วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ผักผลไม้สีม่วงช่วยลดโรค



นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าการพืชที่มีสีม่วงจะช่วยลดโรคที่เกียวข้องกับอายุ เช่น อัลไซเมอร์ โรคหัวใจและมะเร็ง


มีโอกาสเป็นไปได้ที่จะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคเส้นโลหิตตีบตันและโรคพากินสัน โดยรับประทานผลไม้สีม่วง เช่น บลูเบอร์รี่ แบล็คเบอร์รี่ แบลคเคอเรนท์ และพลัม สอดคล้องการศึกษาของมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์

นักวิจัยแนะนำว่าหนึ่งหรือสองในห้าส่วนควรเป็นผักผลไม้สีม่วง

มีความคิดที่ว่าผักผลไม้สีม่วงจะช่วยต่อต้านภัยจากแร่เหล็ก ซึ่งสามารถทำลายเซลล์ถ้ามันผ่านเข้ามาในระบบย่อยอาหารอย่างไม่ถูกต้อง แม้ว่าเราจะรู้สึกว่าจะมีผลกระทบต่อแร่ธาตุที่มีประโยชน์กับร่างกาย ธาตุเหล็กที่ไม่ทำปฏิกิริยาตอบสนองกลับความเป็นพิษต่อเนื้อเยื่อ

ส่วนประกอบที่เรียกว่าโพลีฟีนอลจะทำให้บลูเบอร์รี่และผลไม้สีม่วงเห็นและจับแร่เหล็กและรักษาไว้ไม่ให้เป็นอัตรายต่อร่างกาย ในชาเขียวก็พบสารที่คล้ายกันเช่นเดียวกับในขมิ้นที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในเครื่องแกง

วารสารพิษวิทยารายงานว่า ช็อคโกแลตอาจช่วยได้แต่ไวน์แดงนั้นไม่มีผล

ศาสตราจารย์ ดั๊กลาส คีล ผู้นำวิจัย กล่าวว่าตามปกติแล้วเราคิดว่าเหล็กเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเรา และมันก็ถูกต้องในเมื่อมันอยู่ในรูปแบบหนึ่งแต่มันก็ส่งผลเสียหากอยู่อีกรูปแบบหนึ่ง เพราะมันจะทำปฎิกิริยาตอบสนองก่อให้เกิดอัตรายกับร่างกาย หากมีธาตุเหล็กอิสระมันจะหยุดการทำงานของวิตมินซีที่ช่วยรักษาการติดเชื้อ

สถาบันพากินสันแห่งสหราชอาณาจักร กล่าวว่า สารอาหารเป็นสิ่งจำเป็นต่อสุขภาพ ส่วนสถาบันวิจัยอัลไซเมอร์กล่าวว่าควรมีการวิจัยเพิ่มเติม

ข้อมูลจาก : เดลี่เมล์ ออนไลน์
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์มติชน

มหัศจรรย์ร่างกาย ที่คุณอาจไม่เคยรู้



Amazing Body You don't know! (Twenty-Four Seven)

เชื่อไหมว่า มีสิ่งมหัศจรรย์ซุกซ่อนอยู่ในตัวเรา! อย่าเพิ่งทำตาโตไป เพราะมันคือเรื่องจริงของร่างกายมนุษย์นี่แหละที่เป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างยิ่ง

ทุกคนล้วนแล้วแต่เคยสงสัยเกี่ยวกับกลไก และระบบต่าง ๆ ที่ก่อร่างสร้างร่างกายให้ดำรงชีวิตอยู่ได้ หากแต่ไม่เคยไขข้อข้องใจ วันนี้เรานำคำตอบเกี่ยวกับปริศนาลึกลับที่แฝงเร้นอยู่ในทุกอณูของเรือนกายมาเปิดเผยให้ทราบ อย่างเช่น ทำไมถึงมีรูจมูก 2 ข้าง?


พร้อมหรือยังที่จะอึ้ง ทึ่ง ไปกับสารพันเรื่องราวที่เรานำมาฝากกัน

ยิ่งมีลูกมาก โอกาสที่ลูกจะเป็นผู้ชายยิ่งน้อยลง

พิสูจน์กันหลายครั้งหลายหนแล้วว่า แม่จะพูดกับทารกหญิงมากกว่าทารกชาย

มนุษย์เป็นสัตว์ประเภทเดียวที่ปวดศีรษะ

หลังจากที่ถูกตัดคอ คุณจะมีสติอยู่ได้อีกราว 1-2 วินาที เพียงพอที่จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

นักวิทยาศาสตร์บางท่านนั่งยัน นอนยันว่า อาการหน้าแดงมีแนวโน้มมาจากกรรมพันธุ์

รู้ไหมว่า เวลาที่เขินหรืออึดอัด ซึ่งทำให้ใครบางคนหน้าแดงนั้น อาจทำให้คนอื่น ๆ หน้าซีดเผือดได้

การพิสูจน์ความรักจากรูม่านตาที่เบิกกว้าง ใช้ไม่ได้ผล เพราะเวลาที่มองใครด้วยความเกลียดชัง รูม่านตาก็เบิกกว้างเช่นกัน

ร้องไห้เยอะ ๆ นั่นแหละดี เพราะจะช่วยป้องกันอาการปวดศีรษะ เป็นลมพิษ และอาจรวมไปถึงหัวใจวายด้วย

ยิ่งคุณหมกมุ่น คุณจะยิ่งกระพริบตาถี่ขึ้น

ที่เรามีรูจมูก 2 ข้าง เพราะปอดแต่ละข้างของเราใช้งานรูจมูกแยกกัน

25% ของผู้สูญเสียประสาทรับกลิ่น จะสูญเสียแรงขับทางเพศไปด้วย

ไซนัสเป็นตัวการที่ทำให้เสียงของคุณ กับเสียงของคนอื่น ๆ ไม่เหมือนกัน

คุณไม่สามารถหาว ระหว่างที่หลับสนิทได้

ไม่มีคุณผู้หญิงคนไหนหุบปาก เวลาปัดคาสมาร่า

มีหลากวิธีที่ทำให้หายสะอึก หนึ่งในนั้นคือ การนำของที่เย็นจัดอย่างก้อนน้ำแข็ง กระป๋อง หรือขวดน้ำอัดลมแช่เย็นจัด ประคบลำคอข้างลูกกระเดือก ความเย็นจะกระตุ้นให้กระบังลมหดเกร็ง

แพทย์ผิวหนังบางท่านลงความเห็นว่า การนอนหลับด้วยท่าคว่ำหน้า จะทำให้ผิวหนังเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น

มนุษย์เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดเดียว ที่ไม่มีสีที่ฝ่ามือ

อย่าต่อว่า หากได้กลิ่นเท้าของลูก ๆ เพราะอาการ "เท้าเหม็น" มาจากกรรมพันธุ์


มีข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ ระบุว่า ไม่ใช่ผู้ชายเท่านั้นที่ชอบผู้หญิงผมทอง ยุงก็ชอบคนผมทองเช่นกัน

การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นเวลานาน ทำให้ขนหน้าอกผู้ชายหลุดร่วง


ถ้าอยากรู้ความกว้างของมือ ก็ให้วัดจากความยาวของนิ้วกลาง


หน่วย ฟุต ที่เท่ากับ 12 นิ้วนั้น มาจากการวัดความยาวพระบาทของพระเจ้าชาร์เลอมาญ


มีผู้รู้บอกไว้ว่า อาการเคล็ดขัดยอกจะหายเร็วขึ้น หากคุณไม่บริโภคเกลือ ฯลฯ


เชื่อได้เลยว่า มากกว่าครึ่งหนึ่งของเรื่องราวที่เรานำมาฝากกันในครั้งนี้ เป็นเรื่องที่คุณยังไม่เคยรู้ และทึ่งที่ได้รู้



ขอขอบคุณข้อมูลจาก

4 ความลับน่ารู้ของการเผาผลาญพลังงาน


วิธีการเผาผลาญพลังงานอย่างง่าย ๆ ก็คือ การดื่มน้ำนั่นเอง มาดูกันว่า มีวิธีไหนเด็ด ๆ บ้าง

1. ร่างกายของคุณจะเผาผลาญแคลอรีมากกว่า เวลาย่อยอาหารและเครื่องดื่มเย็นจัด

จริง แต่ก่อนที่คุณจะรีบไปกินไอศกรีม ฟังนี่ก่อน ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า ความแตกต่างที่เกิดขึ้นอาจเล็กน้อยมากจนเห็นไม่ได้ชัดเจน โดยงานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่า การดื่มน้ำเย็นจัด ๆ 5-6 แก้วต่อวัน อาจช่วยคุณเผาผลาญได้มากขึ้นราว 10 แคลอรีต่อวัน แต่ถึงแม้มันจะเล็กน้อยมาก ก็ไม่เสียหายอะไรที่จะดื่มของเหลวไม่มีแคลอรีอย่างน้ำเปล่า ชา หรือกาแฟ (ไม่ใส่ครีมและน้ำตาล) กับน้ำแข็ง เพื่อเพิ่มการเผาผลาญพลังงาน

2. การดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสมช่วยให้คุณเผาผลาญแคลอรีได้มากกว่า

ปฏิกิริยาทางเคมีของร่างกายคุณทั้งหมด รวมทั้งการเผาลาญพลังงานต้องอาศัยน้ำ ถ้าคุณขาดน้ำ คุณอาจเผาผลาญแคลอรีได้น้อยลงราว 2% นี่เป็นผลจากการวิจัยของมหาวิทยาลัยยูท่าห์ ซึ่งติดตามดูระดับการเผาผลาญพลังงานของผู้ใหญ่ 10 คนในขณะที่ดื่มน้ำในปริมาณที่ต่างกันในแต่ละวัน โดยคนที่ดื่มน้ำแก้วละ 8 ออนซ์ 8-12 แก้วต่อวันมีระดับการเผาผลาญพลังงานสูงกว่าคนที่ดื่มแค่สี่แก้ว

3. อาหารเผ็ดร้อนจะทำให้ระบบเผาผลาญของคุณเพิ่มขึ้น

เพราะแคปไซซิน สารประกอบที่ทำให้พริกมีความเผ็ดร้อนช่วยขับเหงื่อ ที่อาจทำให้การเผาลาญพลังงานของคุณเพิ่มขึ้น พร้อมทำให้รู้สึกอิ่มและลดความหิว การศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่าการกินพริกราว 1 ช้อนโต๊ะ ซึ่งเท่ากับแคปไซชิน 30 ม. ทำให้การเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นชั่วคราวถึง 23%

ในงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งที่ให้คนกินพริก 0.9 กรัมผสมในน้ำมะเขือเทศ หรือในรูปแคปซูล ก่อนกินอาหารแต่ละมื้อ นักวิจัยพบว่า แต่ละคนลดปริมาณการรับแคลอรีลงไปได้ราว 10 หรือ 16% เป็นเวลาสองวันหลังจากนั้น

4. การกินโปรตีนช่วยให้การเผาผลาญของคุณเพิ่มขึ้น

จริง โปรตีนให้ประโยชน์ทางด้านการเผาผลาญ เมื่อเทียบกับไขมันหรือคาร์โบไฮเดรต เพราะร่างกายจะต้องใช้พลังงานมากกว่าในการย่อยมัน การศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่า คุณอาจเผาผลาญแคลอรีได้มากถึงสองเท่า ในขณะย่อยโปรตีนมากกว่าการย่อยคาร์โบไฮเดรต ตามปกติอาหารของเราจะมีโปรตีนราว 14% ลองเพิ่มปริมาณขึ้นเท่าตัว (โดยลดคาร์โบไฮเดรตลงเพื่อชดเชย) คุณจะเผาผลาญได้เพิ่มขึ้น 150-200 แคลอรีต่อวัน




ที่มา ลิซ่า

วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วิธีบรรเทาอาการปวดหัว



ทราบหรือไม่ว่า น้ำก็สามารถช่วยแก้ปวดหัวได้ วันนี้มีเกร็ดความรู้เรื่องนี้มาฝากกัน....

หากมีอาการปวดหัวมาก จนไม่สามารถที่จะนอนหลับได้
ลองใช้กระเป๋าน้ำร้อนหรือขวดใส่น้ำน้ำร้อน แต่ไม่ควรจะร้อนจนเกินไป นำมาประคบที่บริเวณท้ายทอย แล้วใช้ผ้าเย็นประคบที่หน้าผาก จะช่วยให้อาการทุเลาลงได้

แต่ถ้า เป็นอาการที่เกิดจากกล้ามเนื้ออักเสบหรือเส้นเอ็นอักเสบ
ให้ใช้น้ำแข็งประคบตั้งแต่ต้นคอลงมาจนถึงหัวไหล่ในวันแรก เพื่อลดอาการอักเสบและใช้กระเป๋าน้ำร้อนประคบในวันต่อๆมา จะช่วยให้คลายปวดได้

หรือถ้ามี อาการปวดหัวซึ่งเกิดจากเลือดลมเดินไม่สะดวก รู้สึกมึนๆ ตื้อๆ
ให้ใช้วิธีแช่เท้าในน้ำอุ่น โดยเริ่มจากใช้น้ำอุ่นในบริมาณน้อยๆ แล้วค่อยเพิ่มให้น้ำร้อนขึ้น ร้อนขึ้น จนกระทั่งรู้สึกอุ่นสบาย แช่ไว้ประมาณครึ่งชั่วโมง อาการปวดจะบรรเทาลง

อีกวิธีหนึ่งก็คือ
นอนคว่ำเอาหมอน รองที่หน้าอก จากนั้นเอาน้ำร้อนประคบที่หลังส่วนบน หรือบริเวณกลางหลังตรงแนวกระดูกสันหลัง วิธีนี้จะช่วยให้รู้สึกสบาย

วิธีทำความสะอาดหอยแครง



หอยแครงสามารถนำมาประกอบอาหารได้หลายชนิด อาทิ ลวก,ย่าง,ยำ,แกงเผ็ด เป็นต้น แต่ปัญหาหนึ่งซึ่งพบบ่อย ถือเป็นอุปสรรคต่อการบริโภค คือ เมื่อนำไปย่าง หรือ ลวกทั้งเปลือกเวลาแกะออกมามักจะพบดิน ซึ่งติดอยู่ด้านใน นั่นเพราะธรรมชาติของหอยแครงอาศัยอยู่ในดินเลนนั่นเอง

วิธีทำความสะอาด
หลังจากซื้อแล้ว ให้ล้างทำความสะอาดเปลือกด้านนอก จากนั้นเทใส่ภาชนะ รินน้ำให้ท่วมตัวหอยแครง โขลกพริกขี้หนูสดพอแหลก 1 กำมือใส่ลงไป ทิ้งไว้ประมาณ 15-30 นาที ความเผ็ดจะทำให้หอยแครงคายดิน ออกมา จากนั้นล้างทำความสะอาดอีกครั้ง แล้วนำไปประกอบอาหารได้ตามต้องการ

อาหารลดน้ำหนัก ยิ่งกินยิ่งผอม




3. เต้าหู้
ผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยหลุยส์เซียนา สหรัฐอเมริกา พบว่า การกินเต้าหู้ 1 ช้อนโต๊ะ ก่อนกินอาหาร ช่วยลดความอยากอาหารได้ 42 เปอร์เซ็นต์




4. น้ำส้มสายชูวินิการ์
ผลการวิจัยจากประเทศสวีเดนพบว่า หากกินน้ำส้มสายชูวินิการ์พร้อมมื้ออาหาร กรดอะซิติกในน้ำส้มสายชูจะช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานช้าลง จึงอิ่มนานขึ้น




5. ลูกแพร์
นอกจากจะมีไฟเบอร์สูงแล้ว ผลการวิจัยในบราซิลยังพบว่า ผู้หญิงที่กินลูกแพร์ขนาดเล็กหลังมื้ออาหาร เป็นเวลา 2 เดือน มีน้ำหนักลดลง ½ กิโลกรัม


ขอบคุณข้อมูลจาก : Health & Cuisine

วันพุธที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วันเอดส์โลก


โรคเอดส์เริ่มเป็นที่รู้จักครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๕๒๔ โดยการก่อตัวขึ้นในบางส่วนของโลกและเป็นอยู่ในหมู่ชนบางกลุ่มเท่านั้น แต่ในปัจจุบันมีการตรวจพบโรคนี้ทั่วโลก และอัตราผู้ป่วยโรคเอดส์เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแอฟริกา

สำหรับในประเทศไทย นับตั้งแต่เริ่มมีโรคเอดส์เกิดขึ้นในประเทศตามรายงานครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๕๒๗ จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๓๓ จำนวนผู้ป่วยที่ติดเชื้อโรคเอดส์มีอัตราเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้รัฐบาลจะประกาศเจตนารมณ์ที่จะแก้ไขปัญหาโรคเอดส์ โดยมอบให้กระทรวงสาธารณสุขรับผิดชอบให้มีคณะกรรมการประสานงานเกี่ยวกับโรคเอดส์แห่งชาติ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๘ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน

กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดนโยบายและแผนการป้องกันและควบคุมโรคเอดส์ระดับชาติสำหรับปี ๒๕๓๑-๒๕๓๔ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อโรคเอดส์ลดผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจ ให้มีการประสานและร่วมมือกันระหว่างองค์การทั้งภาครัฐบาลและภาคเอกชน แต่สถานการณ์ของโรคกลับแพร่กระจาย มากขึ้นและกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อโรคเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม กล่าวคือ เป็นที่เข้าใจกันว่าโรคนี้เกิดเฉพาะในกลุ่มชายรักร่วมเพศ กลุ่มผู้ใช้ยาเสพติดที่ใช้เข็มฉีดยาเข้าเส้นร่วมกัน และกลุ่มที่มีความสำส่อนทางเพศ แต่ในปัจจุบันโรคนี้ได้แพร่กระจายเข้าไปในกลุ่มอื่นๆ ด้วย เช่น ผู้ที่ได้รับการบริจาคเลือดหรืออวัยวะที่มีเชื้อโรคเอดส์ ทารกในครรภ์มารดาที่ติดเชื้อเอดส์ และยังกระจายไปยังกลุ่มเยาวชน และผู้หญิงอีกด้วย ดังจะเห็นได้จากการรายงานสถานการณ์ผู้ป่วยเอดส์ทั่วโลกของโครงการโรคเอดส์แห่งสหประชาชาติ หรือยูเอ็นเอดส์ (UNAIDS) ไว้ว่าในปี พ.ศ. ๒๕๔๖ ทั่วโลกมีผู้เป็นเอดส์ทั้งสิ้น กว่า ๓๘ ล้านคน

โดยในจำนวนผู้ติดเชื้อโรคเอดส์นี้ เป็นผู้ใหญ่ประมาณ ๓๑ ล้านคน เด็กอายุต่ำกว่า ๑๕ ปี อีก ๗ ล้านคน ในปีเดียวกันทั่วโลก มีผู้ป่วยโรคเอดส์ตายไปกว่า ๓ ล้านคน อีกทั้งข้อมูลขอองยูเอ็นเอดส์ยังระบุอีกว่า ตลอด ๒ ปีที่ผ่านมา มีผู้หญิง เป็นกลุ่มที่ติดเชื้อเอชไอวี มากขึ้นในทุกภูมิภาคของโลก โดยเฉพาะผู้หญิงในเอเชียตะวันออก มีอัตราของการติดเชื้อเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ ๕๖ รองลงมาคือ ผู้หญิงในยุโรปตะวันออก และเอเชียกลาง ปัจจุบัน ทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อเอชไอวี (ยังไม่ป่วยเป็นโรคเอดส์) สูงถึง ๓๙.๔ ล้านคน เทียบกับเมื่อปี ๒๕๔๕ มีเพียง ๓๖.๖ ล้านคน และปี ๒๕๔๖ มีอยู่แค่ ๓๘ ล้านคน

ปัจจุบันทวีปเอเชีย มีอัตราเพิ่มของผู้ติดเชื้อมากกว่าร้อยละ ๕๐ ของผู้ติดเชื้อทั้งหมดทั่วโลก โดยในประเทศจีน อินเดีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม เป็นประเทศต้นๆที่ได้รับเชื้อเพิ่ม เฉพาะรัสเซียประเทศเดียว ขณะนี้มีผู้ติดเชื้อเอชไอวีไม่ต่ำกว่า ๘๖๐,๐๐๐ คน

ในบรรดาผู้ติดเชื้อเอชไอวีทั่วโลก เกือบ ๔๐ ล้านคน ผู้ติดเชื้อประมาณ ๓๗ ล้านคน มีอายุระหว่าง ๑๕-๔๙ ปี ในจำนวนนี้เป็น เพศหญิง เกือบครึ่ง โดยเฉพาะผู้หญิงทั่วโลก ที่อยู่ในวัยตั้งแต่ ๑๕-๒๔ ปี กลายเป็นเหยื่อเอดส์รายใหม่ เพิ่มขึ้นถึง ร้อยละ ๖๐ และเยาวชนหญิง วัยระหว่าง ๑๕-๑๙ ปี เป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ ร้อยละ ๕๖ มีรายงานว่า เฉพาะทวีปแอฟริกา แถบทะเลทรายซาฮารา พบการติดเชื้อเอชไอวีในผู้หญิงสูงถึง ๑๓.๓ ล้านคน

ปัจจุบันประเทศต่างๆ ทั่วโลก ได้ตระหนักถึงอันตรายจากการติดต่อ และการป่วยเป็นโรคนี้จึงได้มีการพยายามหามาตรการเพื่อป้องกันและหยุดยั้งโรคเอดส์ให้เป็นผลสำเร็จ

องค์การอนามัยโลกจึงได้กำหนดให้วันที่ ๑ ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันเอดส์โลก ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๓๑ เป็นปีแรก โดยมีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้ คือ

๑. เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักถึงอันตรายจากการติดต่อและการเจ็บป่วยด้วยโรคเอดส์

๒. เพื่อสร้างเสริมและสนับสนุนให้มีมาตรการการป้องกันให้มากยิ่งขึ้นในสังคมทุกระดับ

๓. เพื่อให้มีการจัดกิจกรรมต่อต้านต่างๆ ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง

๔. เพื่อส่งเสริมให้เกิดการยอมรับและห่วงใยต่อผู้ป่วยและผู้ติดเชื้อ

๕. เพื่อเผลแพร่ความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น

การจัดกิจกรรมรณรงค์ในวันเอดส์โลก จะเป็นการสร้างจิตสำนึกให้ทุกคนได้ให้ความเห็นใจและห่วงใยต่อผู้ติดเชื้อและผู้ป่วย ตลอดจนให้ทุกคนมีความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ อันจะเป็นแนวทางหนึ่งที่จะทำให้การขยายตัวของโรคนี้ลดน้อยลง

ที่มา http://www.lib.ru.ac.th/journal/dec/dec01-AIDS.html



เรื่องจริง 38 ข้อ อาจไม่ฮา แต่..บางคนต้องเคยเจอ

1.ฝนมักจะตก ในวันที่เราไม่พกร่ม และฝนจะไม่ตกในวันที่เราพกร่มมา...

2.เวลาอยู่ต่อน่าคนที่เราชอบ ต่อให้เราเป็นคนพูดมากแค่ไหน จะกลายเปนใบ้ไปทันที แต่พอได้เปน แฟนกัน ก็กลับมาพูดมากเหมือนเดิม

3.เข้าคิวที่ไหนต้องมีคนแซงที่นั้น....

4.ทิ้งอะไรไป ชอบมาเสียดายทีหลัง

5.คำว่า"รัก"ยากที่จะพูดยากที่จะฟัง

6.สอบวันพรุ่งนี้ อ่านวันนี้ ทั้งที่มีเวลาอ่านก่อนน่านี้ เปนเดือน ชอบมาอ่านวันสุดท้าย

7.อยากประกวด อะไรก็ชั่ง แต่กลัวแพ้

8.ผู้หญิงชอบ ช้อปปิ้ง ผู้ชายชอบนั่งนิ่งๆ

9.กลัวแฟนเรามีคนอื่น แต่ใจเรา ดันมีกิ๊กซะเอง

10.เปลี่ยนมือถือใหม่ แพงหูฉี่ แต่ใช้เพียงโทเข้า-โทออก-ถ่ายรูป-ส่ง Sms แค่นั้น แล้วก็เปลี่ยนใหม่อีก

11.รอรถเมล์สายไหนมักไม่มา

12.ไอ้พวกบอกว่า"รักใครน่าตา..ไม่สำคัญ" ไม่จริงหรอก น่าเป็นศพ ยังจะเอาป่าวละ?? อย่างน้อยมันก็มีหวังอยากได้น่าตาดีกัลบางละ

13.ซื้อหวยอย่างตั้งใจมักไม่ถูก จะถูกเมื่อไม่ตั้งใจ

14.คนเมามักบอกว่า"ม่ายยยมาววววว"

15.ของที่มีอยู่ไม่กิน ของที่อยากกิน ดันไม่มี

16.ช่วงอกหัก..เดินไปไหนก็เจอแต่ชื่อคนๆนั้น

17.ใครยืมตังบอกว่า"เด๋วคืน" มันไม่คืนง่ายๆแน่นอน

18.เกาหลังที คันไปทั่วทั้งหลัง

19.มีแม่คนไหนไม่ขี้บ่นบ้าง

20.ของแพงมักไม่อร่อย ของอร่อยมักอยู่ข้างทาง

21.นัดกันที่ไร ต้องมีคนมาสายซักคน

22.โทรสับ ชอบมาตอนนอน

23.นาฬิกาปลุกซื้อมาใช้... แต่ไม่อยากได้ยินมันปลุก

24.เงิน...ไม่ได้ใช่ แต่ไม่รุ้ทำไม่ หายไปไหนหมด

25.คบกะแฟนอยู่ แล้วคิดว่าต้องได้เลิกกัน ...ไม่ช้าก็เร็วได้เลิกแน่นอน ดังนั้นอย่าไปคิด คบไปเรื่อยๆแหละดี

26.ตอนเปนแฟน..เธอน่าตาดีที่สุด หลังแต่งงาน...ทุกคนล้วนดูดีกว่าเธอ

27.ความรักมักมอบ...น้ำตาเปนของแถม ไม่ระบุว่ารักใคร ไม่ได้ระบุว่า น้ำตาที่ออกมาเปนแบบไหน อาจสุข ทุกข์ต่างกัน

28.ความทุกข์มาเร็ว...ไปช้า ความสุขมาช้า..ไปเร็ว

29.ใบแจ้งหนี้มักทำให้เราตกใจเสมอ

30.ผลสอบออก ตื่นเต้นทุกที

31.ถ้าพูด"พรุ่งนี้จะดีขึ้น" แสดงว่า วันนี้เรากำลังแย่

32.เกลียดใครมักได้คนนั้น

33.มีเรื่องสำคัญทีไร โทสับ ใช่ไม่ได้ทุกที เงินหมดเอย สัญญาณหายเอย เอาเข้าไปชีวิต

34.คำว่า"รอ"ไม่มีกำหนดการแน่นอน

35.ท้อง ตั้งใจผลิต มักไม่มี .. แต่ จะท้อง เมื่อเราไม่ได้ตั้งใจ

36.ชีวิตได้เปลี่ยนไป...เพราะวันนั้นวันเดว

37.โลกสร้างตาไว้ข้างน่าให้เรา เดินก้าวไปข้างหน้าอย่างมีคุณภาพ

38.สุดท้าย ปาฏิหารย์ มักเกิดกับคนที่ไม่ท้อ


มาส์กหน้าด้วยแอสไพริน

คุณฟังไม่ผิดหรอก! แอสไพรินนอกจากจะใช้กินรักษาอาการปวดหรือลดไข้แล้ว คุณยังสามารถนำมาทำทรีตเมนต์บนใบหน้า

เพื่อต่อสู้กับสิวและทำให้ผิวเนียนนุ่มขึ้นได้ สิ่งที่คุณต้องเตรียมก็คือ แอสไพริน 4-5 เม็ด น้ำอุ่นหนึ่งหรือสองช้อนโต๊ะ และน้ำผึ้งหรือโยเกิร์ตรสธรรมชาติ (ส่วนผสมนี้คุณจะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้) ผสมแอสไพรินเข้ากับน้ำพอให้มีเนื้อข้นๆ ถ้าคุณอยากได้มาส์กเนื้อหนากว่านั้น ก็เติมน้ำผึ้งลงไปซักหยดสองหยด หรือถ้าคุณอยากได้มาส์กที่ช่วยเยียวยาผิวหน้าได้ดีขึ้น ก็เติมโยเกิร์ตรสธรรมชาติลงไปเล็กน้อย จากนั้น ทาส่วนผสมนั้นลงบนใบหน้าบางๆ ทิ้งไว้ให้แห้งประมาณห้านาที แล้วถูส่วนผสมนั้นออกจากใบหน้าโดยใช้มือถูเบาๆ เป็นแนววงกลม หลังจากนั้นคุณก็น่าจะเห็นผิวหน้าที่เนียนนุ่มและกระจ่างใสขึ้น

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีบางคนอาจแพ้แอสไพรินได้ ฉะนั้น ควรลองใช้บริเวณท้องแขนก่อนทาลงบนใบหน้า

ศิลปะไทยอันทรงคุณค่างานเบญจรงค์












โรคซึมเศร้า เราเป็นอยู่หรือเปล่านะ ?



ลักษณะของคนที่ป่วย มักจะชอบแยกตัวอยู่คนเดียว ย้ำคิดย้ำทำ เชื่องช้า ซึม เก็บตัว ชอบพูดเปรยว่าถ้าไม่มีเขาอะไรคงจะดี และพูดสั่งเสียอยู่เรื่อยๆ

ผู้ป่วยจะมีอาการหนักราว 2-3 เดือน ถือเป็นช่วงอันตรายที่สุด เพราะมีโอกาสคิดสั้นฆ่าตัวตายสูงมา
หากมีเรื่องกระทบจิตใจเพียงนิดเดียว แต่ถ้าพ้นช่วงนี้ไปได้ก็จะกลับสู่ภาวะปกติซึ่งอาการของโรคจะกำเริบเมื่อไรไม่มีใครรู้ล่วงหน้า บางคน 1-2 ปี บางคนเพียง 6 เดือนแต่ถ้ารู้ว่าตัวเองป่วยก็สามารถรักษาให้หายได้ด้วยการเข้าพบจิตแพทย์และกินยาตามแพทย์สั่ง

มีผู้ที่ฆ่าตัวตายมากถึงร้อยละ 60 ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า โดยคนที่เป็นโรคนี้เมื่อประสบกับความผิดหวังหรือปัญหาในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัว ความรัก หรือการศึกษา ผู้ป่วยจะคิดฆ่าตัวตายได้ง่ายกว่าคนปกติ 3 เท่า

จากการสำรวจประชากรไทยป่วยเป็นโรคซึมเศร้าถึงร้อยละ 5 หรือกว่า 3 ล้านคน ยังไม่รวมถึงคนที่ไม่รู้ตัวเองว่าป่วย และโรคนี้มีการถ่ายทอดทางพันธุ์กรรมจากพ่อแม่สู่ลูกอีกด้วย

เมื่อตรวจสมองจะพบความผิดปกติของสารเคมีชื่อ เซโรโทนิน มีปริมาณลดลง ทำให้รู้สึกท้อแท้ หงอยเหงา เบื่อหน่าย ไม่สนุกสนานกับชีวิต นอนไม่หลับ สะดุ้งตื่นกลางดึก ฝันร้ายบ่อยครั้ง ส่งผลกระทบให้ความสามารถในการทำงานลดลง

การเลี้ยงดูก็มีส่วน คนที่ขาดความภูมิใจในตนเอง มองตนเองและโลกในแง่ลบตลอดเวลา หรือเครียดง่ายเมื่อเจอมรสุมชีวิต ทำให้มีโอกาสป่วยง่ายขึ้น

การช่วยเหลือด้านจิตใจเบื้องต้น เนื่องจากผู้ป่วยมักมีแนวคิดในแง่ลบมองว่าตนเองอาการหนัก เป็นโรคที่รักษาไม่หาย ไม่มีใครเป็นแบบตน

แพทย์จะบอกว่า ปัญหานี้พบได้เยอะ การที่ผู้ป่วยมีแนวคิดในแง่ลบ สนใจร่างกายตนเองมากกว่าปกติทำให้ดูอาการมีมากขึ้น เมื่อโรคซึมเศร้าดีขึ้นอาการทางร่างกายเหล่านี้จะดีขึ้นตาม

ในปัจจุบันโรคนี้รักษาหายได้ด้วยการใช้ยา การรักษาทางจิตใจ หรือทั้งสองอย่างร่วมกัน

ขอบคุณบทความจาก กรมส่งเสริมสุขภาพจิตร

ตะลึง ผลวิจัยพบสารเคมีใน"ยาสีฟัน"อาจกระทบต่อสมองตัวอ่อนทารก



สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 1 ธ.ค.ว่า เหล่านักวิทยาศาสตร์ได้เรียกร้องให้หน่วยงานของสหรัฐเร่งการตรวจสอบสารเคมี"ทริโคแซน"

ที่ก่อนหน้านี้ กลุ่มได้ค้นพบว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับบทกระทบทางสมองต่อตัวอ่อนในครรภ์มารดา โดยผลสำรวจก่อนหน้านี้พบว่า สารดังกล่าวจะขัดขวางการไหลเวียนโลหิตของมารดาไปยังมดลูก ทำให้สมองตัวอ่อนทารกขาดอ๊อกซิเจน หากมีการสะสมสารดังกล่าวมาก ๆ

รายงานระบุว่า ที่ผ่านมา"สาร"ทริโคแซน"ได้ถูกใช้อย่างกว้างขวางนับตั้งแต่ยาสีฟัน สบู่ล้างมือ และของเล่นบางชนิด แต่ที่ผ่านมา ได้เกิดกระแสวิตกเกี่ยวกับสารดังกล่าว โดยหน่วยงานอาหารและยาของสหรัฐ ได้ประกาศว่า กำลังตรวจสอบความปลอดภัยของสารทริโคแซน และในการศึกษาล่าสุดในแกะพบว่า สารดังกล่าวได้ขัดขวางฮอร์โมนเพศหญิงไม่ให้ไหลเวียนไปยังมดลูก โดยฮอร์โมนเพศหญิงจะช่วยขยายเส้นเลือดหลักที่นำกระแสโลหิตไปเลี้ยงตัวอ่อน



ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์มติชน

15 เคล็ดลับดูแลสุขภาพ พร้อมรับลมหนาว


1. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้เพียงพอและครบหมู่

ดื่มน้ำมากๆ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ และไม่ตรากตรำทำงานหนักจนเกินไป

การรักษาสุขภาพให้สมบูรณ์แข็งแรง จะช่วยให้คุณพร้อมสู้กับโรคภัยไข้เจ็บที่พบได้บ่อยในฤดูหนาว เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ รวมถึงไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009


2. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา และยาเสพติดต่าง ๆ

เนื่องจากจะทำให้สุขภาพร่างกายเสื่อมโทรม เท่ากับเพิ่มโอกาสที่จะติดเชื้อได้ง่ายขึ้น


3. อยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวก

หลีกเลี่ยงสถานที่ชุมชนที่แออัดยัดเยียด โดยเฉพาะหากมีการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่


4. ล้างมือบ่อยๆ

เพราะอาจไปสัมผัสเชื้อโรคที่ ติดอยู่ตามสิ่งของต่างๆ เช่น ลูกบิดประตู ราวบันได ปุ่มลิฟต์ โทรศัพท์สาธารณะ เป็นต้น


5. หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้ป่วย และไม่ควรใช้ของร่วมกัน

เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ จานชาม ช้อนส้อม


6. หากป่วยแล้วมีอาการไอหรือจาม

ควรมีผ้าปิดปากและจมูกหรือสวมหน้ากากอนามัย


7. ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด

อาการจะกำเริบได้ง่ายในฤดูนี้ นอกจากอากาศเย็นที่เป็นสาเหตุโดยตรงแล้ว ก็อาจเนื่องมาจากฤดูหนาวจะมีฝุ่นมาก หรืออากาศหนาวทำให้เราต้องนำสัตว์เลี้ยงเข้ามาอยู่ร่วมกันในบ้าน หากแพ้ขนสัตว์ก็จะทำให้อาการกำเริบมากขึ้น หรือการนอนนานๆ ในฤดูหนาวซึ่งมืดเร็วและสว่างช้า ก็เพิ่มโอกาสที่จะทำให้แพ้ตัวไรฝุ่นตามที่นอน หมอน ผ้าห่มได้มากขึ้น ดังนั้นควรระมัดระวังสิ่งกระตุ้นเหล่านี้ และรักษาร่างกายให้แข็งแรงเข้าไว้


8. พยายามรักษาร่างกายให้อบอุ่นในช่วงฤดูหนาว หรือช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง

ใส่เสื้อผ้าที่อบอุ่นเหมาะกับฤดูกาล หากอยู่ในที่ที่หนาวมากควรสวมหมวก เพื่อลดการถ่ายเทความร้อนออกจากร่างกาย


9. การอาบน้ำหลังจากตื่นนอน

อาจไม่จำเป็นต้องฟอกสบู่หรือฟอกเพียงบางจุด หรือหากอยู่ในที่ที่อากาศหนาวมากๆ อาจไม่จำเป็นต้องอาบน้ำวันละสองครั้งตามปกติและไม่ควรอาบน้ำนานๆ


10. ไม่ควรอาบน้ำอุ่นจัดจนเกินไป

โดย เฉพาะการล้างหน้า เพราะน้ำอุ่นจะทำให้ความชุ่มชื้นของผิวหายไป นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่มีฟองมาก ๆ เพราะจะดึงความชุ่มชื้นไปจากผิว และไม่ควรเช็ดถูผิวแรง ๆ เพราะจะยิ่งทำให้ผิวลอกมากขึ้น



11. ทาโลชั่นบำรุงผิวหลังอาบน้ำ

ขณะที่ตัวยังหมาดๆ จะช่วยป้องกันผิวแห้ง แตก ลอก ในฤดูหนาวได้ และควรทาให้ทั่วร่างกาย ไม่ใช่เฉพาะแขนกับขาเท่านั้น รวมทั้งส่วนที่เรามักไม่ใส่ใจ เช่น เท้า การทาโลชั่นและสวมถุงเท้านอน จะช่วยให้เท้าเนียนนุ่มชุ่มชื้นลดปัญหาส้นเท้าแตกได้อีกด้วย

ส่วนมือที่แห้งและแตกก็ควรหมั่นทาครีมหรือโลชั่นเช่นกัน นอกจากจะช่วยให้ความชุ่มชื้นแล้วยังช่วยให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นด้วย สำหรับใครที่มือแห้งมากๆ ลองนวดด้วยน้ำมันมะกอกทิ้งไว้สักพัก ล้างออกด้วยน้ำสบู่ แล้วนวดด้วยครีมทามืออีกครั้ง ไม่ช้าริ้วรอยแห้งแตกก็จะหายไป

ส่วนผู้ที่ต้องใช้มือทำงานสัมผัสน้ำอยู่ตลอดเวลา เช่น ล้างจาน ซักผ้า ช่วงหน้าหนาวจะยิ่งรู้สึกแสบมือมาก อาจมีอาการบวมแดงและแตกได้ ควรป้องกันด้วยการสวมถุงมือยางกันน้ำ


12. ริมฝีปากที่แห้งแตกก็ควรได้รับการบำรุงและปกป้องเช่นกัน

สมัยนี้มีลิปมัน ลิปบาล์ม ให้เลือกใช้มากมาย รวมทั้งชนิด For Men ของคุณผู้ชายด้วย สำหรับผู้ชายที่รู้สึกเขินเวลาใช้ลิปแท่ง อาจเลือกซื้อชนิดตลับไว้พกติดตัวก็ได้ ที่สำคัญ ไม่ควรเลียริมฝีปากบ่อยๆ เพราะจะยิ่งทำให้ปากแห้งแตกมากขึ้น


13. ในช่วงหน้าหนาวไม่จำเป็นต้องสระผมบ่อย ๆ

เช่นกันและใช้แชมพูในปริมาณน้อยๆ ก็เพียงพอแล้ว เพราะจะทำให้เส้นผมแห้งแตกปลายได้ง่าย และยังทำให้หนังศีรษะแห้งเกินไปจนเกิดรังแคได้อีกด้วย สำหรับผมที่แห้งมาก การเลือกใช้แชมพูและครีมนวดผมที่เหมาะสำหรับผมแห้งจะช่วยได้ หลังการสระผมอาจใช้น้ำมันบำรุงเส้นผมทาเคลือบที่ปลายผมบางๆ เพื่อลดไฟฟ้าสถิต ช่วยให้ผมไม่ฟู


14. บำรุงร่างกายภายนอกกันแล้ว

ก็อย่าลืมบำรุงร่างกายให้ชุ่มชื้นจากภายในด้วย โดยการดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน โดยเฉพาะน้ำอุ่นซึ่งจะช่วยให้ร่างกายของคุณอุ่นขึ้น นอกจากนี้ควรรับประทานผักผลไม้สดให้มากด้วย เพื่อให้ร่างกายชุ่มชื้นจากภายใน


15.การเลือกซื้อเสื้อกันหนาวก็สำคัญ

บางคนเลือก ซื้อเสื้อกันหนาวมือสอง เนื่องจากมีราคาถูก แต่ก็อาจนำเชื้อโรคต่างๆ ติดมาด้วย ควรเลือกให้ดี อย่าให้มีรอยด่างดำและรอยคราบสารคัดหลั่งต่างๆ หรือกลิ่นอับชื้นติดอยู่ เพราะอาจทำให้ติดเชื้อโรคได้ เช่น โรคผิวหนัง โรคติดเชื้อ เชื้อรา หรือโรคทางเดินหายใจต่างๆ ก่อนนำไปสวมใส่ควรต้มในน้ำเดือดและซักให้สะอาด แล้วนำไปผึ่งแดดให้แห้งสนิท

แม้แต่เสื้อกันหนาวใหม่ๆ ก็ควรนำไปซักแล้วตากแดดก่อนนำไปสวมใส่เช่นกัน เพราะในเนื้อผ้าอาจมีสารเคมีที่ทำให้เกิดโรคผิวหนัง หรือโรคทางเดินหายใจต่างๆ ได้เช่นกัน

แม้แม่จะเป็นเพียงหมาขี้เรื้อน

แม้แม่จะเป็นเพียงหมาขี้เรื้อน



เรื่องเดิมคือ: หมาขี้เรื้อนเปลื่ยนคนใจดำ

เรื่องมีอยู่ว่า พี่ชิตแกเป็นคนใจดำครับ ชอบยิงนกตกปลาไปเรื่อยแต่ที่หนักก็คงเป็นเนื้อหมา แกกินแหลกครับแต่ แม่แกบอกมันบาปนะลูก(ไม่สนโว้ย)

เมื่อราว 15 ปีก่อน มีเหตุการณ์ที่ทำให้แกเปลี่ยนไปครั้งนั้นมีหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่งครับมันมักวิ่งไปหาของกินแถวๆบ้านแกบ่อย เพราะบ้านแกติดตลาด พี่แกกินหมาอยู่บ่อยๆแต่

กรณีหมาขี้เรื้อนแกบอก กินไม่ลงว่ะ แกทำอย่างเดียวคือไล่ฆ่า แต่มันรอดได้ทุกครั้ง (สงสัยมีของ)

มันไปหาของกินทีบางทีก็ได้บางทีก็ไม่ได้คราวนั้นเนื้อแห้งที่แกตากไว้หายไปพอมองไปก็เห็นแม่หมาขี้เรื้อนวิ่งหลุนๆไป แกเดือดทันทีครับวิ่งตามไป

คราวนี้ทันครับเพราะหมาขี้เรื้อนวิ่งช้ามาก

แกทุบไปทีเดียวหมานั่นล้มลงชักทันที (แกบอกว่าหากตีตรงจุด แค่ใช้ไม้บรรทัดก็ตาย) แกทิ้งไว้ตรงนั้นไม่อยากจับแต่จะทำกินตรงนั้น จึงกลับบ้านไปเตรียมของ

(แค้นจัดอยากกินหมาขี้เรื้อน) ให้ผมเฝ้าไว้

ผมก็มัวแต่เก็บตะขบจนลืมดู (ในใจอยากให้มันรีบไปจะได้ไม่ตาย) มันไปจริงครับหายวับไป พี่ชิตแกโกรธมากคงอยากเตะผมเต็มแก่ แต่ลุงผม

แกเป็นนักเลงใหญ่และเป็นคนสอนวิธีฆ่าหมาให้ ก็ต้องวิ่งตามอย่างเดียวพร้อมบ่น ทำไมมันไม่ตายวะ

พักหนึ่งก็ได้ยินเสียงหมาเห่าแกตามทันทีพอไปถึง ภาพที่เห็น ..............................................

หมาขี้เรื้อนกำลังจะตายมันมีลูกที่ต้องเลี้ยง 5 ตัวครับวัยกำลังหย่านมบางตัวยังกินนมอยู่ บางตัวก็วิ่งไปคาบเนื้อที่แม่หมาขี้เรื้อนคาบไปฝาก (เห็นกับตา) ที่มันยังไม่ยอมตาย

เพราะต้องกลับไปให้นมลูก แม้น้ำนมแห้งกรังเอาอาหารไปให้ลูกมัน เรียกลูกๆเพื่อให้นม ให้อาหาร เป็นครั้งสุดท้าย แม่หมาพยายามอย่างดีที่สุด

มันมองผมกับพี่ชิตอย่างขอร้อง ขอให้มันให้นมลูกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนตาย

ไม่อยากเชื่อนั่นคือน้ำตาของหมาขี้เรื้อน มันแค่ต้องการให้นมลูกก่อนตาย

พี่ชิตไม้หล่นลงกับพื้น เดินเข้าไปดูแม่หมานั่น ในยามนั้นสิ่งที่แกเห็นไม่ใช่หมาขี้เรื้อน

แต่แกเห็นแม่ที่ยิ่งใหญ่ที่ทนเจ็บกลับไปหาลูก แกไม่พูดอะไรทุกอย่างจุกอยู่ที่ลำคอสายตาอ่อนโยนลง

ลูกหมาตัวหนึ่งวิ่งไปหาแกกระดิกหางให้ แกอุ้มลูกหมาขึ้นพร้อมพูดว่า ขอโทษ พูดได้แค่นั้นแม่หมาก็ตาย

เราช่วยกันฝังแม่หมาแกรับเลี้ยงหมานั่นไว้ทั้ง5ตัวตั้งแต่นั้นแกกลายเป็นคนใจดีไม่ไล่ยิงนกยิงหมายิงแมวอีกแกบอก มันอาจมีลูกรออยู่ก็ใด้

เมื่อ 12 สิงหา 2 ปีที่แล้ว แกเอามะลิร้อยเป็นพวงไปให้แม่ทั้งๆ ที่ไม่เคยทำ พูดกับแม่ว่า แม่ตอนผมอายุ16 แม่สอนผมยังไงนะสอนอีกหนใด้ไหมครับ

แม่แกน้ำตาคลอพูดไม่ออก ไม่อยากเชื่อแม่หมาขี้เรื้อนตายไป 1 ตัวกลับทำให้คนใจดำอย่างแกเปลี่ยนไปขนาดนี้

รักแม่ ...

วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ก่อนเล่นกีฬาทำไมต้องอบอุ่นร่างกาย

ทำไมเวลาเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายทุกครั้ง จึงต้องถูกย้ำนักหนาให้เราวอร์มอัพหรืออบอุ่นร่างกายทุกครั้งก่อน แม้แต่คนที่ฝึกซ้อมกีฬาทุำกวันเป็นประจำก็ยังต้องทำก่อนเล่นทุกครั้งเหมือนกัน ทำไมเราจึงเล่นกีฬาทันทีไม่ได้ทั้งที่เราก็ฝึกซ้อมร่างกายเป็นประจำอยู่แล้ว มันช่วยอย่างไรหรือ

การอบอุ่นร่างกาย ทั่วไปแล้วคือการที่ผู้เล่นบริหารกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ที่จะต้องใช้งานแบบเบาๆ โดยใช้เวลา 5-10 นาที เพื่อให้ร่างกายอุ่นขึ้น เรียกเหงื่อ แต่ไม่ต้องหนักจนรู้สึกเหนื่อย อย่างเช่น การเดิน วิ่ง เหยาะๆ หรือการปั่นจักรยาน หลังจากนั้นจึงต่อด้วยท่าบริหารแบบยืดตัว ซึ่งหลังจากร่างกายได้อุ่นเครื่องแล้ว เลือดหมุนเวียนสะดวกขึ้น กล้ามเนื้อก็จะยืดได้ดีขึ้นด้วย แต่ละท่าบริหารใช้เวลาประมาณ 15-30 วินาที

แท้จริงแล้วการอบอุ่นร่างกายเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนที่ต้องออกแรงใช้กล้ามเนื้อทำกิจกรรมต่างๆ เพราะช่วยเตรียมกล้ามเนื้อและเอ็นให้พร้อมกับการใช้งานหนักอย่างต่อเนื่องนานๆ และมีประโยชน์ต่างๆอีกมากดังนี้

- ช่วยเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการออกกำลังกาย โดยเพิ่มอุณหภูมิภายในตัวและกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนตัวลง ยืดหยุ่นมากขึ้น ลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บได้น้อยลง

- การอบอุ่นร่างกายด้วยการบริหารออกแรงเล็กๆน้อยๆ จะช่วยกระตุ้นให้ระบบหมุนเวียนเลือดทำงานดีขึ้น ซึ่งนั่นหมายถึงการนำออกซิเจนและสารอาหารต่างๆ ไปเลี้ยงร่างกายทั่วถึง โดยเฉพาะกล้ามเนื้อบริเวณที่มีการออกแรง

- อุณหภูมิของร่างกายที่สูงขึ้น นำไปสู่การเผาผลาญแคลอรีที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

- เมื่อบริหารเป็นประจำทำให้กล้ามเนื้อมีแรงมากขึ้น จึงดีต่อการฝึกหรือเล่นกีฬาที่ต้องใช้แรงต้านมากๆ

- ช่วยให้ร่างกายคุมการทำงานของกล้ามเนื้อดีขึ้น โดยสมองส่งกระแสประสาทไปยังกล้ามเนื้อได้คล่องตัว

- ลดการสร้างกรดแลคติกในเลือด ซึ่งจะช่วยให้เราออกกำลังกายได้ยาวนาน ลดความอ่อนล้า

- การอบอุ่นร่างกายเป็นจังหวะที่ทำให้เราเตรียมใจตั้งโฟกัสไปที่การออกกำลังกายระดับต่อไป


ความรัก... ก้าวเดิน

"ความรัก" ของคนเรา ก็มีเท้าเดินเหมือนกัน
เมื่อแรกเริ่ม . . . ความรักก็เดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
เพราะ . . . อยากจะถึงจุดหมายที่หวังไว้

คือ . . . ใครคนหนึ่งที่เรารู้สึกดีๆด้วย
เมื่อสมหวังแล้วความรักก็เดินไปเรื่อยๆ
. . . ไม่ต้องก้าวยาวและเร็ว
. . . เดินไปตามปกติและก้าวต่อไปเรื่อยๆ
. . . ในช่วงนี้ถ้าเดินเร็วไปอาจจะเจอหลุมและสะดุดได้
ก็คงจะต้องเดิน . . . อย่างระมัดระวัง
. . . และก้าวให้ได้จังหวะ . . . ที่เหมาะสม

แต่เมื่อถึงเวลา . . . ที่ความรักผิดหวังหรือจบลง
ความรัก . . . ก็จะเดินช้าลง
บางทีอาจจะช้า . . . ช้าจนเหมือนเราเดินถอยหลัง

เหมือนกับ . . . คนที่หกล้มแล้วขาเจ็บ
จะเดินไม่ถนัดนัก . . . ต้องรอเวลาเพื่อรักษาให้แผลที่เกิดจากการหกล้มหาย
แล้วค่อยก้าวเดินต่อไป . . . อย่างปกติ

ความรักก็มี step ในการก้าวเดินไปอย่างนี้เรื่อยๆ
ช้าบ้าง . . . เร็วบ้าง จนกว่าจะถึงวันหนึ่งที่เราได้เจอคนที่ใช่จริงๆ
วันนั้น . . . ความรักคงเดินต่อไปได้เรื่อยๆ

ถึงจะหกล้มบ้าง ตกหลุมบ้าง
แต่ . . . ก็ยังมีคนที่คอยประคอง คอยเดินไปด้วยกัน
ไม่ใช่หกล้มแล้ว . . . ต้องลุกเดินต่อด้วยตัวเองอีกต่อไป


เมื่อความรัก . . . ก้าวเดิน
เราจึงต้องก้าวตาม . . . อย่างระมัดระวัง
จะหกล้มบ้าง จะสะดุดบ้างก็ต้องพยายามลุกขึ้น
. . . และกลับมาเดินต่อไป ให้ได้ . .

เราไม่สิทธิ์สงสารใครในเรื่องรัก

...ท่ามกลางวงสนทนาระหว่างคนคุ้นเคยพี่ชายคนหนึ่งพูดขึ้นว่า

" การได้รับน่ะ ไม่มีความหมายหรอกถ้าเราไม่ได้รัก "

แล้วก็มีการช่วยขยายความกันต่อว่า...

ประเด็นหลักของความสัมพันธ์ มันอยู่ที่รักหรือไม่รัก กับใช่หรือไม่ใช่

เพราะถ้าเราไม่ได้รักเขา ต่อให้เขาให้เรามามากเท่าไหร่

ให้หนังสือ ให้ซีดี ให้ของขวัญชิ้นใหญ่

ความหมายก็อยู่ที่สิ่งของเท่านั้น ไม่ได้ส่งผลถึงใจ

แต่ถ้าเป็นคนที่เรารักน่ะ ต่อให้เขาไม่ให้อะไรเรามาเลย

วันเกิด วันสำคัญ ก็ลืมตลอด

หากเราก็ยังจะรัก !

--------------------------------------

รัก ที่มีแต่เพิ่มขึ้น

ความสำคัญ ที่ไม่เคยลดลง

ความรักจึงนำหน้าสิ่งอื่นอยู่เสมอ

นำหน้าความเหมาะควร นำหน้าความถูกต้องในสายตาใคร

แม้บางทีเราจะรู้ว่ามันผิด แต่การหักห้ามใจตัวเองนั้น ก็เป็นเรื่องยากที่สุด

ดังนั้นเมื่อเห็นใครคนหนึ่งกำลังนั่งร้องไห้ให้กับความรัก

เราจึงไม่มีสิทธิ์สงสาร ดูถูก หรือเยาะเย้ยความอ่อนแอของเขาเลย

เพราะไม่วันใดวันหนึ่ง หยดน้ำตาประเภทนั้นก็จะต้องเดินทางมาถึงเราด้วย

ตราบที่เรายังรักเป็น และพร้อมจะอ่อนไหวเพื่อมัน

--------------------------------------

เมื่อเห็นใครร้องไห้ จึงควรให้กำลังใจ

โดยไม่ต้องไปบอกให้เขาเลิกรัก เลิกทุ่มเท เลิกให้

และไม่ต้องไปหักหาญน้ำใจ ด้วยการพูดเสียงดัง

บอกให้เขาเลิกโง่ที่จะไปรักเคนที่เขาไม่ได้รักเราได้แล้ว

เพราะความรักอาจทำให้คนตาบอด แต่มันก็ไม่ใช่ตลอดไปหรอก

เพียงแต่แสงสว่างที่จะสาดส่องเข้ามานั้น

ต้องเป็นการมองเห็นจากเจ้าของสายตาเอง

ไม่ใช้ให้ใครก็ได้ส่องไฟฉายตรงไปที่ดวงตา

หรือจะคิดอีกอย่างว่าจริงๆแล้ว ได้ร้องไห้บ้างก็ดีเหมือนกัน

อย่างน้อยก็ช่วย ล้างฝุ่น ออกไป

พอหายเคืองใจ เดี๋ยวน้ำตาก็หยุดไหลเอง...

+++ Hamster +++

+++ Playlist +++


MusicPlaylistRingtones
Create a playlist at MixPod.com

+++ coming soon +++