนหนึ่งคนมากเกินไป

เพราะไม่มีใครสามารถเป็นทุกอย่าง

ที่ทุกคนอยากให้เป็น

อย่าให้เวลากับคนหนึ่งคนมากเกินไป

เพราะไม่ว่าใครก็อยากมีช่วงเวลาความเป็นส่วนตัว. . .

คนเดียว ....

อย่าพยายามเปลี่ยนแปลงคนหนึ่งคนมากเกินไป

เพราะนั่นจะทำให้เค้าไม่หลงเหลือ ..

ความเป็นตัวของตัวเอง

อย่าควบคุมชีวิตคนหนึ่งคนมากเกินไป

เพราะมนุษย์มักจะหาวิธีการแทรกตัว

เพื่อออกมาจากกฎที่ถูกกำหนด

อย่าบีบบังคับคนหนึ่งคนมากไปกว่านี้

เพราะถ้าคน ๆ นั้น หลุดจากภาวะบีบบังคับมาได้

คุณจะกลายเป็นคนที่ถูกหันหลังให้ในทันที

เธอ. . . ลองมองดูฉันดี ๆ

ฉันมีลมหายใจ

ไม่ใช่ภาพวาด ที่จะสวยงามอยู่ตลอดเวลา

ฉันเองก็เป็น “คน” เป็นสิ่งมีชีวิตที่มี 2 ด้าน. . . เช่นกัน

...อยากรู้จักใครสักคน ต้องหัดเรียนรู้ ไม่ใช่เปลี่ยนแปลง...

วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ความรัก...ไม่มีถูก-ผิด?


เค้าว่าเรื่อง "ความรัก" ไม่มีคำว่าถูกและผิด
คุณไม่ผิดที่ไปรักเค้าคนนั้น
และเค้าเองก้อคงไม่ผิดที่ไม่ได้รักคุณ

ในทางตรงข้าม คุณไม่ผิดที่ไม่ได้รักเค้าคนนั้น
และเค้าก้อไม่ผิดที่มารักคุณเช่นกัน

.........การห้ามใจไม่ให้รักนั้นยากนัก
แต่คงเทียบไม่ได้กับการห้ามใจให้ลืมรักเพราะย่อมยากกว่า

คุณอาจทำได้เมื่อมีใครอีกคนก้าวเข้ามาในชีวิตคุณ แต่มันคงไม่ง่าย
ถ้าคุณต้องหักใจให้ลืมในขณะที่คุณอยู่คนเดียว

..........เค้าว่าการชนะใจตัวเองนั้นอาจดีและมีค่าที่สุด
แต่ในเรื่องความรัก การชนะใจคนที่เรารักนั้นอาจย่อมมีค่ากว่า

แต่มันอาจมีค่ากว่านั้น
ถ้าคุณสามารถชนะใจตัวเองที่จะปฏิเสธกับความรักที่ย้อนมาหาคุณ
และมันอาจมีค่าที่สุด
ถ้าคุณยอมที่จะ "แพ้" ใจตัวเองเพื่อจะกลับไปหาความรักนั้น

...........ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน
แต่อย่าลืมว่าบนโลกไม่ได้มีแค่เค้าทั้งคู่
อย่าโกรธเค้าที่ต้องปฏิเสธรักจากคุณ
ด้วยเหตุผลว่าเราเข้ากันไม่ได้
ด้วยเหุผลว่าสังคมเราต่างกัน
ด้วยเหตุผลว่าเค้ายังรักคุณอยู่
ด้วยเหตุผลว่าเค้ารักคนอื่นที่มีค่าพอกับคุณ

............วิทยาศาสตร์อาจต้องการเหตุผล
แต่เรื่องความรักย่อมไม่ต้องการเหตุผลใดใด
คนดีอาจรักกับคนเลว

จงอย่าโทษเค้าว่าเค้ารักคนผิด
จงอย่าโทษเค้าว่าเค้ารักคนที่ไม่เอาไหน
และจงอย่าโทษตัวเองว่าเรารักคนที่ไม่ดี

เพราะสิ่งที่คุณทำนั้นถูกต้องแล้ว จงเชื่อในสายตาของตัวเอง
จงเชื่อประตูหัวใจอันมีค่าที่เลือกจะเปิดรับเค้าคนนั้น

............แม้ใครจะพูดว่าคู่ของเราเป็นคนไม่ดี
แต่ในแง่ของความรัก คุณทั้งสองเป็นคนดีของกันและกัน
อย่าโกรธเค้าที่บางครั้งเค้ายอมเป็นคนตาบอด
อย่าโกรธเค้าที่บางครั้งเค้ายอมเป็นคนหูหนวก
บางครั้งการไม่เห็นและไม่ได้ยิน
เพื่อรักษาและถนอมความรักเอาไว้
ก็อาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

.............นิยามความรักแต่ละคนย่อมต่างกัน
ไม่แปลกที่บางคู่อาจทะเลาะกันทั้งวัน
ไม่แปลกที่บางคู่อาจหวานให้แก่กันได้ทั้งวัน
และไม่แปลกที่บางคู่ต่างเฉยชาต่อกัน
และก้อคงไม่แปลกเลยที่บางคู่อาจต่างกันราวฟ้ากับดิน
เพราะบางครั้งความรักคือ การเติมเต็ม
แต่บางครั้งความรักอาจคือ
การเสียสละและการแบ่งปัน

บางครั้งความรักอาจเป็น การดูแลและปกป้อง

อย่าไปคิดว่าทำไมคู่เราถึงไม่เหมือนคู่ของใครเค้า
อย่าไปคิดว่าคู่เราแปลกหรือเปล่า
อย่าไปสนใจว่าเราควรเปลี่ยนแปลงอะไรมั๊ย
ถ้าจะเปลี่ยน ขอให้เพื่อรักมิใช่เพื่อเลิกรัก

วิ่งตาม ความรัก



สมัยตอนเป็นเด็ก.. จำได้ว่สในวิชาพละศึกษา
คุณครูสั่งให้เราวิ่งรอบสนามกันคนละ 20 รอบ.. เพื่อจับเวลาของแต่ละคน ..
แถมยังมีรางวัลมาล่อใจอีกด้วยว่า.. ใครเข้าเส้นชัยได้คนแรก..
จะมีคะแนนพิเศษเพิ่มให้

พอเริ่มออกสตาร์ท..
ฉันก็สังเกตเห็นเพื่อนหลายคน ..พยายามจะเบียดตัวเอง..ขึ้นมาอยู่แถวหน้าสุด.. เพื่อที่จะได้เปรียบคนอื่นในช่วงออกตัว

แล้วพอครูบอกว่า..วิ่งได้-เท่านั้นแหละ ..
เพื่อนหลายคนของฉัน..ก็วิ่งปรู๊ดออกไปแบบไม่คิดชีวิต

ส่วนฉัน -- โน่น วิ่งอยู่หลังสุด

ไม่ได้ช้า..เพราะเหนื่อย ..หรือเพราะวิ่งไม่เก่ง ..
แต่ฉันกำลังรู้สึกสนุกสนาน..กับการวิ่งจับเวลาซะเหลือเกิน ..
เพราะฉันวิ่งไป- คุยไป ..กับเพื่อนซี้รู้ใจ..แบบไม่สนเวลา ..
ฉันสนใจความสนุกสนาน..ระหว่างการวิ่งมากกว่า

บางที..เห็นคนข้างหน้า..ที่วิ่งนำมาหลายรอบ..กำลังชะลอความเร็ว ..เพราะเหนื่อยหอบ ..
ก็อดที่จะขอวิ่งแซงหน้าบ้างไม่ได้ ..

หรือบางที..หันไปเห็นเพื่อนที่วิ่งรั้งท้ายตลอด..
ก็จะพยายามวิ่งให้ช้าลง ..รอให้เขาวิ่งทัน..จะได้คุยไปด้วยกันหลายๆ คน….สนุกดี

หรือบางที..รู้สึกไม่อยากแซงคนข้างหน้าขึ้นมาเฉยๆ..
เพราะว่าวิ่งตามหลังเขา.. จะได้แอบนินทาเขาได้.. สนุกไปอีกแบบ

จะทำลายสถิติไหม ..ไม่รู้หรอก..
รู้แต่ว่า..วิ่งช้าๆ-มันไม่เหนื่อยเร็ว ..และขอแค่วิ่งให้ถึงเส้นชัย..ก็พอ

*

*

คงคล้ายคล้าย..กับ 'ความรัก' ..กระมัง

ทุกคน..มี 'เส้นชัย' ของตัวเอง ..มีสถิติ-ที่ตัวเองพอใจ

แต่..คนที่เข้าเส้นชัยก่อน ..ใช่ว่า..จะคว้า 'ความรักที่ดี' ได้ก่อนเสมอไป ..
และสถิติที่ดี.. ก็ไม่ได้การันตีว่า.. 'ความรัก' จะสมบูรณ์แบบ

ในขณะที่..สังคมทุกวันนี้..ปลูกฝังให้เราวิ่งแซงคนอื่น ๆ เสมอ ..
สอนว่า...อย่าพยายามให้ใครแซงหน้า..
เพราะนั่นหมายถึง.. ทำให้เราพลาดโอกาสดีๆ ในชีวิตไป

แต่..สังคมของ 'ความรัก' ..สอนให้คนรู้จักผ่อนจังหวะก้าว..ให้ช้าลง ..แต่หนักแน่นขึ้น

โลกภายนอก..บอกให้เรารู้ว่า ..
'อย่าวิ่งตามใคร..ถ้าไม่แน่ใจว่า..จะตามเขาได้ทัน ..
เพราะมันเสียแรงเปล่า.. และโง่เหลือเกิน'

แต่.. 'โลกของความรัก' ..
ใครอีกหลายคน...สมัครใจที่จะเป็น 'คนโง่'.. เพื่อวิ่งตาม 'คนที่ตัวเองรัก' ให้ทัน
..ทั้งที่รู้แก่ใจว่า.. 'ไม่มีวันนั้น'

………………………………

เพื่อนรักคนหนึ่งของฉัน.. มี 'เส้นชัย' ..ในหัวใจของเธอเอง

คนรักของเธอ..เป็นนักวิ่งฝีเท้าดี ..เพราะตั้งแต่อยู่กันมา ..เขาออกวิ่งก่อนเธอเสมอ ..
ไม่เคยบอกล่วงหน้า.. และไม่เคยชะลอความเร็วลงเลย ..
แต่ความเร็วของเขา..ก็ไม่มากไปกว่า.. 'ความรัก' ที่เธอมี

'ความรัก' ทำให้เธอวิ่งเร็วขึ้น.. ใกล้เขามากขึ้น..
และไม่ยอมปล่อยให้เขาทิ้งระยะ..จนคลาดสายตาเธอ

แต่..เมื่อเกือบที่จะถึงตัวเขา ..เธอก็จะเลือกที่จะ 'วิ่งให้ช้าลง'
..ราวกับว่า..จะวิ่งเหยาะๆ ..ตามเขาไปเรื่อยๆ

เธอแซงหน้าเขาได้ ..แต่เธอไม่ทำ..
แม้แต่จะวิ่งให้ทันเขา-ในแนวเดียวกัน ..เธอก็ทำได้..แต่เธอไม่ทำ

'เหตุผล' ..ที่ฟังดูเหมือนง่ายของเธอ..ทำเอาใจฉันนิ่งงัน

'ถ้าวิ่งให้ทันเขา ..หรือแซงหน้าเขาไป ..ฉันก็คงมองไม่เห็นเขาในชีวิตอีก

แต่ถ้าฉันวิ่งตามเขาห่างๆ แบบนี้ ..เท่ากับว่า..
ฉันยังได้เห็นความเป็นไปของเขา ..ยังมีเขาอยู่ในสายตา ..ในชีวิต

แม้ว่า..เขาจะไม่เคยหันหลังกลับมา.. แล้ววิ่งให้ช้าลงเลย..ก็ตาม'

'แล้วทำไม..ไม่เข้าใกล้เขากว่านี้ ..
ทำไมต้องเว้นระยะห่างแบบนี้ด้วย.. เธอเป็นคนรักของเขานะ'
คำถามของฉัน..ทำให้แววตาของเพื่อนรัก..ปรากฏรอยเศร้า … แต่ปากยิ้ม

'ฉันกลัวเขารู้ตัว.. แล้ววิ่งหนีฉันไป-ไกลยิ่งกว่านี้ ..
ถึงวันนั้น..ฉันอาจเหนื่อยจนหมดแรง..ที่จะวิ่งตามอีกต่อไปแล้ว

ห่างแบบนี้ดีกว่า ..ฉันได้เห็นเขา ..มันอุ่นใจ ..

หรือถ้าวันหนึ่ง..เขาล้มลง… ฉันจะได้วิ่งเข้าไปช่วยพยุงได้ทัน

และถ้ามันจะทำให้เขาเห็น 'ความจริงใจ' ของฉัน ..
เขาอาจจะชวนฉันวิ่งไปพร้อมกันอีกครั้ง.. ถ้าเขาหายดีแล้ว'

*

*

ความรัก..ทำให้คนมีความหวัง..อยู่เสมอ

ในขณะเดียวกัน ..มันก็ทำให้คนบางคน 'โง่งมงาย' เสียเต็มประดา

ถ้าเพื่อน..เลือกที่จะวิ่งออกนอกเส้นทาง.. แล้วไปตั้งต้นใหม่..กับ 'ใครสักคน' ที่เขาพร้อมจะวิ่งไปกับเพื่อน..
ป่านนี้เพื่อนของฉัน..คงเข้าเส้นชัยไปนานแล้ว

แต่..เพื่อนยังคงเต็มใจ..ที่จะวิ่งตามเขาไปเรื่อยๆ

แม้ว่าบางที..อาจจะไม่มีวันนั้น .. วันที่เพื่อนเข้า.. 'เส้นชัยแห่งความรัก'

เพราะบางที….. 'เส้นชัย' ..อาจไม่มีความหมายต่อคนบางคน..
หากว่า..เขาเข้าเส้นชัย ..แต่ได้ทำ 'หัวใจ' หล่นหายไป..ระหว่างทาง

เมื่อ 'ความสุข' คือ… การโง่ที่จะรักและวิ่งตาม

ในสังคมของความรัก… ฉันจึงมองเห็นคนที่ 'วิ่งช้า'
..และปรารถนาจะเป็น 'ผู้ตาม' ด้วยความเต็มใจ..อยู่เสมอ

ความรัก ..ไม่ใช่สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต

แต่ .. 'ความรัก' ..เป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิต....มีค่ามากที่สุด

*

*

ตอนนี้..ก็คงจะพอรู้..

ถึงความรู้สึกของ 'การวิ่งตาม' ..บ้างแล้วนะ..

.
.
.

อยากเป็น 'คนวิ่งตาม'...

โดยที่ไม่รู้จักเหนื่อยบ้าง..เหมือนกัน

ข้างๆของความรัก


มีเพื่อนต่างเพศอยู่คู่หนึ่ง เป็นเพื่อนที่รักกันมาก ที่โรงเรียน

ฝ่ายชายจะเดินไปส่งฝ่ายหญิงที่บ้านเสมอทุกวัน

เวลาผ่านไป จนทั้งสองอยู่ มหาวิทยาลัย
ฝ่ายหญิงเริ่มไปแอบชอบผู้ชายคนนึง และถามฝ่ายชายว่า

"นี่ เธอว่า เค้าเหมาะกับเราไหม"
"เค้าก้อหล่อดีนะ นิสัยดีด้วย "
"หรอ อืม อยากให้เค้ามาอยู่ข้างๆเราจังเลยเนอะ"

ต่อมาหญิงสาวก็ได้เป็นแฟนกับผู้ชายคนนั้นจิงๆ
วันนึงหญิงสาวบอกกับเพื่อนสนิทของตนว่า

"นี่ เธอไม่ต้องมาส่งเราทุกวันแล้วแหละ ตอนนี้เค้าจะมาส่งเราแล้ว
เราไม่อยากให้เค้าเข้าใจผิด"
"อืม" ฝ่ายชายตอบรับ และไม่ไปส่งหญิงสาวอีก

ต่อมาหญิงสาวทะเลาะกับแฟนของตน จึงมาปรึกษาเพื่อนชายว่า
"เธอ เด๋วนี้เขาไม่ค่อยสนใจเราเลยแหละ เธอว่า เราจะทำอย่างไรดีหล่ะ"
"ก้อ เธอยังรักเค้าอยู่หรือป่าวหล่ะ" ฝ่ายชายตอบ
"รักสิ รักมากด้วย"
"ถ้าอย่างนั้น ก็มอบความรักให้เขาต่อไปสิ ก้อเธอรักเค้านี่น่า"
"อืมม"

หญิงสาวทำตามคำแนะนำของฝ่ายชาย

หลังจากนั้น วันหนึ่ง ระหว่างที่เพื่อนชายหนุ่มเดินกลับบ้าน
เค้าเห็นหญิงสาวนั่งร้องไห้อยู่ข้างทาง

"เธอ เป็นอะไรหน่ะ ให้เราช่วยไหม"
"เค้าไม่รักเราเลยหล่ะ เขาเปลี่ยนไป เด๋วนี้เขาไม่เคยมาส่งเราที่บ้านเลย"
"แล้วเราจะช่วยอะไรเธอได้บ้างหล่ะ"
"ช่วยอยู่กับเราซักพักได้ไหม"หญิงสาวร้องขอ

ทั้งสองนั่งอยู่ด้วยกันโดยไม่พูดอะไรเลย
ในที่สุดหญิงสาวก็เอ่ยขึ้น

"เราควรจะทำอย่างไรดี เธอจะช่วยเราได้ไหม ว่าเราควรจะทำอย่างไรดี"
"เธอยังรักเขาอยู่หรือป่าวหล่ะ"
"รักสิ เรารักเค้ามากเลย"
"ถ้าอย่างนั้นก้อรักเค้าต่อไปสิ"
"แต่เค้าไม่รักเราเลยนี่น่า" หญิงสาวร้องไห้โฮ
"แต่เธอก็รักเขาไม่ใช่หรอ"
และชายหนุ่มก็ส่งหญิงสาวที่บ้านอย่างที่เคยทำมาแต่ก่อน
"ถ้าเมื่อไหร่ที่เธออยากให้เรามาส่งเธอที่บ้าน อย่าลืมเรียกเรานะ"
"อืม" และหญิงสาวก็เดินขึ้นบ้านไป

ต่อมาวันหนึ่งชายหนุ่มได้รับโทรศัพท์จากหญิงสาว

"เราไม่ไหวแล้ว ช่วยมารับเราที"

เสียงของหญิงสาวดูช่างอ่อนล้า และหมดกำลัง
เธอกำลังร้องไห้อย่างฟูมฟายอยู่
ชายหนุ่มไปหาเธอและไปรับเธอมาส่งบ้าน
เธอยังคงถามชายหนุ่มนั้นเมื่อที่เคยถามมา

"เราจะทำอย่างไรต่อไปดี"
"เธอเลิกรักเค้าแล้วหรอ"
"ป่าว เรายังรักเค้ามาก เรายังรักเขาอยู่"
"งั้นก็เหมือนที่เราเคยพูดไว้ รักเขาต่อไป
เพราะมันไม่สำคัญหรอกว่าเขาจะรักเธอไหม แต่ถ้าเธอยังรักเขา
เธอก็คงทำได้แค่รักเขาให้มากขึ้น ให้เขารู้ว่าเธอรักเขา"

วันที่เธอเรียนจบ เพื่อนชายหนุ่มของเธอมาแสดงความยินดีกับเธอ
เธอแปลกใจมากที่เพื่อนชายหนุ่มของเธอยังเรียนไม่จบ เธอถามเขาว่าทำไม
ชายหนุ่มตอบว่า เขาขี้เกียจไปหน่อย
ทำให้เขาต้องเรียนซ้ำวิชาหนึ่งจึงยังเรียนไม่จบ
หญิงสาวแปลกใจ เพราะตลอดมา ชายหนุ่มคนนี้เป็นคนขยัน

ต่อมาแฟนหญิงสาวได้แต่งงานกับหญิงสาว
เนื่องด้วยเห็นถึงความรักที่หญิงสาวมีให้มากมาย
หญิงสาวได้ชวนเพื่อนของตนมางานแต่งของเธอ
"เราไม่ว่างจริงๆ
เราติดธุระหน่ะขอโทษนะ"เพื่อนชายตอบเธอด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
หญิงสาวโกรธและเสียใจที่ชายหนุ่มไม่มางานแต่งจึงวางหูใส่
แต่หญิงสาวก็ต้องประหลาดใจเมื่อวันที่เธอแต่งงาน
ชายหนุ่มได้มาก่อนที่งานแต่งจะจบ

"ยินดีด้วยนะ เรามาแล้วนะ"

หญิงสาวดีใจมากที่เพื่อนของเธอมา ถึงจะเพียงชั่วเวลาสั้นๆ

ต่อมาหญิงสาวก็มีความสุขกับชีวิตแต่งงานจนไม่ได้ติดต่อกับชายหน ุ่ม
จนวันหนึ่งหญิงสาวได้ทะเลาะกับสามีของตน
หญิงสาวไม่รู้จะไปปรึกษาใคร จึงนึกถึงชายหนุ่มขึ้นมา
แต่แม้ว่าหญิงสาวจะโทรไปเท่าไหร่
ก็ไม่สามารถติดต่อกับชายหนุ่มคนนั้นได้เลย

เขาจึงโทรหาเพื่อนของชายหนุ่มคนนั้น
เพื่อนของชายหนุ่มเล่าว่า ชายหนุ่มเป็นโรคร้าย เขาไม่สามารถไปไหนได้
ตอนนี้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลมาร่วมหลายเดือน
หญิงสาวตกใจมากถามว่าเป็นอะไร
เพื่อนชายหนุ่มบอกว่า อาการกำเริ่มเพราะวันที่ชายหนุ่มต้องมาผ่าตัด
ชายหนุ่มดันหายตัวไป
และเพื่อนชายยังบอกอีกว่า

"เป็นนิสัยเสียของมันหน่ะ มันชอบหายตัวไปไหนก็ไม่รู้ในช่วงเวลาสำคัญๆ
คราวที่แล้วสอบไล่ ก็หายตัวไปจากห้องสอบ"

หญิงสาวตกใจมาก เลยขอที่อยู่ของโรงพยาบาลที่ชายหนุ่มรักษาตัว

หญิงสาวไปเยี่ยมชายหนุ่มที่โรงพยาบาล เมื่อเปิดประตูเข้าไป ก็ต้องตกใจ
ชายหนุ่มที่เคยดูแข็งแรง กับผอมซูบ ไม่มีแรง
เมื่อชายหนุ่มเห็นเธอก็ดีใจทักทายเธอเป็นการใหญ่

"เป็นอย่างไรมั้ง ไม่เจอกันตั้งนาน"

หญิงสาวนิ่งเงียบซักพักน้ำตาหญิงสาวก็ออกมา

"อ้าวร้องไห้ทำไมหล่ะ เธอหน่ะ ไปทะเลาะกับแฟนมาอีกแล้วหรอ
จะให้เราช่วยอะไรไหม แต่เราก็คงจะแนะนำเหมือนเดิมหน่ะ"

หญิงสาวเข้าไปหาชายหนุ่มแล้วบอกกับชายหนุ่มว่า

"วันที่เธอมารับเราเป็นวันสอบไล่ใช่ไหม"
ชายหนุ่มทำหน้าตกใจและไม่กล้าพูดอะไรทั้งสิ้นกลับนิ่งเงียบไป
หญิงสาวจึงพูดต่อ

"และวันที่เธอต้องผ่าตัดใหญ่ เธอกลับมางานแต่งงานของฉันใช่ไหม"
ชายหนุ่มไม่รู้จะพูดอะไรอีกแล้ว กลับนิ่งเงียบกว่าเดิม
หญิงสาวเข้าไปกอดชายหนุ่มแล้วพูดด้วยน้ำเสียงสั่น

"ตลอดเวลา เรารักแต่คนอื่น มองแต่คนอื่น
เรากลับไม่รู้เลยว่าเธอรักเรามากแค่ไหน
เรารู้สึกเสียใจจริงๆที่ไม่ได้รักเธอมากกว่านี้"

ชายหนุ่มยิ้มขึ้นแล้วบอกกับหญิงสาวด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า

"เราบอกแล้วไง ถ้าเรารักใครซักคน เราก็ต้องรักเขาให้มากๆ
ไม่สำคัญหรอกว่าเขาจะรักเราหรือไม่หน่ะ
มันสำคัญแค่เพียงว่าเรายังรักเธออยู่หรือเปล่า แค่เราสามารถช่วยเธอได้
นั่นก็เป็นความสุขของเราแล้ว"

หญิงสาวรู้สึกเสียใจมาก นั่งร้องไห้โห่อยู่ที่ตักของชายหนุ่ม
ชายหนุ่มจึงพูดขึ้นว่า
"ถ้าเราหายเมื่อไหร่ เราจะไปส่งเธอที่บ้านอีกนะ"

จิ๊กซอว์ที่ไม่ได้อยู่ข้างกัน


บนโต๊ะตัวหนึ่ง มีจิ๊กซอว์กระจัดกระจายอยู่เต็มเกลื่อนกลาด
ยังไม่มีชิ้นไหนถูกปะติดปะต่อกัน

ที่มุมโต๊ะด้านหนึ่ง จิ๊กซอว์สองตัวนอนสงบนิ่งอยู่ใกล้ๆกัน
ลวดลายของทั้งสองเป็นสีฟ้าอ่อนของท้องฟ้ายามเช้าเหมือนกัน
คล้ายๆว่าจะเป็นจิกซอว์ที่อยู่ข้างกันในรูปที่สมบูรณ์

จิ๊กซอว์ทั้งสองตัวจึงค่อยๆเคลื่อนตัวเข้าหากัน
เริ่มหมุนตัวช้าๆ พยายามหามุมที่จะประสานกับอีกฝ่ายให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
ใช้ส่วนเว้าของเรา ไปสอดรับกับส่วนโค้งของเขา
หาส่วนเว้าแหว่งของเขา มารับส่วนป้านเทอะทะของเรา.....
ทั้งคู่พยายามอยู่อย่างนั้น......



เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า จิ๊กซอว์ทั้งสองพยายามอย่างมากที่จะต่อกันให้สนิท
มุมแล้วมุมเล่าที่ลองปรับ เหลี่ยมแล้วเหลี่ยมเล่าที่พยายามประสาน
ไม่มีครั้งไหนจะต่อกันได้อย่างสนิทไร้ช่องว่างส่วนเกินเลย

สุดท้าย จิ๊กซอว์ตัวที่ใหญ่กว่าจึงยอมแพ้ เคลื่อนตัวจากไป
จิ๊กซอว์ตัวเล็กกว่าร้องเรียกด้วยเสียงโศกเศร้า

"เธอจะไปไหน ฉันทำผิดอะไรเหรอ เธอถึงต้องจากฉันไป ฉันไม่ดีตรงไหน ทำไม
เธอต้องยอมแพ้แบบนี้ด้วย เธอไม่สงสารฉันเลยหรือ ไม่เสียดายวันเวลาที่เรา
พยายามต่อประสานให้เป็นหนึ่งเดียวกันหรือ"

จิ๊กซอว์ตัวใหญ่หันกลับมาด้วยสีหน้าปวดร้าว เอ่ยเสียงเรียบ

"ทำไมเธอถึงคิดว่าเธอทำผิด การที่เราต่อกันเป็นชิ้นเดียวไม่ได้ มันไม่ใช่ความผิด
ของเธอ ไม่ใช่ความผิดของฉัน เพียงเพราะว่าเราไม่ได้เป็นจิกซอว์ที่ถูกออกแบบ
มาให้อยู่ข้างกัน ก็เท่านั้น และฉันก็กำลังยอมรับมันด้วยความเจ็บปวด....
ฉันเสียใจที่ทำเธอบอบช้ำจากการที่เราพยายามดัดตัวเองให้ประสานกับอีกฝ่าย
แต่ก็รู้ใช่ไหม ว่าฉันก็บอบช้ำไม่ต่างกับเธอเลย เวลาและความพยายามของเรามัน
ไม่สูญเปล่าไปหรอก เพราะอย่างน้อย มันก็ทำให้เรารู้ว่าส่วนโค้งของเรามันโค้ง
แค่ไหน ส่วนเว้าของเรามันลึกเท่าไหร่ และเราควรจะหาจิ๊กซอว์รูปร่างแบบไหน
มาเติมเต็มช่องว่างที่เราขาดไป ร้องไห้อยู่ตรงนั้นเถิด และทิ้งความโศกเศร้าทั้ง
หมดไว้ตรงนั้น เมื่อเธอแข็งแรงดีแล้ว เธอจงตามหาจิ๊กซอว์ตัวที่ถูกสร้างมาอยู่
ข้างๆเธออย่างแท้จริง ถึงวันนั้นเธอคงเข้าใจสิ่งที่ฉันพูดในวันนี้"



จิ๊กซอว์ตัวใหญ่จากไปแล้ว
แต่เรื่องราวยังดำเนินต่อไป
ร่องรอยบอบช้ำและเสียงร้องไห้ของตัวจิกซอว์มากมาย
ยังคงแว่วมาจากทั่วทุกจุดบนโต๊ะ........



สุดท้ายแล้ว จิ๊กซอว์ของภาพชื่อความรักนี้จะถูกประกอบเป็นรูปที่สมบูรณ์สวยงามได้หรือไม่ ....ไม่มีใครรู้

และถึงตอนนี้ จิ๊กซอว์ตัวเล็กผู้น่าสงสารตัวนั้น จะเข้าใจสิ่งที่จิ๊กซอว์ตัวใหญ่พูดหรือยัง.....ไม่มีใครรู้

ยิ่งไปกว่านั้น คำพูดของจิ๊กซอว์ตัวใหญ่ทั้งหมดคือความจริงหรือเป็นเพียงข้อแก้ตัว....ยิ่ง ไม่มีใครรู้





......เมื่อไหร่จะมีใครรู้......

วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

♣ ความรัก ความรู้สึก ♣




ความรัก+ความรู้สึก สิ่งที่ไม่สามารถหาเหตุผลได้


บางครั้งการค้นหาบางสิ่งบางอย่างในแต่ละ ก้าวของชีวิต
บ้างก็มีทั้งรอยยิ้มและคลาบน้ำตา
โดยเฉพาะการก้าวเข้าไป เพื่อ.....

ค้นหา ความรัก ของคน 2 คน

แต่ความรักจะเกิดขึ้น ได้ก็ต้องเกิดจาก
ความรู้สึกลึกๆที่อยู่ข้างใน
ซึ่งเราไม่สามาถรที่ จะบอกได้ว่ามันเกิดขึ้นได้
เมื่อไหร่ ยังไง และ ช่วงเวลาไหน

โดย บางทีเราเองก็ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
ว่าเราได้ก้าวไปหามันแล้ว............
สิ่ง ที่เราไม่สามารถตอบตัวเองได้
แต่รับรู้แค่ว่ามันมีสิ่งกระตุ้นบางอย่าง ที่อยู่ในใจลึกๆ
ที่สั่งให้เราก้าวไปหาเพื่อให้เราได้มีรอยยิ้ม ได้รู้สึกดี
และหลายสิ่งหลายอย่างในมุมของคนบางคน

โดยที่ในแต่ ละก้าวบางครั้งอาจจะมีสมหวังและผิดหวัง
ซึ่งคนบางคนก็พร้อมที่จะรับถึง แม้ว่ามันจะต้องมีน้ำตา
แต่ก็ไม่มีใครสามารถที่จะอธิบาย หรือ หาเหตุผล
ได้ ว่า มันเพราะอะไร แต่รับรู้แค่ว่า
สิ่งที่ได้รู้สึก มันมีความสุขและสิ่งดีๆหลายอย่าง
ซึ่งไม่สามารถตอบตัวเองได้ว่า........

การ ได้รักใครบางคน นั้นจะมากหรือน้อย
มันตีค่าไม่ได้แต่รู้ได้แค่ว่าความ รู้สึกที่มีความสุขกับการได้รักใครสักคนที่เราค้นหา.........
เพื่อใช้ ชีวิตอยู่ด้วยกันตลอดไป




5 วิธีป้องกัน ไวรัสคอมพิวเตอร์ แบบง่าย ๆ



5 วิธีป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์แบบง่าย ๆ ที่คุณก็ทำได้ (momypedia)


ไวรัสสำหรับคอมพิวเตอร์ ก็คล้าย ๆ กับเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของโรคหวัดของเรานั่นแหละ นอกจากจะทำร้ายคอมพิวเตอร์ของเรา ยังอาจลุกลามไปถึงเครื่องคนอื่นได้ โดยเฉพาะในออฟฟิศหรือสำนักงาน มาป้องกันไวรัสด้วยวิธีง่าย ๆ นี้ดีกว่า

อย่า เปิดอ่านอีเมลแปลก ๆ เวลาที่คุณเช็กอีเมล ถ้าเผอิญเจออีเมล์ชื่อแปลก ที่ไม่รู้จักให้สงสัยไว้ก่อนเลยว่าต้องมีไวรัสแน่นอน แม้ว่าชื่อหัวข้ออีเมลจะดูเป็นมิตรแค่ไหน ก็อย่าเผลอกดเข้าไปเด็ดขาดล่ะ

ใช้ โปรแกรมตรวจจับและกำจัดไวรัส (Anti-virus) ต้องยอมรับว่า ไม่มีโปรแกรมตรวจจับและกำจัดไวรัสโปรแกรมใดสมบูรณ์แบบ จะต้องอัพเดตโปรแกรมที่ใช้ตรวจจับและกำจัดไวรัสอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ครอบ คลุมถึงไวรัสชนิดใหม่ ๆ

อย่าโหลดเกมมากเกินไป เกมคอมพิวเตอร์จากเว็บไซต์ต่าง ๆ อาจมีไวรัสซ่อนอยู่ ไม่ควรโหลดมาเล่นมากเกินไป และควรโหลดจากเว็บไซต์ที่เชื่อถือได้เท่านั้น บางทีเว็บไซต์จะมีเครื่องหมายบอกว่า "No virus หรือ Anti virus" อยู่แบบนี้ถึงจะไว้ใจได้

สแกน ไฟล์ต่าง ๆ ทุกครั้งก่อนดาวน์โหลดไฟล์ทุกประเภท ควรทำการสแกนไฟล์ รวมทั้งข้อมูลจากภายนอกก่อนเข้ามาใช้ในเครื่อง ไม่ว่าจะเป็น CD, Diskette หรือ Handydrive ต้องใช้โปรแกรมค้นหาไวรัสเสียก่อน

หมั่นตรวจสอบระบบ ต่าง ๆ ควรตรวจสอบระบบต่าง ๆ ของเครื่องคอมพิวเตอร์อย่างสม่ำเสมอ เช่น หน่วยความจำ, การติดตั้งโปรแกรมใหม่ ๆ ลงไป, อาการแฮงค์ (Hang) ของเครื่องเกิดจากสาเหตุใด บ่อยครั้งหรือไม่ ซึ่งคุณอาจจะต้องติดตั้งโปรแกรมพวกบริการ (Utilities) ต่าง ๆ เพิ่มเติมในเครื่องด้วย

Tip ... รู้ได้อย่างไรว่าคอมพิวเตอร์ติดไวรัสแล้ว

1. การทำงานของคอมพิวเตอร์ช้าลงกว่าปกติ

2. คอมพิวเตอร์หยุดทำงานโดยไม่ทราบสาเหตุ

3. อยู่ดี ๆ ข้อมูลบางอย่างก็หายไป

4. ตัวเครื่อง Restart เองโดยไม่ได้สั่ง

5. แป้นพิมพ์ทำงานปกติหรือไม่ทำงานเลย

วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

สิ่งสำคัญที่หล่นหายระหว่างทาง




ในชีวิตหนึ่ง ๆ ของคนเรา จะสามารถมีสิ่งสำคัญได้ซักกี่อย่าง
ความ สำคัญในชีวิต มีไม่บ่อยครั้งนักหรอก ถ้าเราสืบค้นกันจริง ๆ
แต่เมื่อมีแล้ว พบแล้ว มันจะกลายเป็นสิ่งสำคัญอยู่อีกหรือเปล่า
หรือ จะกลายเป็นเพียง สิ่งธรรมดา ที่ปล่อยให้หล่นหายไประหว่างทาง


ความเคยชิน กับความคุ้นเคย ความเฉยเมย กับความเย็นชา
ทุกสิ่งเหล่านี้คือ คมมีดบั้นทอนความสำคัญของสิ่งสำคัญในชีวิตเรา
ของที่เคยสำคัญ กลับกลายเป็นไม่สำคัญ สิ่งที่เคยใส่ใจ กลับถูกมองข้าม
เพียง เพราะ เรามีสิ่งที่ต้องกระทำ มากมายเสียใจลืม เข้าใจมัน


สิ่งสำคัญ ย่อมต้องถูกจัดวางไว้ ในอันดับหนึ่งเสมอ
เราบอกตัวเองว่า ไม่เคยละเลย แต่ก็ไม่เคยใส่ใจได้ดีพอ
คำว่า ยอม ไม่ได้หมายความว่า จะยอมให้ถูกมองข้าม
และ
คำว่า รัก จะปราศจากความหมายหากไร้ การใส่ใจ


ต้นไม้ อาจจะยืนต้นอยู่ได้ โดยปราศจากแหล่งน้ำ
แต่ ดอกใบ จะงามได้อย่างไร เมื่อขาดไร้สิ่งหล่อเลี้ยง

ชีวิตไร้ ความสำคัญแลจะ เป็นดั่งต้นไม้ที่ยืนต้น เฝ้านับถอยหลัง
ซากไม้ที่ผุพัง คงยากที่จะเบ่งบาน ความสุขสมให้แก่กัน


เมื่อมีสิ่งสำคัญอยู่กับ ชีวิตเราแล้ว ก็จงทำให้มันสมกับเป็นของสำคัญ
อย่าปล่อยให้ความสำคัญ หล่นหายไประหว่างทางโดยไม่รักษา
ของบางสิ่ง ไม่ต้องการความเข้าใจ แต่ต้องการ การใส่ใจ
และสิ่งสำคัญ ที่สุดในความสำคัญทั้งหลายก็คือ
หัวใจที่ไม่เคยละเลย

25 วิธี Take Care ความรัก




ความรักทำให้ชีวิต มีความสุข ใครที่มีความรักและได้รับความรักตอบ ย่อมเป็นความสุขของชีวิต

ในทางตรงกันข้ามหากรักที่เคยสร้างสุข กลายมาเป็นหมดรัก ชีวิตย่อมเป็นทุกข์ ความรักที่มีจึงต้องดูแลอย่างดี เพื่อให้ความรักนั้นไม่จากไป ดังเช่น 25 วิธี ต่อไปนี้?

1. อย่าเขินที่จะบอกรัก

2. จดจำรายละเอียดของอีกฝ่าย เช่น ชอบทานอะไร ชอบฟังเพลงแนวไหน กิจกรรมสุดโปรดคืออะไร แล้วหยิบยื่นสิ่งเหล่านี้ให้เสมอ

3. โรแมนติกอย่างรู้กาละเทศะ เลือกสถานที่ให้ถูกที่ เลือกเวลาให้ถูกเวลา เรื่องโรแมนซ์ใครก็ชอบ แต่ความพอเหมาะพอดีก็สำคัญ

4. ให้เกียรติกันและกันเสมอ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง

5. อย่าปล่อยให้อารมณ์โกรธอยู่เหนือความรักที่มี นึกถึงเรื่องดีๆ ที่เขาเคยทำให้ จะช่วยให้อารมณ์โกรธหรืออารมณ์ชั่ววูบเบาบางลง





6. เมื่อมีปัญหาควรใช้เหตุผลในการพูดคุย เป็นเรื่องธรรมดาที่คนสองคนจะมีเรื่องขัดแย้ง แต่ถ้าทั้งคู่พร้อมที่จะปรับตัวเข้าหากัน ปัญหาทั้งหลายก็จะกลายเป็นเรื่องเล็ก

7. ปล่อยให้อีกฝ่ายมีเวลาเป็นของตัวเอง การเกาะติด ควบคุมมีแต่จะทำให้ความรักจืดจางได้ง่าย ปล่อยให้อีกฝ่ายไปเที่ยวกับเพื่อนบ้าง รวมทั้งพยายามให้ตัวเองมีโลกส่วนตัวบ้าง จะได้ไม่อึดอัดเช่นกัน

8. พูดกันตรงๆ โดยเลือกใช้คำพูดที่ไม่ทำร้ายจิตใจ

9. มีขอบเขตในการปรับตัว แน่นอนว่าต่างฝ่ายทั้งเราและเขาต่างต้องปรับตัวเข้าหากัน แต่ควรมีขอบเขต ไม่ใช่ยอมเปลี่ยนแปลงให้เป็นแบบที่อีกฝ่ายต้อวการทุกอย่าง จนไม่เหลือความเป็นตัวของตัวเอง เพราะไม่มีใครสามารถเปลี่ยนตัวเองเพื่อคนอื่นได้ตลอดกาล

10. ห้ามโกหก ผลลับที่ร้ายแรงของการโกหกคือ ต่างฝ่ายจะไม่สามารถเชื่อใจกันได้อีก




11. อย่าคาดคั้นหาคำตอบหาอีกฝ่ายยังไม่พร้อม การดึงดันให้รู้เดี๋ยวนั้น ว่าทำไม? เพราะอะไร? จะเอายังไง? เป็นการกดดันอีกฝ่ายอย่างไม่มีประโยชน์ หากอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด ควรลองถอยออกมาหนึ่งก้าว ทำใจให้สงบ รอจนกว่าทั้งสองฝ่ายจะพร้อม แล้วค่อยคุยกันใหม่ก็ยังไม่สาย

12. ดูแลตัวเองให้ดูดีเสมอ

13. ไม่ควรคาดหวังกับความรัก เพราะเป็นเรื่องความรู้สึกของคนสองคนที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ และไม่มีกฏเกณฑ์ตายตัว อย่าคาดหวังว่าอีกฝ่ายจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จะทำนั่นทำนี้ให้ เพราะถ้าผิดหวังจะเสียใจทั้งสองฝ่าย ควรปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ

14. ห้ามพูดถ้อยคำหยาบคาย จะทะเลาะกันรุนแรงแค่ไหน ก็ห้ามด่าทอกันเสียๆ หายๆ

15. ซื่อสัตย์และไว้ใจกัน




16. หาสิ่งของที่ต้องดูแลร่วมกัน เช่น เลี้ยงสัตว์ ต้นไม้ หรือกิจการเล็กๆ เพื่อสร้างความผูกพันระหว่างสองคน

17. ให้โอกาสอีกฝ่ายแก้ไขข้อผิดพลาด กับคนที่เรารักยิ่งต้องให้อภัยและให้โอกาส

18. อย่าอายที่จะขอโทษ

19. หากิจกรรมสร้างสรรค์ทำร่วมกัน เช่น ชวนกันเล่นกีฬา ไปดูงานศิลปะ เพื่อให้ความรักสดใส และได้พบสิ่งใหม่ๆ ในชีวิต

20. นึกถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายเสมอ อย่ามัวแต่คิดว่าทำไมอีกฝ่ายไม่เข้าใจเรา นอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้ว ยังทำให้เป็นคนขี้น้อยใจอย่างไม่มีเหตุผล




21. รู้สึกดีกับสังคมที่อยู่ ทั้งพ่อแม่ พี่น้อง เพื่อน เพื่อยกระดับจิตใจและทำให้ภูมิใจในตัวเอง

22. อย่าปิดกั้นโอกาส เปิดตัวเองให้รู้จักกับคนใหม่ๆ เพราะการได้รู้จักคนที่หลากหลาย จะทำให้รู้คุณค่าคนใกล้ตัวและรู้ใจตัวเอง

23. รู้จักใช้ภาษากายในการสัมผัสร่างกายของอีกฝ่าย เช่น จับมือ ลูบหลัง เพราะสามารถสื่อความในใจได้ดีกว่าคำพูดในหลายโอกาส

24. คิดถึงอนาคต แต่อย่าพูดบ่อยจนกลายเป็นการควบคุมผูกมัด พูดในจังหวะที่เหมาะสม ให้รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ในแผนการอนาคตของกันและกัน

25. รู้จักรักตัวเอง เพื่อให้สามารถรักคนอื่นได้เช่นกัน


4 ห้องหัวใจ..มอบไว้ให้ใครดูแล..




บ่อยครั้งที่เราต้องเจ็บปวด..
กับความ รัก..ความห่วงหา..และอาทร..
แต่จะมีใครสักกี่คน..
ที่เข้าใจในความหมายของ คำว่า..รักอย่างแท้จริง..


ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากความรัก..
ทั้งรักแท้..รักเทียม..รักหลอก..รักหลง..
สารพัน กับความรัก..
ที่เกิดขึ้นในหัวใจ..
มีทั้งสมหวัง..และผิดหวัง..

แต่ ถึงอย่างไร..
หากเราเข้าใจความรักอย่างแท้จริง..
ดังที่พระพุทธองค์ ตรัสสอนว่า..
ที่ ใดมีรัก..ที่นั่นมีทุกข์..
ที่ใดไม่มีรัก..ที่นั่นไม่มีทุกข์..

ถ้า เราจะรักใครสักคน..
จงเตรียมใจไว้ต้อนรับ..เมื่อเกิดความผิดหวังขึ้น..
ถึง กระนั้น..
การเรียนรู้ที่จะรักอย่างถูกต้อง..และถูกธรรม..
จึงเป็น เรื่องสำคัญที่เราควรใส่ใจ..


หลัก 4 ร. ไม่ก่อทุกข์..

นั่นก็ คือ..
ร.ที่ 1 รักและปรารถนาดี..ทุกเวลา..
ให้คนที่เรารักมีความสุข..อย่างบริสุทธิ์ใจ..

ร.ที่ 2 รักและกรุณา..สงสาร..
คิดจะช่วยให้คน ที่เรารักพ้นจากทุกข์..อย่างบริสุทธิ์ใจ..

ร.ที่ 3 รักและชื่นบาน..มีสุข..
พลอยยินดี..เมื่อคนรักเราประสบความ สำเร็จ..อย่างบริสุทธิ์ใจ..

ร.ที่ 4 รักมีทั้งสุข-ทุกข์..ทำใจ..
ไม่เสียใจ-ทุกข์ใจ..จนเกินไป..เมื่อ ผิดหวัง..
เวลาสมหวัง..ก็ไม่หลงระเริงใจ..จนเกินไป..
รู้จักวางใจ ..และทำใจ..เรียนรู้ความรักอย่างเข้าใจ..
เราจะได้สบายใจ..

หากเราแบ่ง ๔ ห้องหัวใจ..
มอบความรักให้กันอย่างถูกต้อง..ถูกธรรม..
ก็จะ น้อมนำจิตใจของเรา..
ให้มีความสุขทุกๆ วินาทีของความรู้สึก..

♣ เมื่อรักเราไม่ใช่ที่หนึ่ง ♣




การไม่ได้เป็นที่ "หนึ่ง" ในใจคนที่เรารักนั้น
ไม่ได้เป็นเรื่องที่น่า
เศร้าเสมอไป
การ เป็นที่สอง ในใจเขานั้น ย่อมดีกว่าการเป็นที่สาม ที่สี่
หรือถึงแม้ว่า . . . เราจะเป็นที่สุดท้าย
แต่มันก็ยังดีกว่า การที่เราไม่ได้อยู่ในใจเขาคนนั้นเลยไม่ใช่หรือ


จงยิ้มให้ความรัก และ รักต่อไปเถอะ
แม้ว่า . . . รักนั้นอาจไม่ใช่ที่หนึ่ง
จนกว่าที่เรา จะบอกกับตัวเองว่า . . .
"เราทนอีกต่อไป ไม่ได้แล้ว
เราเหนื่อยกับ รัก ที่เป็นเช่นนี้เหลือเกิน"


การรักใครสักคนนั้น . . .
ง่ายกว่า การตัดใจ จากใครสักคนนัก
การสบตา จากใครสักคนนั้น . . .
ย่อมมีความ สุข กว่าการหลบตาใครสักคน เป็นแน่แท้
จะมีสักกี่คน ที่สามารถทำให้เรายิ้มได้ . . . . . .อย่างสุดหัวใจ และเศร้าได้อย่างสุดหัวใจ


อย่า . . . โทษเขา ที่ไม่ได้รักเรา
อย่า . . . โทษพรหมลิขิตที่ทำให้เราเจอกัน แต่ไม่ได้ทำให้เรารักกัน
อย่า . . . โทษหัวใจตัวเองที่ไปรักเขา
อย่า . . . โทษกาลเวลาที่ทำให้เราเจอกันช้าไป


จงมี ความสุข และยิ้มให้กับสิ่งต่าง ๆ เถอะ




ยิ้มให้ กับคนที่เขาไม่รักเรา . . . เพราะอย่างน้อยเขาก็คือ คนที่ได้รับความรักจากเรา

ยิ้ม ให้กับพรหมลิขิต ที่ทำให้เราเจอกันถึงแม้เราจะไม่ได้รักกัน. . . เพราะอย่างน้อยพรมลิขิต ก็ยังได้ทำให้เราได้รู้จักกัน

ยิ้มให้กับ หัวใจตัวเอง ที่ไปรักเขา . . .เพราะอย่างน้อยหัวใจของเรา ก็ยังได้เรียนรู้กับความรัก

ยิ้ม ให้กับกาลเวลา ที่ทำให้เราเจอกันช้าไป. . .เพราะอย่างน้อย ก็ยังทำให้เราได้เจอกัน



เราควร ดีใจไม่ใช่หรือ ที่อย่างน้อยเรายังยิ้มให้กับคนที่เรารักได้

วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

อย่างน้อยวันนี้เราทำดีที่สุด...



แม้ ว่าเวลาของความผูกพัน มันอาจจะสั้น จนเหมือนเราไม่ได้รักกันและตอนนี้ความห่างไกลก็ได้ใกล้เรามากขึ้นเพื่อที่จะ แทรกให้เราห่างกันไปทุกที......

เธออยากรู้ไหม ว่าทำไมเราต้องห่างกัน ฉันพยายามหาคำตอบให้กับตัวเอง จนวันแล้ววันเล่า ฉันก็ยังไม่เข้าใจหรืออาจเป็นเพราะเวลาของเธอกับฉันได้หมดลงแล้ว คนบนฟ้าคงกำหนดให้เรามาพบกันแค่เท่านี้และเค้าก็ทำให้เราจากกัน มันไม่ยุติธรรมเลยที่เค้าทำให้ฉันรักเธอ ทำไมเค้าถึงไม่ทำให้ฉันแค่รู้จักเธอเท่านั้นนะ

ถ้าฉันรู้อะไรล่วงหน้า ว่ามันจะเป็นแบบนี้ สาบานได้ ฉันจะไม่รักเธอแม้สักนิดเดียว
มันช่างทรมานเหลือเกินกับความ รู้สึกที่ฉันเป็น ฉันเสียใจที่ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้.......
การ สูญเสียครั้งนี้ฉันจะเรียกร้องจากใคร

(บางทีคนเราก็ต้องการ ระยะห่าง...เพื่อทบทวนความรู้สึกตัวเอง ว่าเรารู้สึกอย่างไรกับเค้าคนนั้น)

มัน ช่วยฉันได้มาก แล้วตอนนี้ฉันคิดว่าสิ่งต่างที่ผ่านมา ก็เป็นคำตอบที่ดีสำหรับฉัน
ฉันคงเข้าข้างตัวเองที่คิดไปว่า..... อาจเพราะ คนบนฟ้าอาจกำลังสงสัย เราสองคนอยู่ ว่าเรารักกันจริงหรือเปล่า

เค้า เลยทดสอบให้เราห่างกัน แยกเราไปคนละทาง เพื่อทดสอบว่า ถ้าเราต้องใช้ชีวิตเพื่อรอคอยใครบางคนที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ช่วงเวลาที่รอนั้น จะเป็นตัววัดความรู้สึก และพิสูจน์ความแข็งแรงของความรักวัดการกระทำ ความเสมอต้นเสมอปลาย กับการอดทนด้วยเงื่อนไขเวลาของการห่างไกล

เมื่อถึงเวลานั้น เราจะได้รู้ว่าเราได้เลือกถูกคนหรือไม่ และมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
กับการ ต้องทำหัวใจไม่ให้หวั่นไหวกับอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ
ที่คอยเข้ามาทำให้ ไหวหวั่นกับสิ่งต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปทุกๆ วัน
ความห่างไกลจึงเหมือน เป็นตัววัดปริมาณความรักของเรา

ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับวันพรุ่งนี้ เราจึงกลัวที่จะเผชิญหน้ากับมัน
เราคิดไปล่วงหน้า ว่าต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ เราไม่สามารถบังคับให้ใครมารักเราได้
และ ถ้าเธอจะอยู่ หรือเธอจะไป จะรักกันมากขึ้น หรือน้อยลง ก็จะเป็นเพราะเราสองคน
คงไม่ใช่ความต้องการของฉันฝ่ายเดียว หรือเธอฝ่ายเดียว

(คงจะไม่มีอะไรที่จะน่ากลัวและเลวร้ายไปกว่า การยอมรับความรู้สึกตัวเอง อีกแล้ว........ใช่มั๊ย)

วันนี้ฉันจึงมีความสุข ถึงแม้ว่าเราจะห่างกัน แต่อย่างน้อย ฉันก็ไม่เสียใจ ในสิ่งที่ฉันทำ
แต่ฉันคงจะเสียใจแน่ๆ หากฉันไม่ได้ทำ

นั่นก็คือ การได้รักเธอ.......มีวันที่เลวร้าย มีวันที่สวยงาม มีวันที่ว่างเปล่า สุขก็อยู่กับเราไม่นาน ทุกข์ก็อยู่กับเราไม่นาน

สุขเคยแวะผ่านมาแล้วก็ไป ทุกข์ก็เช่นเดียวกัน วันนี้ฉันมีความทรงจำที่ดี ระหว่างเรา
ฉันจึงมี เรื่องให้นึกถึงวันดีดีมากมาย และฉันก็ได้ยิ้มให้กับความทรงจำนั้น
จน ณ ตอนนี้ จนถึงวันนี้ จึงรู้แล้วว่า ยังมีเรื่องราวอีกมากมายให้เราทั้งสองต้องเรียนรู้ และเผชิญหน้ากับมัน

อาจ จะลำบาก เหน็ดเหนื่อย แต่เชื่อฉันนะ ว่าสักวันความฝันเราต้องเป็นจริง
ฉัน มีความหวังตราบที่ฉันยังมีลมหายใจ เพราะความหวังของฉันนั้นมันเป็นสิ่งที่มีค่า
ทำให้ฉันมีจุดมุ่งหมาย เผื่อสักวันอาจจะได้เป็นดังหวัง เมื่อฉันเป็นคนเริ่มต้น ฉันก็อยากจะเป็นคนทำให้มันจบ

ถึงแม้ว่าการได้รักคือการเสี่ยงที่จะไม่ได้รับรักตอบแทน การตั้งความหวังคือการเสี่ยงที่จะเจ็บปวด การพยายามคือการเสี่ยงที่จะล้มเหลว แต่ยังไงก็ต้องเสี่ยง เพราะสิ่งที่น่าอันตรายที่สุดถ้าชีวิตนี้ ฉันไม่เสี่ยงอะไรเลย

ถ้า”รัก” เริ่มต้นที่คนสองคน ผูกพันกัน เข้าใจกัน ต่างต้องการอยากที่จะร่วมทางเดินด้วยกัน

วันนี้ฉันก็อยาก จะให้เรา “ไว้ใจ” กัน เพราะแน่นอน เราไม่รู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น
แต่ถ้าวันนี้เราทำดีที่สุด แล้ว ก็คงไม่ต้องกลัวอะไรวันต่อไปของเราก็คงจะดีเอง...
และฉันก็พอใจ กับสิ่งที่ได้รับในเวลานี้ ฉันมีความสุขที่ได้รัก รักในสิ่งที่ฉันเป็น
รัก ในทุกความรู้สึกดีดีที่ได้รับจากทุกคน รักในสิ่งที่ตัวเองทำ
และฉัน ....................รักในสิ่งที่หัวใจฉันต้องการ....สำหรับฉันจึงไม่ต้อง การอะไรมากมาย

ฉันรู้สึกเหมือนกับตัวเองช่างเป็นผู้หญิงโชคดีเหลือ เกิน ที่ฉันโชคดีที่มีคนที่รักฉัน
และฉันก็รักเค้า กับผู้ชายอย่างเธอ ทั้งที่บางครั้งเธอเองก็อาจคิดว่าตัวเองก็ไม่ใช่คนดีอะไร

แต่อย่าง น้อยวันนี้เธอดีกับฉัน ฉันจึงไม่สนใจว่าเธอจะเป็นอย่างไร และ ถึงแม้ว่าเรื่องราวระหว่างเรา อาจจะไม่เป็นดังที่เราหวังเลยสักนิดเดียว หรืออาจจะไปไม่ถึงฝัน...................

“ฉันรักเธอ” และอยากให้เธอมีความสุข แม้ว่าความสุขนั้น จะไม่ได้หมายถึงว่ามีฉันอยู่ด้วยก็ตามและหากความจริงเราต้องจากกันไปจริงๆ ฉันรับประกันได้เช่นกันว่า..
ถ้าวันนี้ฉันไม่ขอร้องให้เธอมาเป็นของฉัน ฉันจะต้องเสียใจ ไปจนตราบชีวิตฉันจะหาไม่
เพราะฉันรู้หัวใจฉันดีว่า เธอเพียงคนเดียวเท่านั้นที่อยู่ในใจฉันตลอดมา

อยากบอกทุกคนว่า
ไม่มีใครได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการทั้งหมดไม่มีใครที่ เกิดมาสมบูรณ์แบบ วันนี้เราควร ”ปล่อยวาง” เพื่อให้หัวใจไม่บอบช้ำนานเกิน
จน กลายเป็นแผลในใจที่คอยทำร้ายตัวเอง....

มีความสุขกับความเป็นจริงวันนี้เพราะพรุ่งนี้เราอาจไม่มี โอกาส............

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

แด่คนที่กำลังพยายามที่จะเอาชนะหัวใจใครบางคน


ยังมีเด็กกำพร้าในโลกนี้มากมายนัก ที่ถูกทอดทิ้ง พวกเขาโหยหาความรัก แต่กลับไม่มีโอกาสได้สัมผัสกับมัน และยังมีคนอีกนับล้านคน ที่แสวงหาความรัก แต่ทั้งชีวิตกลับไม่เคยได้รู้จักกับความรักเลย

ในขณะที่มีผู้คนอีกหลายคนบนโลกนี้ พยายามที่จะปฏิเสธความรัก ทั้งๆที่ความรักมันวนเวียนอยู่รอบๆตัวเขา
คนหลายๆคน มีความรักอยู่ในหัวใจ แต่ไม่กล้าที่จะพยายามเพื่อความรัก เพราะกลัวจะต้องผิดหวัง เสียใจ
คนบางคนมีความรักในหัวใจ แต่พอรู้ว่าเขาหรือเธอยังไม่มีใจให้เรา ก็หมดศรัทธาในความรักในทันที แทนที่จะพยายามและประคับประคองหัวใจตัวเองให้ถึงที่สุด บางทีการที่เราได้พยายามที่จะชนะหัวใจใคร ก็อาจทำให้เรากลายเป็นคนที่มีคุณค่าและทำให้อีกฝ่ายเห็นคุณค่าของเราด้วย เช่นกัน ถ้าเรารักใครสักคนอย่างแท้จริง รักจะไม่มีวันทำร้ายใคร มีแต่ตัวเราเองเท่านั้น ที่เอาข้ออ้างของความรักแล้วทำร้ายตัวเอง หากเรามองความรักให้ดี ความรักนั้นสวยงามและยิ่งใหญ่ ก่อเกิดพลัง แรงใจให้กับชีวิตของคนเรา

ลองพยายามให้เต็มที่ ให้ถึงที่สุด ที่จะเอาชนะหัวใจของคนที่เรา”รัก” สักครั้ง ก่อนที่จะสายเกินไป หากวันหนึ่งที่เราสูญเสียเขาหรือเธอไปจริงๆ โดยที่เราไม่ได้พยายามอะไรที่จะทำให้เขามอบใจให้เราได้เลย เรานั่นแหละที่จะเป็นคนที่เสียใจที่สุดเพราะตัวเราเอง อย่าเพิ่งยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ลงแข่ง เพราะบางทีการพยายามสุดตัวของเรา ก็จะเกิดผลมากมาย ดีกว่าเราไม่ได้พยายามอะไรเพื่อหัวใจตัวเองเลย ลองดูสักครั้ง หากผลที่ได้กลับมาคือความผิดหวัง ก็จงอย่าเสียใจ เพราะว่าเราได้พยายามถึงที่สุดแล้วแล้ว และขอจงภูมิใจว่าเราเป็นคนที่มีคุณค่าที่สุด ที่ชีวิตนี้ได้เกิดมาแล้วได้ทำอะไรเพื่อหัวใจตัวเองและเพื่อหัวใจของคนที่ เรารัก ความรักที่แท้จริงจะคู่ควรกับคนที่เห็นคุณค่าของความรักเท่านั้น

วันนี้คุณพยายามทำอะไรเพื่อคนที่คุณรักแล้วหรือยัง

ฝึกสมองให้ไบ ร์ทด้วย 9 เทคนิค

ฝึกสมองให้ไบร์ทด้วย 9 เทคนิค

ต่อไปนี้เป็นข้อแนะนำสำหรับการ ฝึกสมองให้ไบรท์หรือเฉลียวฉลาดขึ้นค่ะ น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับวัยเรียนและสำหรับคนทำงานที่ใช้สมองจนอ่อนล้าไปมาก แล้วส่วนว่าจะมีเทคนิคอะไรกันบ้างนั้น เชิญติดตามกันได้เลยค่ะ

1. จิบน้ำบ่อยๆ
สมองประกอบ ด้วยน้ำ 85 เปอร์เซ็นต์ เซลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เซลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อยๆ

2. กินไขมันดี
คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวันจำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่างปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดีที่ทำให้เซลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่นค่ะ

3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที
หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุดๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ (ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน)

4. ใส่ความตั้งใจ
การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่างๆเพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับ สิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน

5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ
ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอนเดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขหลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและ หวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ

6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน
สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึงสิ่ง ต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา ฯลฯเพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอนเดอร์ฟินและโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ไปเรื่อยๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์

7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน
ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง

8. เขียนบันทึก Graceful Journal
ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึกเช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข ฯลฯ เพราะการเขียนเรื่องดีๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก
พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดี ออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์

9. ฝึกหายใจลึกๆ
สมองใช้ออกซิเจน 20-25 เปอร์เซ็นต์ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึกๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนานๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 เปอร์เซ็นต์

วิธีสลัดเรื่องไร้สาระออกจากใจ (Dont Sweat the Small Stuff)


บทความที่นำมาเสนอจากหนังสือเรื่อง Don't Sweat the Small Stuff แต่งโดย
Richard Carlson
ผู้แต่งเชื่อว่านิสัยเกิดจากการกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งครั้งแล้วครั้งเล่า
นิสัยเหล่านี้จะเกิดขึ้นเองตามสภาวะธรรมชาติและเกิดขึ้นบ่อยครั้งเสียจนเรา ไม่รู้สึกว่าเป็นสิ่งผิดปกติหรือเป็นสิ่งที่ต้องแก้ไข
แต่หารู้ไม่ว่านิสัยที่ไม่ดีของเราเหล่านี้จะเป็นตัวบั่นทอนพลังชีวิต
ทำให้เราหมดกำลังใจ และทำให้เราเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย ดังนั้น
ผู้แต่งจึงชี้ให้เห็นถึงนิสัยที่ไม่ดีและมิจฉาทิฏฐิที่ควรแก้ไข ดังนี้

1. ความคิดที่ว่าเมื่อประสบปัญหาต้องรีบแก้ไขทันที
ในช่วงที่ประสบปัญหาจิตใจจะวกวนสับสน เครียด อึดอัด มึนงง
เศร้าสลดหดหู่ไม่ควรที่จะขบคิดแก้ไขปัญหาใด ๆ เพราะยิ่งคิดยิ่งมึนงง
มองไม่เห็นทางออก หรือถ้าคิดออกความคิดที่ได้ก็ไม่เฉียบคม
วิธีแก้ หยุดคิด ทำใจให้สบาย ๆ ปล่อยวาง เมื่อจิตใจสงบจึงค่อยเริ่มแก้ไขปัญหา
แก้ไขปัญหาที่พอจะแก้ไขได้ก่อน
ปัญหาที่รุนแรงและเรื้อรังยากที่จะแก้ไขได้โดยทันที ก็ให้ค่อย ๆ
แก้ไขไปทีละเปลาะสองเปลาะ เมื่อปัญหาลดน้อยลงจะทำให้เรามีกำลังใจมากขึ้น
ปัญหาที่ยากย่อมต้องใช้เวลา ความพยายาม ความอดทน และความต่อเนื่องเป็นธรรมดา

จงยอมรับความเป็นจริงทั้งหมดที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าเรา
คิดถึงเหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้น(Worst case scenario)
แล้วทำใจยอมรับให้ได้ เมื่อนั้นจิตใจจะสงบ
และในความเป็นจริงมันอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่เราคิดไว้ก็ได้
จะทำให้เรายิ่งมีกำลังใจที่จะขบคิดแก้ไขปัญหาต่อไป

2. หงุดหงิดรำคาญใจ ทุกสิ่งทุกอย่างขัดหูขัดตาไปหมด ไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลย
บุคคลที่มีความคิดประเภทนี้จะมีจิตใจคับแคบ ไม่รู้จักให้อภัยผู้อื่น
เอาตนเองเป็นที่ตั้ง ชี้ถูกชี้ผิดอยู่ตลอดเวลา
นิดหนึ่งก็ไม่ได้นิดหนึ่งก็ไม่ยอม จิตใจร้อนรุ่ม หาความสุขไม่ได้
ไม่มีใครอยากเข้าใกล้หรืออยากทำงานด้วย มีศัตรูเต็มไปหมด
สุขภาพเสื่อมโทรมโรคภัยรุมเร้าเพราะมีความเครียดอยู่ตลอดเวลา
วิธีแก้รู้จักปล่อยวางเสียบ้าง ในโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ
ไม่มีใครสามารถทำตามใจเราได้ทุกอย่าง
ทำอะไรก็ตามให้อยู่ในระดับกลาง ๆ พอดี ๆ ไม่ต้องสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง
พูดจาให้นุ่มนวลอ่อนหวาน สบาย ๆ ไม่ต้องเอาเป็นเอาตาย
เอาจริงเอาจังไปเสียทุกเรื่อง

3. บ้างาน คิดว่าตนเองมีงานล้นมือ
ทุกอย่างมีแต่ความรีบเร่งจนไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง
คนที่รีบเร่งทำงานหลาย ๆ อย่างแต่ทำไม่เสร็จซักอย่าง งานส่วนใหญ่มักจะไม่มีสาระ
ไม่สำคัญ ไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้นเพราะการรีบเร่งทำงานอยู่ตลอดเวลาจิตจะไม่ว่าง
กิริยาจะร้อนรน ขาดสติสัมปชัญญะ
ขาดความระมัดระวังทำให้ไม่รู้ตัวว่าตนกำลังทำสิ่งที่ไร้สาระอยู่
เมื่อพลังงานส่วนใหญ่สูญเสียไปกับการทำเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ
งานที่ออกมาก็ไม่มีประสิทธิภาพ
เมื่อโดนตำหนิก็เกิดความเครียดทำให้ต้องรีบสร้างผลงานมากขึ้นเพื่อชดเชยความ ผิด
แต่ยิ่งรีบก็ยิ่งผิด วนเวียนเป็นวงจรอุบาทว์ไม่มีที่สิ้นสุด

วิธีแก้เลือกทำในสิ่งที่สอดคล้องกับเป้าหมายในชีวิตถามตนเองว่าสิ่งที่กำลัง ทำ
กำลังพูด และกำลังคิดอยู่นี้จะทำให้เรามีความสุขขึ้น เป็นคนดีมากขึ้น
มีสติปัญญามากขึ้น และมีเงินทองมากขึ้นหรือไม่ ถ้าไม่ก็ให้ตัดทิ้งเสียเช่น
การนินทาว่าร้ายเจ้านาย เป็นต้น ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เพราะสิ่งต่าง ๆ
ที่ทำในปัจจุบันจะส่งผลไปยังอนาคตอย่างแน่นอน ให้บอกตนเองเสมอว่า
ในโลกนี้มีงานต่าง ๆ อีกมากมายทำเท่าไรก็ทำไม่หมดหรอก
ทำแต่สิ่งที่สำคัญเท่านั้นก็พอ ให้ตระหนักถึงสัจธรรมที่ว่า
ถึงแม้ว่าเราจะจากโลกนี้ไป โลกมันก็ยังคงดำเนินต่อไปได้โดยไม่ต้องมีตัวเรา
อย่าสำคัญตัวเองมากนัก หยุดทำงานทุกอย่าง นั่งสงบนิ่งดูลมหายใจ (อาณาปาณสติ)
สัก 15 นาที เจริญมรณานุสติโดยการคิดว่าถ้าจะต้องตายในอีก 7 วันข้างหน้า
เราอยากทำสิ่งใดมากที่สุด
(แต่วิธีนี้ไม่เหมาะกับบุคคลที่เป็นโทสะจริตเพราะมีมรณานุสติเป็นอารมณ์อยู่ แล้ว)

4. คิดเอาตนเองเป็นใหญ่และคิดอาฆาตแค้นพยาบาทคนอยู่ตลอดเวลา
ความคิดนี้เป็นความคิดในแง่ลบ (Negative thinking) ซึ่งเป็นตัวบั่นทอนพลังชีวิต
ทำให้เราเป็นคนย้ำคิดย้ำทำและเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายโดยที่เราไม่รู้ตัว การกระทำ
คำพูดและแววตาจะแสดงออกมาด้วยความก้าวร้าวรุนแรง
วิธีแก้ให้ระมัดระวังความคิดในแง่ลบ
เมื่อมีความคิดเหล่านี้โผล่ขึ้นมาเองไม่ต้องสนใจ ไม่ต้องคิดต่อ
ให้เปลี่ยนเรื่องคิดทันที
ให้หันมาคิดในแง่บวกแทนซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เกิดเองตามธรรมชาติจะต้องสร้าง ขึ้นมา
ทำใจยอมรับว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับความคิดที่เป็นอกุศลเช่น ความอิจฉาริษยา
ความอาฆาตพยาบาท ความมีอัตตาตัวตน และความยึดมั่นถือมั่น เป็นต้น
ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้รวมทั้งตัวเราเอง ทุกคนเท่าเทียมกันหมด
เราจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะไปตัดสินผู้อื่นว่าถูกหรือผิด
หากเรายอมรับความเป็นจริงในข้อนี้ได้
เราจะรู้จักให้อภัยผู้อื่นและให้อภัยตัวเอง รู้จักสำรวมคำพูดและการกระทำมากขึ้น
พยายามประคับประคองความคิดที่ดีให้อยู่นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

5. คิดดูถูกผู้อื่น และชี้ถูกชี้ผิดอยู่ตลอดเวลา
ความคิดเหล่านี้จะทำให้เรามีจิตใจคับแคบ ไม่มีเมตตาต่อผู้อื่น
มีความเครียดเป็นอาจิณ วิธีแก้เอาใจเขามาใส่ใจเรา เลิกเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง
หัดเข้าใจความคิดและอารมณ์ของผู้อื่นว่าทำไมเขาถึงพูดหรือทำเช่นนั้น
และถ้าเราอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเขา เราอาจจะทำแบบเดียวกับเขาก็ได้ เป็นต้น
ยอมรับว่าในโลกนี้ไม่มีใครที่คิดเหมือนกับเรา ดังนั้น
การมีความคิดที่ขัดแย้งกันย่อมเป็นเรื่องธรรมดา
ไม่มีใครถูกใครผิดหัดฟังมากกว่าพูด สักแต่รู้สักแต่เห็น
รับรู้ทุกอย่างแต่อย่าคิดต่อ
ไม่ต้องหาเหตุหาผลไปซะทุกเรื่องพิจารณาอารมณ์ของตนเองว่าในขณะนี้เราสุข ทุกข์
หรือเฉย ๆ เพื่อหยุดความคิดซึ่งป็นบ่อเกิดแห่งอัตตาตัวกูของกู

6. คิดเอาชนะผู้อื่น
การโต้เถียงเอาชนะผู้อื่นเพียงเพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่เราคิดนั้นถูกต้องเป็น การสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช้เหตุ
และยังเป็นการสร้างศัตรูโดยที่เราไม่รู้ตัว

วิธีแก้พูดเท่าที่จำเป็นพูดแต่สิ่งที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์
รู้จักปล่อยวางเสียบ้าง หัดฟังมากกว่าพูด และเอาใจเขามาใส่ใจเรา
พยายามประคับประคองจิตใจให้ผ่องใสอยู่เสมอ
หลีกเลี่ยงการโต้เถียงให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

7. คิดทวงบุญคุณจากผู้อื่น
การทวงบุญคุณจะทำให้จิตใจคับแคบ เต็มไปด้วยความอึดอัด ไม่พอใจ ลังเลสงสัย
จิตใจสกปรกขุ่นมัวเพราะเป็นการทำดีเพื่อหวังผลตอบแทน
วิธีแก้ ช่วยเหลือโดยไม่ต้องคำนึงถึงผู้ให้ในที่นี้คือตัวเรานั่นเอง
ควรให้เพราะอยากช่วยเหลือไม่ต้องมีตัวเขาเราท่าน
ช่วยเหลือโดยไม่ต้องคำนึงถึงผู้รับ
คนไหนพอช่วยได้ให้ช่วยไปเลยไม่ต้องจำกัดว่าช่วยเพราะเป็นญาติเรา
หรือช่วยเพราะเขาทำดีกับเรา เป็นต้น ช่วยแล้วหันหลังกลับ ไม่หวังผลตอบแทน

8. คิดกังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
การคิดวิตกกังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึงจะทำให้จิตใจว้าวุ่น สับสน
เต็มไปด้วยความหวาดกลัว จิตใจล่องลอยไม่อยู่กับปัจจุบัน
วิธีแก้ รู้เนื้อรู้ตัวว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำแล้วเกิดผลอะไร
ทำวันนี้ให้ดีที่สุด คิดโกรธเกลียดหมั่นไส้ผู้อื่น ความโกรธ เกลียด รำคาญ
และไม่ชอบหน้าบุคคลที่เคยทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจเป็นนิสัยที่เกิดได้กับมนุษย์ ทุกคน
แต่เมื่อมีความคิดเหล่านี้ผุดขึ้นในจิตใจเราควรระมัดระวังไม่ให้แสดงออกมา ทางสีหน้า
แววตา น้ำเสียง และการกระทำ นอกจากนั้น เราควรมองบุคคลเหล่านั้นในแง่บวกเช่น
คนที่ตำหนิติเตียนเรานั้นอาจจะกำลังสอนให้เรารู้จักทำงานให้เป็นระเบียบมาก ขึ้น
หรือคนนินทาว่าร้ายเรานั้นอาจจะกำลังสอนให้เรารู้จักวางตัว พูดเท่าที่จำเป็น
เพราะเขารู้เรื่องของเราหมดจึงเอาไปคุยกันจนสนุกปาก เป็นต้น

9. คิดน้อยใจในโชคชะตาของตนเอง
การคิดน้อยใจในชะตากรรมของตัวเองเช่น เกิดมายากจน รูปร่างไม่ดี หน้าตาไม่สวย
เรียนหนังสือไม่เก่ง หรือทำอะไรก็สู้เขาไม่ได้ เป็นต้น
การคิดเช่นนี้นอกจากจะเป็นการบั่นทอนกำลังใจตัวเองแล้วยังทำให้ชีวิตจมปลัก ไม่ก้าวหน้าไปไหน
เพราะมัวแต่ย้ำคิดย้ำทำแต่สิ่งเดิม ๆ

วิธีแก้ จงพอใจในสิ่งที่ตนมี และอย่าคิดเปรียบเทียบกับคนอื่น
ระลึกและจดจำในสิ่งดี ๆ ที่เราได้รับจากคนรอบข้าง
รู้จักและยอมรับตนเองทั้งจุดเด่นและจุดด้อย
พัฒนาและใช้จุดเด่นของเราให้เป็นประโยชน์และปรับปรุงจุดด้อยหรือหาสิ่งอื่น มาทดแทน
เรียนรู้จากประสบการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต
ลืมอดีตที่ขมขื่นเพื่อทำปัจจุบันให้ดีที่สุด คิดในแง่บวก
และพยายามประคับประคองจิตใจให้ผ่องใสอยู่ตลอดเวลา

10. นิสัยมองโลกในแง่ร้ายและคิดว่ามนุษย์ทุกคนล้วนเห็นแก่ตัว
การคิดเช่นนี้จะยิ่งเป็นการตอกย้ำความคิดในแง่ลบให้มากขึ้นเป็นทวีคูณ
มองความจริงไม่ตรงตามความเป็นจริง ปัญหาเล็ก ๆ
ก็ตีโพยตีพายจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โต จิตใจคับแคบ
หาความสุขไม่ได้เพราะจะคอยจับผิดผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา
วิธีแก้คิดถึงประสบการณ์ดี ๆ ที่เราได้รับจากคนรอบข้างเช่น
คิดถึงบุคคลที่มีบุญคุณหรือมีน้ำใจกับเรา เป็นต้นพยายามมองโลกในแง่บวก
อย่าปล่อยให้จิตมันคิดเอง

11. คิดว่าโลกนี้มีแต่ปัญหาเต็มไปหมด แก้เท่าไรก็ไม่หมดเสียที
การคิดเช่นนี้นอกจากจะไม่ช่วยแก้ปัญหาแล้วรังแต่จะเป็นตัวบ่อนทำลายกำลังใจ ของเราเองเสียอีก
วิธีแก้ ให้มองปัญหาเสมือนด่านทดสอบความอดทน ตัวฝึกฝนทักษะในการแก้ปัญหา
และเป็นแหล่งปัญญาที่หาไม่ได้จากในหนังสือ
มองปัญหาในแง่บวกว่ามันอาจจะเป็นสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้าก่อนที่ความหายนะจะ เกิดขึ้นก็ได้
ปัญหาทำให้เราเห็นข้อบกพร่องที่เราอาจจะมองข้ามไป
มองปัญหาเป็นเรื่องธรรมชาติที่มนุษย์ทุกคนต้องประสบ อันไหนพอแก้ได้ก็ทำไปก่อน
คิดในแง่บวกและตั้งจิตว่าจะประคับประคองจิตใจให้ผ่องใสอยู่ตลอดเวลา

12. คิดว่าเราเก่งกว่าผู้อื่น ฉลาดกว่าผู้อื่น หรือร่ำรวยกว่าผู้อื่น
ความคิดเช่นนี้จะส่งผลให้พฤติกรรมที่แสดงออกมาเต็มไปด้วยความหยิ่งยะโสโอหัง
อวดดี ถือตัว มองผู้อื่นด้วยสายตาดูถูกดูแคลน วาจาจะรุนแรงและสามหาว
บุคคลรอบข้างจะรังเกียจ หมั่นไส้ และอิจฉาริษยา
ซึ่งเป็นการสร้างศัตรูโดยไม่รู้ตัว
วิธีแก้ ระมัดระวังคำพูด ความคิด และการกระทำ
ต้องมีสติรู้เนื้อรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา หัดมองตัวเอง เลิกเปรียบเทียบกับผู้อื่น
อยากวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น

13. การด่าทอ เหน็บแนม ประชดประชัน และวิพากษ์วิจารณ์
เป็นอกุศลวาจาที่สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้กับผู้อื่น
ซึ่งเป็นการสร้างศัตรูโดยไม่ได้ตั้งใจ นอกจากนั้น
ความคิดเหล่านี้ยังเป็นที่มาของความโกรธ ความเกลียด
และความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจมนุษย์อีกด้วย

วิธีแก้ คิดก่อนพูดและไม่ต้องพูดทุกอย่างที่เราคิด
ถ้าพูดแล้วไม่สร้างสรรค์นิ่งเสียจะดีกว่า เอาใจเขามาใส่ใจเรา
ในโลกนี้ไม่มีใครชอบถูกวิพากษ์วิจารณ์แม้แต่ตัวเราเอง

ความรักทำให้โลกหมุน


คนที่กล้าหาญเท่านั้นที่จะรู้ว่า "ความรัก" คืออะไร

คนกล้าหาญที่พร้อมจะเผชิญกับความผิดหวังความรักไม่ใช่ความสำเร็จในความรัก
จึงไม่ต้องการนิยามหรือเงื่อนไขใดๆ
ความรู้สึกที่อยู่ในใจต่างหากที่จะเป็นสิ่งกำหนดว่าจะต้องผ่านอะไรไปให้ได้ เพื่อที่จะได้รัก

ความรักจะเป็นแรงผลัก
ให้สร้างสรรค์สิ่งดีๆให้กับโลก

ความรักจะสอนให้รู้จักความอดทนและเสียสละ

จะสอนให้รู้ซึ้งกับการมีชีวิตอย่างมีค่ายิ่งกว่าบทเรียนใดๆ

ความรักจะบอกว่า
การอยู่เพี่อรักใครสักคนนั้น...

เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่

ที่สามารถทำให้ตัวตนของคนผงาดขึ้น
ทัดเทียมกับทุกคนบนโลกใบนี้

ความรักเป็นเรียวแรงของชีวิตและทำให้โลกหมุน
เป็นตัวสำคัญที่ทำให้ หัวใจเคลื่อนไหว
มีแรงผลักดันปัญหาออกไปได้

ความรักที่แท้จริง...
จะบริสุทธิ์ ไม่คาดหวังไม่ถือสา
ความสุขจะเป็นละอองไอปลิวไปในอากาศ
เหมือนสายลมอ่อนที่มองไม่เห็นแต่ก็เย็นสบาย

รักเถอะ...กล้าที่จะรัก
เพราะรักนั้นจะเต็มคุณค่า...
สำหรับคนพร้อมจะเจอกับทุกๆอย่างเท่านั้น
หากไม่กล้าสูญเสีย...ก็ไม่มีวันได้รู้จักการครอบครอง

เพราะบางที...
ความรักก็อาจไม่ได้เป็นเรื่องของคนสองคน
เมื่อหัวใจคนอื่นบังคับไม่ได้...

ก็ไม่จำเป็นต้องบังคับหัวใจตัวเอง
สักนาทีที่ได้รักใครสักคนอย่างแท้จริงนั้น
ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะบอกเล่าให้กันฟังได

แม้ที่สุดแล้ว...จะไม่ได้อะไรตอบแทน...
แต่อย่างน้อยวันคืนที่เล็กน้อยเหล่านั้น...
ก็จะสร้างความทรงจำที่ยิ่งใหญ่ตลอดไป

วันแรกของวันที่เหลือ


ปรัชญาเต๋า; บอกว่า "คนเราไม่เคยนึกถึงตีนเมื่อรองเท้าไม่กัด"


คนเรามักมองไม่เห็นของดีที่ตนมีอยู่จนเมื่อสูญเสียมันไปแล้ว


ไม่เห็นคุณค่าของสองแขน จนกระทั่งมันอยู่ในเฝือก


ไม่เห็นคุณค่าของงาน (ที่เราว่าแย่ๆ) จนกระทั่งตกงาน


ไม่เห็นคุณค่าคนรัก (ที่เราว่าไม่เพอร์เฟ็กท์)


จนกระทั่งเธอหรือเขาไปแต่งงานกับคนอื่น


ไม่เห็นคุณค่าของพ่อแม่ (ที่เราว่าขี้บ่น) จนกระทั่งไปงานศพของท่าน


สิ่งที่คนจำนวนมากเลือกทำคือ บ่นว่าตนเองไม่มีความสุข ไม่ประสบความสำเร็จ


ไม่รวย ไม่ได้เป็นเจ้าของสิ่งนั้นสิ่งนี้ และเอ่ยประโยคยอดฮิตว่า


"มันไม่แฟร์เลย"


บางที ทุกครั้งที่เรารู้สึกว่าโลกไม่มีความยุติธรรม ก่อนที่เราจะบ่น


ลองมองตัวเราเองดูดีๆ เราจะพบว่า เรามีอะไรดีๆ หลายอย่างที่คนอื่นไม่มี


เราสามารถทำ "หนึ่งวันเดียวกัน" ของเราให้มีความหมายได้


ก็ต่อเมื่อเราเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรามี และใช้วันนี้


วันแรกของวันที่เหลืออย่างคุ้มค่าที่สุด


เพราะวันแรกของชีวิตที่เหลือนี้ช่างสั้นเหลือเกิน


และเพราะเราไม่มีทางรู้ว่าเรามี "วันแรกของวันที่เหลือ" อยู่อีกสักกี่วัน

สีน้ำกับชีวิต


เพื่อนคนหนึ่ง สอนฉันให้วาดรูปสีน้ำ และบอกว่า สีที่ระบายยากที่สุด
คือสีขาว

เพราะการเขียนสีขาวนั้น ต้องรู้จักการใช้สีเพื่อเป็น background
เน้นให้สีขาวเด่นออกมา แต่ต้องระวัง ไม่ให้สีเน่า

ฉันถามเขาว่า ถ้าสีเน่า ควรแก้ไขอย่างไร ทาทับหรือเขียนสีซ้ำ
เหมือนกับการใช้สีน้ำมัน หรือสีอะคริลิกได้ไหม

เขาตอบว่า ไม่ได้ หากสีเน่า หรือรูปเสีย มีอยู่วิธีเดียว คือต้องเขียนใหม่
ต้องมองดูรูป แล้วถามตัวเองว่า ทำไมจึงไม่สวย มองให้ออก
และเรียนรู้สิ่งที่พลาดไป

ฟังดูเหมือนการใช้ชีวิตของเรานั่นเอง หากเราผิดพลาดในเส้นทางที่เดิน
เราคงต้องให้เวลาตัวเองสักช่วงหนึ่ง เพื่อหยุดการก้าว
แล้วมองย้อนกลับไปในเส้นทางที่ผ่านมา เรียนรู้ข้อผิดพลาด แล้วบอกกับตัวเอง
ให้มีพลังเริ่มต้นใหม่

อย่าเพียงแค่คิดว่า การแต้มสีทับซ้ำ จะแก้ไขข้อเสียได้เสมอ

ถ้าชีวิต คือการก้าวเดินอยู่ใน เส้นทางสีน้ำ หากผิดพลาด จะปาดป้ายสีซ้ำ
เดินย่ำรอยเดิมคงไม่ได้ แต่เราเรียนรู้ จากความผิดพลาด และหาทางออกใหม่ๆ
ให้กับชีวิตได้เสมอ

ขอเพียงแต่ให้กล้าลงมือ กล้าก้าว และกล้าที่จะผิดพลาด

Toshiba เผย Satellite T130 ใหม่ โน้ตบุ๊กตัวแรกที่รองรับเทคโนโลยี 4G LTE

Toshiba-Satellite-T130_1

หลังจากที่ Samsung นำเสนอข่าวเปิดตัวเน็ตบุ๊กใหม่ LTE-packing N150 ได้ไม่นาน คู่แข่งคนสำคัญอย่าง Toshiba ก็พร้อมแล้วที่จะเผยโน้ตบุ๊กใหม่ ที่ใช้เทคโนโลยีในการเชื่อมต่อ 4G (LTE) Long Term Evolution ในงาน Mobile World Congress เมือง Barcelona ประเทศ สเปน

Satellite T130 มาพร้อมกับความเร็วในการดาวน์โหลดที่สูงถึง 16Mbps (มากกว่า 3G ที่เริ่มต้นเพียง 7.2Mbps) โดย LTE เป็นบรอดแบรนด์ที่สามารถเพิ่มความเร็วได้สูสุดถึง 100Mbps เลยทีเดียว

Toshiba-Satellite-T130_2

Toshiba ได้ปรับปรุง T130 ให้ ใช้ขุมพลังหน่วยประมวลผล Intel Ultra-Low Voltage (ULV) ซีพียูประหยัดพลังงานที่มาพร้อมกัน 4 รุ่น คือ ULV743, SU2700, SU3500, SU4100 ทั้งหมดมีความเร็วในการประมวลผล 1.3GHz โดย LTE ultra-portable โน้ตบุ๊กตัวนี้มีคุณสมบัติพิเศษที่ขนาด 13.3 นิ้ว จอแสดงผลแบบ TruBrite LED backlit ซึ่งมีความละเอียดมากสุด 1366×768 พิกเซล หน่วยความจำแรมเป็นแบบ DDR3 ที่ให้เราสามารถเพิ่มความแรงได้มากถึง 8 GB ทั้งนี้ T130 ยังมาพร้อมกับความจุฮาร์ดดิสก์ 500GB

โตชิบา CULV โน้ตบุ๊กแนวสปอร์ต ยังมีความสามารถพิเศษในการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11n และ Bluetooth 2.1+EDR ทั้งยังเพิ่มการสำรองไฟให้กับแบตเตอรี่โน้ตบุ๊กที่ใช้งานได้นานกว่า 11 ชั่วโมง และมีน้ำหนักเพียง 1.8 กิโลกรัม ใช้แบตเตอรี่จำนวน 6 ก้อน

T130 4G LTE ยังทำงานบนระบบปฏิบัติการ Windows 7 และมีความหนาเพียง 22.2 มิลลิเมตร หรือ (0.87 นิ้ว) สำหรับราคาและความสามารถอื่นๆ เพิ่มเติมนั้น คงต้องรออัพเดทข่าวกันต่อไปครับ

Toshiba-Satellite-T130_3

ที่มา : notebookcheck.net

สิบแง่คิดดีๆสำหรับชีวิต ประจำวัน



สิบแง่คิดดีๆสำหรับชีวิตประจำวัน

1. Stay out of trouble

จง หลีกห่างจากความยุ่งยาก เพราะถ้าตกลงไปแร้วมันขึ้นมาได้ยาก .


2. Aim for greater heights.

มอง เป้าหมายให้สูงๆหน่อย เผื่อเหนียวเอาไว้ พลาดไปเดี๋ยวเดือดร้อน


3. Stay focused on your job.

ทำ ความชัดเจนในเป้าหมายของงานที่ทำ ผิดเป้าหมายแล้วจะเหนื่อย

4. Exercise to maintain good health.

ออก กำลังกายสม่ำเสมอเพื่อสุขภาพ เพราะไม่มีใครช่วยเราได้

5. Practice team work.

ต้องเล่น กันเป็นทีม เพื่อเสริมพลัง

6. Rely on your trusted partner to watch your back. Take your time trusting others.

ให้เพื่อนร่วมงานที่ดีคอยช่วยสังเกตุงานเรา และเราก็แบ่งเวลาไปช่วยเพื่อนด้วย

7. Save for rainy days.

ใช้ทรัพยากรเผื่อเหลือเผื่อ ขาดไว้ด้วยในยามฉุกเฉิน

8. Rest and relax.

มีเวลาหยุดพักผ่อนและบันเทิงบ้าง ให้รางวัลกับตัวเอง

9. Always take time to smile.

ยิ้มเสมอในทุกสถานะการณ์ เดี๋ยวดีเอง

AND

และ

10. Realize that nothing is impossible.

รู้ไว้ว่า ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้

This should make you smile:

และ นี่จะทำให้คุณยิ้มออก...

THE SENILITY PRAYER : Grant me the senility to forget the people I never liked anyway, the good fortune to run into the ones I do, and the eyesight to t! ell the difference.

คำอธิษฐานของ ผู้อาวุโส : ให้ฉันชราลงเถอะ ฉันจะได้จำคนที่ฉันไม่ชอบไม่ได้ เป็นโชคดีของฉันแล้วที่ผ่านวัยมาจนวันนี้และได้เห็นความเปลี่ยนแปลงแห่ง ชีวิต

Now,give this to a bunch of your friends if you can remember who they are!!!

ส่ง ข้อความนี้ต่อไปให้เพื่อนๆอีก ถ้าคุณยังจำได้ว่ามีใครเป็นเพื่อน

Always Remember:

จำไว้เสมอว่า:

You don't stop laughing because you grow old, you grow old because you stop laughing!!!

คุณไม่หยุด หัวเราะเพราะคุณแก่ขึ้น

แต่คุณแก่ลงเพราะคุณหยุดหัวเราะ

วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

40 รัก...ที่ควรรู้‏

* 1.อารมณ์หึงเกิดขึ้นได้ทั้งชายและหญิง แต่อารมณ์หึงของผู้หญิงจะซับซ้อนกว่าผู้ชาย

2. ผู้ชายร้อยละ 90 ชอบผู้หญิงสวย น่ารัก แต่ผู้ชายร้อยละ 100 อยากอยู่กับผู้หญิงฉลาดและเฉลียว

3. คนที่มีแฟนขี้หึงขั้นรุนแรง มีเพียง 0.000001 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ชอบ นอกนั้นรู้สึกว่าอึดอัด ผู้ชายทั้ง หลายควรจะดีใจที่มีแฟนขี้หึงซะ

4.ไม่เคยมีคู่ไหนไม่ต้องใช้ความอดทนในการรัก เพียงแต่จะเป็นการอดทนในรูปแบบไหนเท่านั้นเอง

5. คนที่มีกิ๊กนอกเหนือจากแฟนตัวจริง คือคนที่ไม่ศรัทธาในความรัก

6. อย่ากลัวการอกหัก เพราะไม่เคยมีใครตายจากโรคอกหัก มีแต่ความอ่อนแอเท่านั้นที่ทำให้ฆ่าตัวตาย

* 7. ความรักมักไม่เกิดตอนที่เฝ้ารอ แต่เมื่อปล่อยตัวตามสบาย ความรักมักจะมาทำเซอร์ไพรส์ให้หัวใจ

8. ถึงจะไว้ใจเพื่อนแค่ไหน ก็อย่าให้เพื่อนกับแฟนของเราสนิทกันเกินไปเพราะหายนะอาจตามมา

* 9.ถ้า เรารู้สึกอายเวลาเดินเคียงข้างแฟนที่ขี้เหร่ นั่นหมายความว่าเราไม่ได้รักเค้าจริง


* 10.อย่าบ่นให้ใครฟังว่าแฟนไม่เคยทำตัวดีขึ้นเลย เพราะจะโดนย้อนว่า ' แล้วจะโง่ทนคบอยู่ทำไม'

11. ถ้ารู้ตัวว่าเป็นคนที่ขี้หึงขั้นรุนแรง อย่าได้เลือกคบผู้ชายที่หน้าตาและมนุษยสัมพันธ์ดีเด็ดขาด

12. การที่ผู้ชายมองผู้หญิงสวย เซ็กซี่ จนเหลียวหลัง ไม่ได้หมายความว่าเข้าต้องการแฟนที่เป็นแบบนั้น

13. ผู้ชายที่ไว้ใจได้ว่าไม่นอกใจแฟนหรือภรรยา มีเพียงแต่ผู้ชายที่อยู่ในโลงเท่านั้น ควรจำให้ขึ้นใจ

* 14. พยายามทำตัวให้ดีและมีคุณค่ามากกว่าผู้หญิงที่แย่งแฟนเราไป แล้วซักวันแฟนเราจะกลับมาเอง

* 15. อย่าคบกับผู้ชายที่เอาเรื่องแฟนเก่ามาพูดเสียๆ หายๆ เพราะเราอาจจะเป็นรายต่อไป

16. ผู้ชายที่รักสัตว์ รักเสียงเพลง รักครอบครัว น่าคบมากกว่าผู้ชายที่รักตัวเองซะอีก

17. อายุที่มากขึ้นอาจทำให้ต้องลดสเปกชายในฝันลง แต่ข้อที่ไม่ควรลดเด็ดขาดคือ ความดีและความจริงใจ

18. ผู้ชายที่เกาะชายกระโปรงผู้หญิงกิน ดูน่ารังเกียจกว่าผู้หญิงที่ชอบปอกลอกผู้ชายหลายเท่า

19. มนุษย์ผู้ชายมีน้อยกว่ามนุษย์ผู้หญิง ผู้ชายที่ดีและเป็นโสดก็มีน้อยกว่าผู้ชายที่***และมีเจ้าของด้วย

20.อย่ารักผู้ชายที่ทั้งขี้เหร่ ขี้เกียจและขี้เมา เพราะเราจะต้องรู้สึกตกนรกไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน

* 21.คู่รักที่เดินกอดจูบกันต่อหน้า ชุมชน มีแต่ฝ่ายหญิงเท่านั้นที่จะถูกประณามและดูถูกอย่างรุนแรง

22. เซ็กส์ไม่สามารถผูกมัดให้คู่รักอยู่ด้วยกันไปตลอด ความผูกพันต่างหากที่จะดึงรั้งกันไว้ได้

รูปสวย น่ารัก glitter emoticon www.yenta4.com* 23. อายุไม่ใช่อุปสรรคของความรัก ถ้าความคิดหัวใจตรงกัน ความมั่นคงก็เกิดขึ้นได้

24.ในชีวิตจริงของความรัก เราอาจไม่ใช่นางเอกที่แสนดี บางทีต้องมีการใช้ ไหวพริบในการแย่งชิงบ้าง

25.คนสวยหรือคนหล่อสามรถอกหักได้เหมือนกัน ถ้าทำตัวไม่ดีหรือมีเวลาให้กับความรักไม่พอ

* 26. ถึงจะได้ยินว่ามีรักที่ไหนมีทุกที่นั่น แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังเลือกที่จะมีความรักมากกว่าจะอยู่เป็นโสด

27. เรื่องที่แฟนไม่ยอมเล่าให้ฟังตั้งแต่แรก มักเป็นเรื่องที่เรารู้เมื่อไหร่ก็ต้องควันออกหูอยู่ดี

28.ถ้าชื่นชมในตัวแฟน 100 เปอร์เซ็นต์ ควรบอกเค้าแค่ 70 เปอร์เซ็นต์

* 29 .ถึงผู้ชายจะบอกว่าไม่ชอบผู้หญิงแต่งหน้า แต่ผู้ชายก็ไม่ชอบคนที่หน้ามันหรือซีดตลอด

30.ผู้ชายชอบติรูปร่างของแฟนหรือคนโน้นคนนี้ โดยลืมดูรูปร่างตัวเองว่าแย่ขนาดไหน


31. คนต่างชาติต่างภาษาสามารถรักกันได้ เพราะภาษาหัวใจเป็นภาษาสากลที่ไม่ต้องการคำแปล

32. ผู้ชายต้องใช้สมองและทักษะมากขึ้นในช่วงที่มีความรัก เพราะผู้หญิงมักปากไม่ตรงกับใจ

33.ผู้ชายชอบเป็นฝ่ายไล่ล่า มากกว่าจะเป็นฝ่ายถูกล่า ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่จะพยายามหนีเมื่อถูกตามตื้อ

34.ผู้หญิงอาจไม่ได้เรียกร้องอะไรมากขึ้น แต่เป็นเพราะผู้ชายไม่สามารถทำดีได้เสมอต้นเสมอปลาย

35. รักแรกพบสามารถเกิดได้แค่ 10 เปอร์เซ็นต์ นอกนั้นเกิดจากการใกล้ชิด และการเรียนรู้กันอย่างลึกซึ้ง

* 36. คนที่เรารักกับคนที่รักเรา อาจไม่ใช่คนเดียวกัน เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าคนเราบังคับหัวใจกันไม่ได้จริงๆ

* 37. ทุกคนจะเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นเมื่อได้มีความรักและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นอีก หลังจากอกหัก

38. มือที่สามสามารถเดินเข้ามาในชีวิตเราได้ตลอดเวลา ในความไว้ใจจึงควรมีความระวังอยู่ด้วย

* 39.อย่ารีบมีแฟนหลัง จากอกหัก เพราะเราจะแยกแยะไม่ออกว่านั่นเป็นรักหรือการฆ่าเวลา

40. คนที่รักกันไม่จำเป็นต้องเดินจับมือหรือคุยกันตลอดทางแค่รู้สึกว่ามีกันและ กันก็เพียงพอ

ดอกไม้ คลายร้อน .•°•.ღ





























+++ Hamster +++

+++ Playlist +++


MusicPlaylistRingtones
Create a playlist at MixPod.com

+++ coming soon +++